ตอนที่ 1 ขนาดท่านลุงกับท่านป้ายังไม่อาจทนไหว

เกิดใหม่เป็นสาวน้อยชนบท [特工狂妃:农妇山权有点田

บทที่ 1 ขนาดท่านลุงกับท่านป้ายังไม่อาจทนไหว

ครั้นวสันตพิรุณเพิ่งผ่านพ้น ท้องฟ้าก็กลับมาแจ่มใสดังเดิม

เมฆหมอกขาวบางเบาลอยล่องเหนือแนวบรรพต ก่อเกิดเป็นภาพทิวทัศน์อันตระการตา

ในภาพนั้นมีทั้งต้นไม้ ใบหญ้า และผู้คน

‘ซูหวานหว่าน’ ก็เป็นหนึ่งในบุคคลที่ปรากฏอยู่ในภาพทิวทัศน์นั้น

นางเพิ่งขุดผักป่าขึ้นมาเต็มตะกร้าและกำลังจะตรงกลับบ้าน

“พี่หญิง!”

ทันใดนั้นเอง เด็กชายวัยกระเตาะผู้หนึ่งก็รีบวิ่งมาหา พร้อมทั้งตะโกนเรียกนางไปด้วย

“ช้า ๆ ก็ได้” ซูหวานหว่านมองไปที่น้องชายตัวแสบของตนพร้อมกับระบายยิ้มให้

ซูจิ่นหมิงกลับไม่มีทีท่าว่าจะวิ่งช้าลงแต่อย่างใด เขายังคงวิ่งตรงเข้ามาหาซูหวานหว่านอย่างรีบร้อน ก่อนหายใจหอบและชี้นิ้วตรงไปทางเคหสถานของตน “แย่แล้วขอรับ! มีคนจากตระกูลเหมี่ยวมาขอถอนหมั้น ตอนนี้พวกเขากำลังทะเลาะอยู่กับท่านย่า”

นัยน์ตาของซูหวานหว่านดูเข้มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หากแต่นางก็ไม่ได้แสดงท่าทางอะไรออกมา

“อ่า…” นางเอ่ยออกมาเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงเนิบนาบไร้ความรู้สึกกังวลใด ๆ

“พี่หญิง! ทำไมท่านถึงยังนิ่งอยู่อีก!” ซูจิ่นหมิงร้อนรน เขาย่ำเท้าไปมาอย่างอยู่ไม่สุข “ตระกูลเหมี่ยวทำเกินไปแล้วนะ! จู่ ๆ จะมาถอนหมั้นได้อย่างไร แล้วอย่างนี้พี่หญิงจะทำอย่างไรต่อไปล่ะขอรับ!”

ถึงกระนั้นสิ่งที่ซูจิ่นหมิงพูดก็ไม่อาจทำให้ซูหวานหว่านรู้สึกกังวลขึ้นเลยแม้แต่น้อย ในทางกลับกัน ริมฝีปากอวบอิ่มสีแดงสดกลับปรากฏรอยยิ้มกว้างขึ้น ทั้งยังเป็นรอยยิ้มเยาะเย้ยถากถาง “แล้วจะให้ข้าทำอะไรได้ล่ะ? ใจเย็นเถิด! เด็กอย่างเจ้าจะไปสนใจเรื่องนี้นักทำไม?”

ด้วยท่าทางที่ดูนิ่งเฉยและไม่ได้รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจที่โดนถอนหมั้นของพี่สาวนั้นทำให้ซูจิ่นหมิงรู้สึกแปลกใจ

นี่มันเรื่องใหญ่มากนะ!! แต่ทำไมท่านพี่ถึงยังนิ่งอยู่อีก!!

“ไปกันเถอะ” ซูหวานหว่านยัดตะกร้าผักใส่มือของซูจิ่นหมิงและดันเขาให้เดินกลับไป

“เอ่อ…”

ซูจิ่นหมิงที่เหมือนอยากจะเอ่ยอะไรสักอย่างออกมา แต่เมื่อได้มองไปที่พี่สาวของตนแล้วก็ได้แต่เม้มปากและทำตามที่นางสั่งอย่างเสียไม่ได้

ซูหวานหว่านเดินทอดน่องไปตามเส้นทางภูเขาที่คดเคี้ยวอย่างเอ้อระเหย นางไม่ได้ดูรีบร้อนอยากจะกลับบ้านเท่าใดนัก ทั้งยังเดินตรงไปยังสถานที่รกร้างไร้ผู้คน

นางหยุดเดินเมื่อถึงที่หมาย จากนั้นริมฝีปากงามก็ค่อย ๆ คลี่ออก แล้วนางก็เริ่มพึมพำคาถาแปลก ๆ ออกมา

3 นาทีต่อมา จู่ ๆ ก็มีหนูตัวมันปลาบโผล่ออกมาจากที่ไหนสักแห่งพร้อมกับวิ่งพุ่งเข้าใส่เท้าของซูหวานหว่าน

ซูหวานหว่านนั่งยอง ๆ แล้วหยิบเมล็ดข้าวโพดบางส่วนออกจากกระเป๋าเสื้อคลุมบุฝ้ายและโยนให้เจ้าหนูตัวนั้นก่อนจะพึมพำอะไรบ้างอย่างออกมาอีกครั้ง

จากนั้นอีก 10 นาทีต่อมา ในที่สุดซูหวานหว่านก็เดินทางมาถึงด้านหลังรั้วบ้านของตระกูลซูเสียที

เมื่อแสงอาทิตย์ยามเย็นเลือนลับหายไป นางจึงปีนรั้วเพื่อเข้าสู่ด้านในบ้าน เจ้าหนูตัวที่นางได้ให้อาหารเมื่อครู่ได้ปรากฏตัวต่อหน้านางอีกครั้ง และวิ่งนำหน้าหญิงสาวเสมือนดั่งผู้นำทาง

ตอนนี้ลานหน้าบ้านของตระกูลซูเต็มไปด้วยความวุ่นวายและเนืองแน่นไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา

‘เหมี่ยวอี้เซิง’ ชายหนุ่มที่ต้องการถอนหมั้นจากซูหวานหว่านเดินทางมาพร้อมกับ ‘แม่สื่อฉือ’ ผู้ติดตามของเขา ทั้งคู่มีสีหน้าไม่สบอารมณ์นักเมื่อต้องเผชิญหน้ากับท่านย่าของซูหวานหว่านอย่าง ‘แม่เฒ่าเจี๋ย’

“นี่!! การที่พวกเจ้ามาจากในเมืองไม่ได้หมายความว่าพวกเจ้าจะมาอวดเบ่งใส่คนอื่นได้นะ!!” แม่เฒ่าเจี๋ย ท่านย่าของซูหวานหว่านยืนเท้าเอวตะคอกพลางถ่มน้ำลายไปทั่ว

“พวกเจ้าดูถูกตระกูลซูของเราขนาดนี้ยังจะมีหน้ามาขอของหมั้นคืนอีกเหรอ หา! ข้าไม่คืนให้หรอก! ฝันไปเถอะ!”

สะใภ้ใหญ่และสะใภ้รองของตระกูลซูเองก็ยืนคอยร่วมสมทบนางอยู่ข้าง ๆ พร้อมชี้ไม้ชี้มือและสบถออกมา

แม่สื่อฉือโกรธจนเลือดขึ้นหน้า นางชี้นิ้วไปที่แม่เฒ่าเจี๋ยพลางตะโกนตอกกลับ

นางทำงานเป็นแม่สื่อมาก็หลายปีดีดัก แต่ยังไม่เคยพบไม่เคยเจอคนที่ไร้ยางอายแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต!

คิ้วของเหมี่ยวอี้เซิงขมวดเป็นปมแน่น เขาพยายามจะโต้กลับอีกฝ่ายอยู่หลายครั้ง แต่กลับถูกฝ่ายตรงข้ามก่นด่าอย่างไม่ขาดสายจนหาโอกาสโต้กลับไปไม่ได้

และในที่สุดความอดทนของเขาก็สิ้นสุดลง

“พอได้แล้ว!!!” เหมี่ยวอี้เซิงตะโกนอย่างสุดเสียง “ข้าไม่เคยได้ยินกฎข้อไหนที่ระบุว่าไม่สามารถขอของหมั้นคืนได้มาก่อนเลย ท่านลุงสามแห่งตะกูลซู ตระกูลของท่านก็มีลูกหลานอยู่มากมาย ท่านไม่กลัวว่าจะโดนหัวเราะเยาะเพราะเรื่องไร้ยางอายเช่นนี้หรือ” เหมี่ยวอี้เซิงพูดพร้อมหันไปหาชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ แม่เฒ่าเจี๋ย

พ่อของซูหวานหว่าน ‘ซูต้าเฉียง’ หนึ่งในสามผู้อาวุโสแห่งตระกูลซูรู้สึกหน้าชาเมื่อได้ยินคำพูดเมื่อครู่ เขามองไปยังแม่ของเขาที่ยังคงแผ่รังสีความน่ากลัวออกมาไม่หยุด จากนั้นก็เบนสายตาไปทางภรรยาและลูก ๆ ที่ยืนหน้าซีดอยู่ข้าง ๆ

ในที่สุดซูต้าเฉียงก็ตัดสินใจเอ่ยปากพูดกับมารดาของตน “ท่านแม่ มันจะผิดกฎหากท่านไม่ยอมคืนของหมั้น…อีกอย่างลูกชายของข้ายังต้องเข้าสอบบัณฑิตอีก…”

“เอ๊ะ!! กฎอะไร นางแก่คนนี้นี่แหละคือกฎ! แล้วลูกชายเจ้าจะสอบไปทำไม มันคิดว่าตัวเองเหมาะสมที่จะเป็นบัณฑิตแล้วงั้นหรือ!?”

แต่ก่อนที่ซูต้าเฉียงจะพูดจบ แม่เฒ่าเจี๋ยก็พูดขัดขึ้นซะก่อน ทั้งยังถ่มน้ำลายใส่หน้าเขาอีก แล้วเขายังเกือบจะโดนนิ้วของมารดาแทงเข้าที่คออีกด้วย!

หลังจากก่นด่าซูต้าเฉียงจนพอใจแล้ว แม่เฒ่าเจี๋ยก็หันหน้าอันจองหองไปหาเหมี่ยวอี้เซิงและแม่สื่อฉือพร้อมตะโกนว่า “งานหมั้นก็ยกเลิกไปแล้วนี่ ทำไมยังไม่กลับ ๆ กันไปเสียทีล่ะ! จะอยู่รอกินข้าวเย็นหรืออย่างไร!!”

เหมี่ยวอี้เซิงกัดฟันกรอดอย่างโกรธจัด เขาล่ะอยากจะตบนังหญิงแก่คนนี้เสียจริง ๆ! คนอะไรช่างหน้าด้านนัก!!

แม่สื่อฉือเองก็กัดฟันทนอยู่เช่นกัน นางทำงานเป็นแม่สื่อมาทั้งชีวิต ดังนั้นการโต้เถียงกับแม่เฒ่าเจี๋ยในครั้งนี้นางจะแพ้ไม่ได้เด็ดขาด! แต่เมื่อนางจะเอ่ยปากพูดก็โดนขัดไปซะทุกที ไหนจะลูกสะใภ้ทั้งสองของแม่เฒ่าเจี๋ยอีก แล้วอย่างนี้นางจะไปมีโอกาสพูดตอนไหนกันล่ะ?

นอกลานบ้านที่เนืองแน่นไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา ทุกคนต่างพูดคุยกันเสียงดังและหัวเราะเยาะครอบครัวของซูหวานหว่านที่เป็นครอบครัวลำดับที่สามของตระกูลซูอยู่อย่างออกรส

“หุบปาก!!!”

แต่ไม่นานเสียงนินทาว่าร้ายเหล่านั้นก็เงียบไป เนื่องจากมีเสียงตะโกนที่ทรงอำนาจดังขึ้น เหมี่ยวอี้เซิงเองที่กำลังจะเดินทางกลับก็หยุดชะงักเช่นเดียวกัน

และนั่น…ก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ซูหวานหว่านเข้ามาที่ลานบ้าน นางเดินผ่านผู้คนที่กำลังนินทานางอย่างสนุกปากเมื่อครู่มาอย่างไม่สนใจใยดีราวกับพวกเขาไร้ตัวตน จากนั้นนางก็เดินตรงดิ่งเข้าไปหาเหมี่ยวอี้เซิงด้วยใบหน้าเฉยชา ไร้ความรู้สึก

“เฮอะ!!” เหมี่ยวอี้เซิงถอนหายใจออกมาอย่างแรงเมื่อได้พบหน้าคู่หมั้นของตน

เขามองนางหัวจรดเท้าด้วยสายตาดูถูก และเขาก็รู้สึกสมเพชนางรวมถึงครอบครัวของนางด้วย!

พวกบ้านนอก! คิดจะสบายทางลัดสินะ!

เหมือนซูหวานหว่านจะล่วงรู้ความคิดต่ำตมของชายหนุ่มตรงหน้า นางเปรยตามองเขาพร้อมกับเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นและหนักแน่

“ถอนหมั้นใช่ไหม? หึ! นั่นแหละคือสิ่งที่ข้าต้องการ นี่! รู้ไว้ด้วยนะ ข้าไม่เคยต้องการเจ้า ไม่เลยแม้แต่นิดเดียว สวะอย่างเจ้าไม่คู่ควรกับข้าหรอก ไอ้คนสปีชีส์ต่ำตมเอ้ยย!!” นางพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเยาะเย้ย

“อ้ะ! เอาไป…นี่ของหมั้นของเจ้า รับไปซะสิ!! ได้ของแล้วก็รีบ ๆ ไสหัวไปได้แล้ว!”

หญิงสาวปาห่อถุงเล็ก ๆ ใส่หน้าเหมี่ยวอี้เซิงอย่างจัง

เหมี่ยวอี้เซิงหยิบถุงห่อเล็กขึ้นมาโดยไม่คิดอะไร แต่เมื่อปะติดปะต่อคำพูดของซูหวานหว่านได้ เขาก็โพล่งออกมาอย่างรวดเร็วเหมือนกับสุนัขที่โดนเหยียบหาง และเห่าออกมาอย่างไม่คิด “เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอะไรนะ!?”

แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจว่า สปีชีส์ หมายความว่าอะไร แต่นั่นไม่ได้แปลว่าเขาจะไม่เข้าใจในสิ่งที่หญิงสาวพูดออกมาว่านางไม่ต้องการเขารวมถึงคำว่าสวะที่นางเอ่ยออกมาด้วย ประโยคพวกนั้นเขาเข้าใจมันได้ชัดเจนดี และนั่นยิ่งทำให้เขาหัวเสียเข้าไปใหญ่

“เจ้าหูหนวกหรือไงเนี่ย…” ซูหวานหว่านพึมพำเบา ๆ ก่อนจะตอบกลับด้วยประโยคที่ทำให้เหมี่ยวอี้เซิงหงุดหงิดมากกว่าเดิม

“นี่…ข้าจะบอกอะไรให้นะ เรื่องดี ๆ น่ะเขาไม่พูดกันซ้ำสองหรอก ถ้าไม่ใช่คนโง่ก็คงจะพอเข้าใจที่ข้าพูดน่ะนะ แต่เอ๊ะ…หรือว่าเจ้าโง่นะ” ซูหวานหว่านยิ้มพร้อมกับยักคิ้วให้เหมี่ยวอี้เซิงไปที

เหมี่ยวอี้เซิงกำหมัดแน่น เขากำลังจะเอ่ยปากหมายจะโต้กลับซูหวานหว่าน แต่ซูหวานหว่านกลับเดินผ่านเหมี่ยวอี้เซิงไปราวกับเขาเป็นแค่อากาศ

นางเดินเข้าไปหาครอบครัวของนาง

“ท่านแม่กลับห้องกันเถอะ ข้ามีเรื่องจะต้องพูดกับท่าน” นางพูดพลางเอื้อมมือไปประคองไหล่ผู้เป็นแม่

ด้านแม่เฒ่าเจี๋ยไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่ซูหวานหว่านพูด เพราะนางเอาแต่จับจ้องไปยังห่อที่เหมี่ยวอี้เซิงถืออยู่อย่างสงสัยเพราะรู้สึกคุ้นตา และเมื่อเหมี่ยวอี้เซิงเปิดถุงออก แม่เฒ่าเจี๋ยก็ร้องออกมาเสียงดังลั่น

“เจ้า!! นังหญิงโสโครก!! เจ้ากล้าดีอย่างไรมาขโมยของของข้า”

ใช่แล้ว! ไอ้ห่อเล็ก ๆ นั่นเป็นของขวัญวันหมั้นของเหมี่ยวอี้เซิงกับซูหวานหว่านที่นางแอบเอาไปซ่อนไว้ ในนั้นมีเงิน 5 ตำลึง และปิ่นปักผมเงิน! นั่นคือสิ่งที่นางตั้งใจเก็บไว้ให้หลานชายคนที่สองของนางเพื่อให้เขาเอาไปสู่ขอคนรักแต่งงาน

เหมี่ยวอี้เซิงรีบเก็บของใส่ห่ออย่างรวดเร็วและหันไปมองหน้าซูหวานหว่านที่ฉายแววมืดครึ้ม “หึ! บ้านนอกยังไงก็บ้านนอกอยู่วันยังค่ำ ชื่อเสียงของเจ้าน่ะป่นปี้ไปหมดแล้วยังจะมีหน้ามาอวดดีอีก!”

เขากล่าววาจาดูถูกนาง…

เขาโกรธมากที่ซูหวานหว่านพูดว่าไม่ต้องการเขา นี่ถ้าไม่ติดว่าเขากลัวจะดูไม่ดี เขาจะด่านางให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย

แต่ซูหวานหว่านไม่มีเวลามาใส่ใจกับคำพูดของเขามากนัก เพราะอยู่ ๆ แม่เฒ่าเจี๋ยก็ปรี่เข้ามากระชากหัวของนางและง้างมือข้างหนึ่งขึ้นหมายจะตบหน้านาง

“ฮึ่มม!” แสงเย็นวาบปรากฏในดวงตาของหญิงสาว นางขยับตัวหลบไปด้านข้างเล็กน้อยและใช้เท้าซ้ายขัดขาของแม่เฒ่าเจี๋ยเบา ๆ จนแม่เฒ่าเจี๋ยเสียหลักล้มลงไปตะครุบพื้นเหมือนสุนัขไร้ทางสู้

“อุ้ยตายแล้ว…ท่านย่า ทำไมถึงไม่ระวังตัวเลยล่ะ” การเคลื่อนไหวของซูหวานหว่านรวดเร็วจนไม่มีใครสังเกตทัน และไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าแม่เฒ่าเจี๋ยลงไปกองอยู่กับพื้นเพราะอะไร

“นังตัวดี!! ข้าเอาเจ้าตายแน่!!” แม่เฒ่าเจี๋ยรีบลุกขึ้น ดวงตาแดงก่ำจากความโกรธของนางจ้องไปที่ซูหวานหว่านอย่างเคียดแค้น

แต่…ไม่กี่วินาทีต่อมา แม่เฒ่าเจี๋ยได้ชะงักและล้มลงไปกองกับพื้น…อีกครั้ง…

หึ! เจ็บแล้วไม่จำ…

ซูหวานหว่านหัวเราะในใจแล้วแสร้งทำน้ำเสียงกังวล พลางตะโกนออกไปว่า “ตายแล้ว! ท่านย่าไม่สบายอีกแล้วเหรอเนี่ย…!”

“ท่านแม่!”

“ท่านย่า!”

ทันทีที่แม่เฒ่าเจี๋ยล้มลง ลูกและหลานชายของนางก็ร้อนรนและรีบปรี่กันเข้ามาแย่งกันพยุงนางอย่างรวดเร็ว

ซูหวานหว่านมองไปยังบิดาของตนที่อยู่ข้าง ๆ แม่เฒ่าเจี๋ยด้วยสายตาเย็นชา นางดึงมือมารดาของนางให้หลบออกมาจากตรงนั้น พลันสายตาของนางเหลือบไปเห็นเหมี่ยวอี้เซิงที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม

เขามองหน้านางด้วยความเย้ยหยัน

“ให้หมามันกัดกันเองก็ดีเหมือนกัน” เหมี่ยวอี้เซิงยิ้มเยาะ

ทันทีที่ได้ยินแบบนั้น ซูหวานหว่านก็ตวัดสายตาไปมองเหมี่ยวอี้เซิง และแสงประกายเย็นวาบส่องออกมาจากดวงตากลมโตของซูหวานหว่านอีกครั้งทันที

นี่เขายังอยู่ตรงนี้อีกงั้นเหรอ แถมไอ้คนสปีชีส์ต่ำตมนี่ยังบังอาจมาเรียกนางว่าหมาอีก!!

ได้…แล้วจะได้รู้กันว่าใครกันแน่ที่เป็นหมา!