เล่มที่ 10 บทที่ 298 เจินจู หมาหน่าว

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

“ข้าไม่ไป มันอันตรายเกินไปที่จะปล่อยให้นายหญิงอยู่ที่นี่เพียงคนเดียว แม้ป๋ายซูจะมีวิทยายุทธ แต่ถ้าหากไม่มีใครดูแลนายหญิงแล้วท่านเกิดป่วยขึ้นมาจะทำเช่นไร?”

คำพูดไม่เหมือนป๋ายจีที่เคยว่านอนสอนง่ายอย่างที่ผ่านมา

สาวใช้อีกสองคนรีบพยักหน้าเห็นด้วย เห็นได้ชัดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้ทำให้พวกนางตื่นตระหนกจริงๆ

เหล่านั้นคือมีดและดาบจริงๆ แต่พวกนางกลับต้องมาเห็นภาพคนเข่นฆ่ากัน หญิงสาวคนหนึ่งที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับหลินเมิ้งหยาถูกสังหารต่อหน้าต่อตาพวกนาง พื้นตำหนักอาบย้อมไปด้วยโลหิตสีแดงฉาน

เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวคนนั้นยังเบิกตาโพลง

ฉะนั้นพวกนางจึงอยากอยู่เคียงข้างหลินเมิ้งหยา

หากวันหนึ่งนายหญิงต้องเจอเรื่องอันตรายขึ้นมา อย่างน้อยพวกนางก็สามารถใช้ชีวิตของตนตอบแทนบุญคุณของหลินเมิ้งหยาได้

“ข้าเป็นหมอนะ ไม่มีทางเป็นอะไรไปง่ายๆ อย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น ข้าไม่ได้คิดจะอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิต ข้ารู้ว่าเรื่องในวันนี้ทำให้พวกเจ้าเป็นกังวล แต่พวกเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าหากมีคนคิดร้ายกับพวกเจ้าและนำพวกเจ้ามาข่มขู่ข้า เช่นนั้นข้าจะไม่ยิ่งตกอยู่ในอันตรายหรอกหรือ? ฉะนั้นสิ่งที่พวกเจ้าต้องทำคือไปหลบซ่อนตัวในร้านกลุ่มสามสหาย โชคดีที่ไม่มีใครรู้เรื่องนี้มาก่อน พวกเจ้าจงไปรอข้าอยู่ที่นั่น เมื่อข้าออกจากวังหลวงแล้ว ข้าจะไปหาพวกเจ้าอย่างแน่นอน”

หลินเมิ้งหยาผินหน้าไปอีกทาง หยาดน้ำตาเอ่อล้นจากขอบตา

อย่าว่าแต่ป๋ายจื่อที่เติบโตมาพร้อมกันกับนางเลย นางรู้สึกมิอาจทำใจแยกจากสาวใช้อีกสองคนที่เหลือได้ง่ายๆ

แต่วังหลวงมีอันตรายอยู่รอบด้าน แม้แต่นางเองก็ไม่มั่นใจว่าจะเอาตัวรอดได้ นางจึงต้องส่งคนที่นางเป็นห่วงที่สุดไปอยู่ในที่ปลอดภัย เท่านี้นางก็จะสบายใจ

บรรยากาศเงียบสงัดจนทำให้พวกนางรู้สึกว่าค่ำคืนนี้ช่างยาวนานเหลือเกิน

ท้องฟ้าเริ่มสว่างไสว หลินเมิ้งหยาบังคับตัวเองให้ลุกขึ้นจากที่นอน

ที่แห่งนี้มีอันตรายอยู่ทุกย่างก้าว ฉะนั้นนางต้องระมัดระวังให้ดี

โชคดีที่มีระบบเซินหนง หลินเมิ้งหยากดเปิดโหมดการนอน นางจึงได้หลับเต็มตื่น

เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ความเมื่อยล้าในร่างกายพลันหายไป

เพียงเลิกผ้าห่มออก นางก็ได้เห็นภาพเรือนหลังใหม่

“ป๋ายซู? ป๋ายซู?”

ห้องว่างเปล่า ไร้ซึ่งเงาของสาวใช้ทั้งสี่

หรือเพราะนางเปิดโหมดการนอนนานเกินไป ดังนั้นนางจึงไม่รู้สึกตัวว่าสาวใช้ของตนเองถูกลักพาตัวไปแล้ว?

นางรู้สึกกระวนกระวาย แต่เมื่อได้เห็นร่างอันคุ้นเคย นางจึงกลับมาหายใจคล่องขึ้นอีกครั้ง

แม้ใบหน้าของป๋ายซูจะเย็นชา แต่กลับไม่กระวนกระวาย ดูเหมือนนางจะคิดมากไปเอง

“นายหญิงตื่นแล้วหรือ ข้าจะประคองท่านล้างหน้าเอง”

ส่งเสียงดังประหนึ่งต้องการให้ใครได้ยิน

หลินเมิ้งหยาผงกศีรษะลง ดูเหมือนระหว่างที่นางนอนหลับจะมีคนมายุ่งกับสาวใช้ของนางเข้าให้แล้ว

“พวกป๋ายจีถูกส่งออกไปนอกวังแล้วเจ้าค่ะ พ่อบ้านเติ้งเดินทางมารับด้วยตัวเอง ส่วนของเหล่านี้เป็นของที่คนพวกนั้นเอามาเปลี่ยนให้ตอนที่พวกข้าออกไป ข้าตรวจสอบดูแล้ว ไม่มีอะไรผิดปกติเจ้าค่ะ”

ป๋ายซูยกน้ำอุ่นเข้ามาล้างหน้าและมือให้กับนาง จากนั้นจึงจัดแต่งทรงผมและเสื้อผ้าให้

เพียงมองลอดประตูออกไปนางก็ได้เห็นบริเวณโดยรอบ

เสมือนว่าฮองเฮากำลังเตือนนาง ในวังหลวงแห่งนี้ นางสามารถตัดสินใจได้ว่าตนเองจะได้อยู่เรือนแบบไหนหรือมีชีวิตเช่นไร

เหตุการณ์พลิกผันเพียงเวลาชั่วข้ามคืน ฮองเฮาต้องการจะบอกนางว่าวังหลวงแห่งนี้ตกอยู่ในอำนาจของนาง

นางเป็นมารดาของอาณาจักร ทั้งที่เป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ทำไมต้องเล่นใหญ่เล่นโตขนาดนี้กันนะ?

หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว อาหารเช้าของหลินเมิ้งหยาถูกนำมาวางไว้บนโต๊ะ

นางรู้สึกได้ถึงความเงียบสงบ ไม่นานก็ถึงช่วงเวลากลางวัน พ่อบ้านเติ้งมิเพียงมารับคน แต่เขายังนำของมาส่งให้

ตอนนี้ ไม่สิ อาจจะตลอดไป นางคงมิอาจกลับไปยังตำหนักหลิวซินได้อีกแล้ว แต่ภาพตำหนักที่ถูกตกแต่งอย่างสวยงามจะคงอยู่ในความทรงจำของนางตลอดไป นางจะไม่มีวันลืม

หลังจากกินอาหารแล้ว คนที่ฮองเฮาส่งมารับใช้นางมารอท่าอยู่ด้านนอก

นางในท่าทางฉลาดเฉลียวและมีความสามารถสองคนและน้าชิงหลานที่นำทางนางมาที่นี่เมื่อวานย่อตัวถวายคำนับ

“ถวายพระพรพระชายา ฮองเฮาได้ยินมาว่าพระองค์ส่งสาวใช้ของตนเองกลับไปยังจวนอวี้ พระนางจึงกังวลว่าพระองค์จะไม่ได้รับความสะดวกสบาย ดังนั้นจึงรับสั่งให้หนู่ปี้ส่งสาวใช้สองคนนี้มาคอยรับใช้ คนหนึ่งชื่อว่าเจินจู อีกคนชื่อว่าหมาหน่าว ล้วนเป็นสาวใช้ที่มีความสามารถของฝ่ายในเพคะ มาถวายพระพรพระชายาตรงนี้สิ ต่อจากนี้ไปพวกเจ้าต้องอยู่รับใช้พระชายา”

ไม่รอให้หลินเมิ้งหยาปฏิเสธ ชิงหลานตัดสินใจทั้งหมดในทันที

หลินเมิ้งหยาแค่นหัวเราะในใจ นี่เป็นเพียงข้ออ้างเสียมากกว่า แท้ที่จริงคงถูกส่งมาเพื่อจับตามองนาง

เรือนเล็กทรุดโทรมสกปรกโสมมถูกเก็บกวาดจนสะอาดสะอ้าน ดูเหมือนฮองเฮาจะไม่อยากถูกครหากระมัง

“ขอบใจท่านน้ามาก หมู่โฮ่วใส่ใจในทุกรายละเอียด ไม่เพียงมอบเรือนเล็กอันแสนสง่างาม แต่ยังส่งสาวใช้มากความสามารถมาให้อีกสองคนดูเหมือนข้าจะต้องไปขอบพระทัยฮองเฮาด้วยตนเอง”

หลินเมิ้งหยาแย้มยิ้มอ่อนโยน

ในเมื่อเขาโยนมาให้ นางเองก็ต้องรับ วังหลวงใหญ่โตขนาดนี้ นางทำสิ่งใดลงไป ทุกคนก็คงจะเห็นกันหมด

ในเมื่อไม่อาจต่อต้านได้ เช่นนั้นก้มหน้ายอมรับจะดีกว่า

“ถวายพระพรพระชายา ขอพระชายาอายุยืนหมื่นปีหมื่นหมื่นปี”

เจินจูและหมาหน่าวคุกเข่าถวายคำนับ ก่อนจะกล่าวอวยพรจนมิอาจทำใจรังเกียจพวกนางได้

แต่หลินเมิ้งหยารู้ดี ในวังหลวงแห่งนี้ นอกจากป๋ายซูแล้ว นางมิอาจไว้ใจใครได้

“ไม่จำเป็นต้องเข้าไปขอบพระทัยหรอกเพคะ เมื่อคืนเหนียงเหนียงตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก จึงอยากพักผ่อนในตำหนักสักสองสามวัน หนู่ปี้จะไปแจ้งข่าวให้เหนียงเหนียงทราบเอง พระชายายังมีงานให้ทำอีกมาก หนู่ปี้ทูลลา”

ชิงหลานถวายคำนับ ก่อนจะทิ้งพวกหลินเมิ้งหยาเอาไว้ทางด้านหลัง

มองดูเจินจูและหมาหน่าวอีกครั้ง หลินเมิ้งหยาก้มหน้าอ่านหนังสือในมือ ท่วงท่าสง่างาม ไร้ซึ่งความอ่อนโยนเหมือนตอนที่อยู่กับพวกสาวใช้ของตัวเอง

นางไม่จำเป็นต้องอ่อนโยนกับพรรคพวกของศัตรู

แม้จะบอกว่าให้มาดูพระอาการประชวรของฮ่องเต้ แต่นางกลับรู้สึกเหมือนถูกนำมาโยนทิ้งลงถังขยะเสียมากกว่า นอกจากสาวใช้ที่คอยปรนนิบัติข้างกายตลอดเวลาแล้ว เรือนเล็กหลังนี้กลับมีบรรยากาศอันแสนเย็นยะเยือก

“ป๋ายซู พวกนางทั้งสองมีวิทยายุทธหรือไม่?”

นั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้อง หลินเมิ้งหยาตั้งสมาธิมั่น

ป๋ายซูชำเลืองมอง ก่อนจะส่ายหน้า

หลินเมิ้งหยาแอบหัวเราะในใจ สาวใช้ที่มีวิทยายุทธหาใช่จะเจอได้ตามท้องถนนเสียเมื่อไหร่

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็ไปที่สำนักหมอหลวงกันเถิด”

แม้จะถูกส่งมาอยู่ที่เรือนเล็ก แต่หลินเมิ้งหยาไม่ได้โง่ขนาดที่จะบุกไปยังตำหนักชิงกงของฮ่องเต้

ทั้งที่เรือนเล็กของนางอยู่ห่างจากตำหนักของฮ่องเต้เพียงแค่กำแพงกั้น แต่นางต้องใจเย็น อีกฝั่งหนึ่งของกำแพงหาใช่สถานที่ที่จะเข้าไปได้ง่ายๆ

แม้ฮองเฮาจะไม่ได้ส่งคนมาคุ้มกันนาง แต่ก็มิได้หมายความว่านางจะออกไปจากที่นี่ได้

ดูเหมือนวังหลวงแห่งนี้จะไม่ต่างอันใดจากแผ่นเหล็ก ฮองเฮาคงมั่นใจแล้วว่านางคงไม่มีทางก่อเรื่องอันใดได้?

เพียงเดินมาถึงหน้าประตู เจินจูและหมาหน่าวรีบเข้ามาขวางหน้านาง

เพียงชิงหลานจากไป พวกนางก็เริ่มเผยธาตุแท้ที่แท้จริง

สายตามิได้แสดงออกถึงความเคารพหลินเมิ้งหยาเลยแม้แต่น้อย

“พวกเจ้าจะทำอะไร? บังอาจนัก ไฉนจึงกล้ามาขวางทางพระชายา”

ป๋ายซูโกรธเกรี้ยวยิ่งนัก นางชี้หน้าตำหนิหญิงสาวทั้งสอง

เจินจูรูปร่างสูงกว่าป๋ายซูมาก แม้จะยังเด็ก ทว่าใบหน้ากลับแสดงออกถึงความกร้านโลกอย่างชัดเจน นางใช้สายตามองป๋ายซูขึ้นๆ ลงๆ ก่อนจะกล่าวเยาะเย้ย

“แม่นางคนนี้พูดผิดแล้ว พวกหนู่ปี้เป็นสาวใช้ที่ถูกส่งมารับใช้พระชายา วังหลวงแห่งนี้หาใช่จวนที่พวกเจ้าอยู่อาศัยไม่ ที่นี่กว้างขวาง มีกฎระเบียบมากมาย พวกหนู่ปี้เพียงแค่หวังดี หากพระชายาทำสิ่งใดผิดพลาดขึ้นมา เกรงว่าจะเสียหน้าจวนอวี้เอาได้”

ป๋ายซูคิดไม่ถึงเลยว่าเจินจูจะแสดงอากัปกิริยาเช่นนี้

แต่ไหนแต่ไรมานางไม่เคยถูกดูถูกเช่นนี้มาก่อน

ป๋ายซูจ้องมองด้วยสายตาเย็นชา ขณะที่คิดจะเข้าไปสั่งสอนพวกนาง มือของหลินเมิ้งหยาพลันเอื้อมเข้ามาวางบนบ่า

“หากพวกเจ้าต้องการเช่นนั้นก็ตามมา ถึงอย่างไรข้าก็ไม่รู้จักทางในวังหลวง มีคนนำทางก็ดี ข้าอยากไปที่สำนักหมอหลวง คงต้องรบกวนพวกเจ้านำทางแล้ว”

ป๋ายซูคิดไม่ถึงเลยว่านายหญิงจะแสดงท่าทางใจดีเช่นนี้

ทว่าอีกฝ่ายกลับกะพริบตาปริบๆ ป๋ายซูเข้าใจในทันที นายหญิงไม่มีทางปล่อยให้ใครรังแกได้ง่ายๆ อย่างแน่นอน

ดูเหมือนจะมีคนโชคร้ายเข้าให้แล้ว

“พระชายาปราดเปรื่องยิ่งนัก สำนักหมอหลวงอยู่ห่างจากที่นี่ไม่ไกล เชิญพระชายาเสด็จเถิดเพคะ”

เจินจูกระหยิ่มยิ้มย่อง ก่อนจะเดินนำหน้าหลินเมิ้งหยาด้วยท่าทางหยิ่งผยอง

“วังหลวงไม่เหมือนบ้านของชาวบ้านทั่วไป ทุกแห่งทุกหนล้วนมีกฎระเบียบวางไว้อย่างชัดเจน พระชายาได้โปรดระวังฝีเท้าด้วยเพคะ ด้านหน้าคือตำหนักเจาหยางที่ฮ่องเต้ใช้ว่าราชการกับพวกขุนนาง ด้านหลังคือตำหนักชิงกงของฮ่องเต้ ที่นี่หาใช่สถานที่ที่พระชายาหรือองค์หญิงจะเสด็จมาได้ เหตุเพราะฮองเฮาให้เกียรติพระชายา ดังนั้นจึงให้พระองค์มาอยู่ที่นี่”

เจินจูกล่าวด้วยน้ำเสียงแสดงความเคารพนับถือฮองเฮา ก่อนจะร่ายกฎระเบียบที่นางไม่เข้าใจ

หลินเมิ้งหยามิได้ใส่ใจกับน้ำเสียงเย้ยหยันเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้

ทว่าหากทุกอย่างเป็นไปตามที่นางพูด เช่นนั้นนางยิ่งต้องระมัดระวังตัวเอง

“เพียงเดินตรงไปและผ่านไปอีกสองประตูก็จะถึงสำนักหมอหลวงแล้วเพคะ แต่พระชายาจะต้องจำเวลาให้ดี หากเกินเวลาเมื่อไร ประตูจะถูกลงกลอนและจะไม่มีใครมาเปิดให้ หากพระชายามาทำงานที่สำนักหมอหลวง เช่นนั้นอย่าได้ลืมเรื่องเวลาเป็นอันขาดเพคะ เพราะหากลืมคงจะเกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นอย่างแน่นอน”

เวลา? หลินเมิ้งหยาท่องไว้ในใจ ที่นี่หาใช่จวนอวี้ ซ้ำนางยังไม่มีคนที่คอยพากระโดดปีนป่ายกำแพงอย่างชิงหูแล้วด้วย