ตอนที่ 430 เด็กคนนี้ไม่ได้ โดย ProjectZyphon

บางคนตกใจ สามารถทำให้จักรพรรดินีต้องออกมาพูดด้วยตนเองแบบนี้ การกระทำของหลินสวินในครั้งนี้ช่างใจกล้าอย่างที่สุด!

และมีคนรู้สึกสะใจ คิดว่าแบบนี้ หลินสวินไม่เพียงล่วงเกินราชวงศ์ แต่ยังทำให้จักรพรรดินีไม่พอใจอย่างแน่นอน

เพราะวันนี้เป็นวันฉลองพระชนมพรรษาครบรอบสามร้อยปีของจักรพรรดินี หลินสวินกลับดุร้ายเผด็จการ ไม่รู้จักยอมเช่นนี้ เป็นการทำลายบรรยากาศชัดๆ

แม้จะไม่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ใดๆ ดังขึ้น แต่ไม่ต้องคิดหลินสวินก็รู้ความคิดในใจของคนเหล่านี้

แต่เขาไม่สน

นับตั้งแต่วินาทีที่จักรพรรดินีพูดขึ้น ก็ถือว่าสมปรารถนาเขาแล้ว เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว

และในยามนี้เองที่หลิงเทียนโหวหน้าเขียวอย่างที่สุด เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง ลุกขึ้นยืนแล้วคุกเข่าลงกับพื้น หันหน้าเข้าหาหลิ่วชิงเยียนที่อยู่ห่างออกไปก่อนที่ศีรษะอันสูงส่งนั้นจะค้อมลงในที่สุด

เฮือก!

เสียงสูดหายใจดังขึ้นไม่ขาดสาย

คุกเข่าลงไปแล้วจริงๆ!

ท่านโหวผู้เลื่องลือเรื่องความดุร้ายและนิสัยยโสโอหังในนครต้องห้ามท่านนี้ วันนี้ไม่เพียงพ่ายแพ้ให้กับหลินสวิน ยังถูกบีบให้คุกเข่าขอขมา ถ้าเผยแพร่ออกไปจะต้องสร้างความฮือฮาครั้งใหญ่ไปทั่วจักรวรรดิแน่!

“ข้าจ้าวจิ่งอิ้นขออภัยคุณหนูหลิ่วชิงเยียนที่ล่วงเกินคุณหนูเอาไว้ก่อนหน้านี้ เป็นการกระทำที่มิควร ต่อไปจะไม่เสียมารยาทกับคุณหนูหลิ่วชิงเยียนอีก!”

เสียงนั่นเฉยชาว่างเปล่า ไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกดังก้องอยู่ในลานแสดงยุทธ์

หลายคนรู้สึกหนาวเยือกในใจขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้หลินสวินถือได้ว่าล่วงเกินหลิงเทียนโหวอย่างที่สุดแล้ว!

พูดจบหลิงเทียนโหวก็ลุกขึ้น นัยน์ตาที่เต็มไปด้วยสีเลือดจ้องหลินสวินอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็หมุนตัวออกจากลานแสดงยุทธ์โดยไม่ได้พูดอะไร

ทุกคนต่างรู้ว่าหลิงเทียนโหวเกลียดหลินสวินเข้าไส้แล้ว หลังจากนี้จะต้องแก้แค้นหลินสวินอย่างแน่นอน

ยามนี้การประลองได้จบลงแล้ว แต่ผลกระทบที่ตามมาไม่จบเพียงเท่านี้แน่

ความแข็งกร้าวและหยิ่งผยองของหลินสวินสร้างภาพจำที่ลึกซึ้งให้กับทุกคนในนั้น ทำให้หลายคนถึงขั้นรู้สึกกลัวขึ้นมา

คนที่ไม่บรรลุเป้าหมายจะไม่ยอมรามืออย่างหลินสวิน เป็นคนที่น่ากลัวที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย!

สิ่งที่ทุกคนกลัวที่สุดคือ เขายังเด็กขนาดนีก็มีความสามารถและพรสวรรค์โดดเด่นเพียงนี้แล้ว เมื่อเติบใหญ่แค่คิดก็รู้ว่าจะน่าสะพรึงกลัวเพียงใด

ทว่าสิ่งที่ทุกคนเป็นห่วงไม่ใช่เรื่องนี้ ก่อนหน้านี้หลินสวินก็เคยล่วงเกินผู้มีอิทธิพลมาแล้วมากมาย วันนี้ก็มาล่วงเกินหลิงเทียนโหวและอำนาจราชวงศ์ที่อยู่เบื้องหลัง หากเขาอยากเติบโตอย่างสงบสุข เห็นจะเป็นไปได้ยากมากๆ แล้ว

“คราวนี้เท่ากับว่าเขาก่อเรื่องใหญ่แล้ว”

เด็กสาวชนชั้นสูงพึมพำขึ้นเบาๆ

“แบบนี้ถึงจะเรียกว่าลูกผู้ชายตัวจริง”

หลิ่วชิงเยียนตอบไม่ตรงคำถาม ดวงตากระจ่างใสของนางจับจ้องเด็กหนุ่มที่อยู่ในลานแสดงยุทธ์ ความภาคภูมิใจอย่างไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ถาโถมขึ้นในใจ

สิ่งที่เหนือความคาดหมายของทุกคนคือ หลังจากผ่านการประลองกันในรอบนี้ หลินสวินยังคงไม่คิดจะออกจากลานแสดงยุทธ์!

“ตาเจ้าแล้ว”

สายตาของเขาดุจดั่งสายฟ้า กวาดมองซ่งอี้ที่อยู่ห่างออกไปอย่างเย็นชา

นี่ประหนึ่งเป็นสายฟ้าอันน่าสะพรึงกลัวอย่างไม่มีผิดเพี้ยน ทำให้ทุกคนต่างนั่งไม่ติด ฮือฮาอย่างต่อเนื่อง เด็กคนนั้นยัง… ยังคิดจะสู้ต่อ?

บ้าคลั่งเกินไปแล้ว!

“เขาจะยึดลานแสดงยุทธ์แต่เพียงผู้เดียว หาเรื่องให้ครบทุกคนเลยหรือ”

สีหน้าของหลายคนเปลี่ยนไป

“ไม่ได้ยินหรือ ก่อนหน้านี้เพราะซ่งอี้จะออกหน้าแทนซ่งเจ๋อและซ่งชงเฮ่อจึงไปท้าทายหลินสวิน ตอนนี้หลินสวินเพียงแค่โต้กลับเท่านั้น”

มีคนอธิบายขึ้น

“ใจกล้าเกินไปแล้ว เมื่อครู่นี้ถึงขั้นที่จักรพรรดินีออกหน้าแล้ว หลินสวินยังไม่รู้จักหยุด เขาไม่กลัวตายหรืออย่างไร”

มีคนสงสัย ต่างดูไม่ออกว่าหลินสวินเป็นคนอย่างไรกันแน่

เสียงฮือฮาดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย แม้แต่คนใหญ่คนโตชนชั้นสูงหลายคนยังหมดคำพูด พวกเขาเพิ่งเคยเห็นเด็กหนุ่มที่แข็งกร้าวจนไม่เกรงกลัวฟ้าดินอย่างหลินสวิน

ส่วนซ่งอี้ที่ถูกหลินสวินเอ่ยชื่อ ยามนี้สีหน้าก็คล้ำเคร่งลง

ในฐานะอันดับหนึ่งของการทดสอบระดับอาณาจักร ย่อมเป็นผู้กล้าที่หายาก ไม่ว่าจะความสามารถหรือพรสวรรค์ล้วนเรียกได้ว่าโดดเด่นเหนือใคร

แต่พอได้เห็นการประลองระหว่างหลินสวินกับฉือฉางเฟิงและหลิงเทียนโหว ทำให้เขาหนักใจอย่างมาก ประเมินตัวเองว่าหากขึ้นลานแสดงยุทธ์ไป อย่างมากก็มีความมั่นใจเพียงครึ่งเท่านั้นว่าสู้หลินสวินได้

เดิมเขาคิดว่าหลินสวินจะรู้ขอบเขต รู้จักหยุด เช่นนั้นเขาก็จะไม่พูดถึงเรื่องนี้ รอโอกาสหน้าค่อยเล่นงานหลินสวินก็ยังไม่สาย

แต่เขาคิดไม่ถึงว่าหลินสวินกลับเอ่ยชื่อเขาตรงๆ อย่างไม่มีท่าทีจะรามือเลย!

สีหน้าของหลายคนต่างดูแปลกประหลาดอย่างควบคุมไม่อยู่ ความจริงในสถานการณ์เช่นนี้พวกเขาไม่ค่อยคาดหวังในตัวซ่งอี้นัก

แม้แต่หลิงเทียนโหวยังพ่ายแพ้ให้หลินสวิน เช่นนั้นซ่งอี้จะมีหวังว่าจะชนะได้หรือ

อย่าว่าแต่ซ่งอี้เลย หลายคนถึงขั้นสงสัยว่า ในบรรดาผู้กล้าในจัตุรัสตอนนี้ คนที่สู้หลินสวินได้คงมีเพียงไม่กี่คน!

นี่ก็คือความอำนาจ

การเอาชนะฉือฉางเฟิง ทำให้ทุกคนตระหนักได้ถึงความแข็งแกร่งของหลินสวิน

และการเอาชนะหลิงเทียนโหว ก็เป็นการยืนยันความน่าสะพรึงกลัวของหลินสวินอย่างถึงที่สุด!

ขอเพียงแค่เป็นคนฉลาด ยามนี้คงไม่เลือกที่จะปะทะกับหลินสวินอีก

แต่ที่น่าเสียดายคือซ่งอี้ได้ส่งคำท้าไปแล้ว ตอนนี้ถูกหลินสวินเอ่ยชื่อ หากเขาไม่ขึ้นไปสู้ก็จะเป็นการขายหน้าเกินไป

และนี่ก็เป็นเหตุผลที่สีหน้าของทุกคนดูแปลกประหลาดเช่นนี้

“อย่าชักช้า รีบขึ้นมา บางทีหลังจากเจ้าแพ้ไปแล้ว อาจมีคนอื่นๆ ในนี้ที่อยากประลองกับข้าด้วย เขาจะทำให้ทุกคนผิดหวังไม่ได้”

หลินสวินพูดอย่างสบายๆ แต่กลับเป็นการประกาศกร้าวกลางลาน ทำให้สีหน้าของซ่งอี้เปลี่ยนไป เพลิงโกรธพลุ่งพล่านในใจ

เจ้าหมอนี่คิดว่าเขาซ่งอี้ไม่กล้าจริงๆ หรือ

เพียงแต่ยังไม่ทันที่เขาจะรับคำ พลันเห็นหัวหน้าเผิงที่อยู่ข้างลานแสดงยุทธ์เอ่ยปากขึ้นกะทันหัน

“หลินสวิน จักรพรรดินีเรียกพบ”

ประโยคเดียวทำให้ทุกอย่างเงียบกริบ

จักรพรรดิเรียกพบงั้นหรือ

หรือเพราะทนเห็นความจองหองของหลินสวินไม่ไหวแล้วเหมือนกัน?

แม้แต่หลินสวินยังอึ้งไม่น้อย “ตอนนี้?”

หัวหน้าเผิงพยักหน้า

“เชิญตามข้ามา”

นางกำนัลคนหนึ่งที่ไม่รู้ว่ายืนอยู่ข้างๆ หัวหน้าเผิงตั้งแต่เมื่อไหร่ส่งเสียงเบาๆ

หลินสวินคิดๆ แล้วเดินตามนางกำนัลคนนั้นออกไปจากลานแสดงยุทธ์อย่างไม่ลังเล

จวบจนกระทั่งพวกเขาจากไป ในลานแสดงยุทธ์ก็พลันก็เกิดเสียงดังขึ้นมา ทุกคนต่างคาดเดาถึงเหตุผลที่จักรพรรดินีเรียกหลินสวินเข้าพบ

มีคนคิดว่าจะต้องเป็นเพราะจักรพรรดินีไม่อยากให้หลินสวินก่อเรื่องต่อไปเป็นแน่ เพราะจุดประสงค์ของการจัดงานประลองในครั้งนี้ ก็เพื่อให้เหล่าผู้กล้ารุ่นนเยาว์ได้แสดงฝีมือ เพื่อคว้าโอกาสที่จะได้เข้าไปฝึกฝนในดินแดนรกร้างโบราณ

ถ้าหลินสวินก่อความวุ่นวายต่อไป จะต้องทำลายเป้าหมายที่แท้จริงของการประลองในครั้งนี้แน่

และมีคนคิดว่าหลินสวินอาจจะได้รับการยอมรับจากผู้สูงส่งที่มาจากดินแดนรกร้างโบราณ จึงได้ถูกเรียกไปเข้าพบ

สรุปแล้วมีการคาดเดาทุกรูปแบบ

“ทุกท่าน การประลองยังคงดำเนินต่อ ไม่ทราบว่ายังมีใครอยากขึ้นมาแสดงฝีมือหรือไม่”

หัวหน้าเผิงส่งเสียง หยุดความฮือฮาและเสียงวิจารณ์

……

ในเวลาเดียวกันนั้น ด้วยการนำทางของนางกำนัล หลินสวินก็เดินผ่านไปตามตำหนักพระราชวังอันเก่าแก่น่าเกรงขาม ผ่านเส้นทางคดเคี้ยวเป็นเวลาหนึ่งถ้วยชาเต็มๆ และมาถึงตำหนักหลังหนึ่ง

ตำหนักนั้นไม่มีชื่อ ดูเก่ามาก การตกแต่งเรียบง่ายแต่กลับแฝงกลิ่นอายความยิ่งใหญ่

ในตำหนักไม่มีคน นางกำนัลเชิญให้หลินสวินนั่งแล้วชงชาให้แก้ว ก่อนจะพูดว่า “คุณชายโปรดรอสักครู่ จักรพรรดินีกำลังจะมาถึง”

หลินสวินพยักหน้า เขาไม่รู้เหตุผลที่จักรพรรดินีเรียกพบ แต่คิดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ ไม่นานเขาก็หันไปสนใจพลังปราณของตัวเอง

ในการประลองเมื่อครู่นี้เขาได้บรรลุพลังปราณไปด้วย เข้าสู้ขั้นปลายแห่งระดับมหาสมุทรวิญญาณ พลังที่มีเปลี่ยนเป็นรูปแบบใหม่ทั้งหมด

ยามนี้เขาได้มีเวลาว่างสัมผัสกับความเปลี่ยนแปลงของพลังรอบตัวอย่างละเอียดเสียที

ก่อนอื่นพลังวิญญาณในจุดชี่ไห่หนาแน่นขึ้นมากกว่าเท่าตัว ซัดกระหน่ำราวกับคลื่นทะเลที่ไม่มีที่สิ้นสุด กว้างใหญ่อย่างที่สุด

เหนือมหาสมุทรวิญญาณ อาทิตย์จันทร์ลอยเด่น ดาราห้อมล้อม พายุลูกหนึ่งทะยานขึ้นฟ้า พาดขวางระหว่างผืนฟ้าและผืนน้ำ ส่งเสียงกึกก้องราวคำราม

ที่แตกต่างจากก่อนหน้านี้คือ หลังบรรลุสู่ระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นปลายแล้ว ทั่วทั้งมหาสมุทรวิญญาณจะมีพลังชีวิตที่อธิบายไม่ถูกเพิ่มเข้ามามีชีวิตชีวาและยิ่งใหญ่เป็นพิเศษ!

เท่าที่หลินสวินรู้ เมื่อพลังปราณบรรลุสู่ระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นสมบูรณ์ มหาสมุทรวิญญาณภายในร่างก็จะปรากฏ ‘ประตูลับ’

ลึกลับแล้วลึกลับอีก เป็นที่ซ่อนแห่งวิญญาณ!

‘ประตูลับ’ นี้เป็นรากฐานของจุดชี่ไห่ เรียกอีกอย่างว่าจุดแห่งชี่ไห่ ถ้าเปิดออกได้ก็จะกลายเป็นผู้อยู่ในระดับหยั่งสัจจะอย่างแท้จริง!

แต่ตอนนี้ขอบเขตนั้นยังถือว่าเร็วเกินไปสำหรับหลินสวิน

นอกจากการเปลี่ยนแปลงในด้านพลังปราณ การเปลี่ยนแปลงของพลังจิตวิญญาณยิ่งน่ากลัว ตอนนี้ภายในห้วงนิมิตของหลินสวินมีดวงดาวแห่งจิตสามพันหกร้อยดวงถูกจุดประกายขึ้น เปล่งประกายราวกับดวงดาราอันใสบริสุทธิ์ อาบชโลมวิญญาณ ส่องสว่างอยู่ในห้วงนิมิต!

เมื่อเทียบกับที่ผ่านมา เพียงแค่จำนวนของดวงดาวแห่งจิตก็มากขึ้นมากกว่าเท่าตัวแล้ว!

ดวงดาวแห่งจิตเป็นเครื่องแสดงถึงขอบเขตพลังแห่งจิตวิญญาณ ในสามขอบเขตใหญ่ของ ‘เคล็ดเวทบริกรรม’ ถือว่าอยู่ในขอบเขต ‘ดาราจักรโคจร’

หลินสวินเคยแอบพิจารณาว่าจากความเร็วในการพัฒนาเช่นนี้ ตอนที่ตนบรรลุสู้ระดับหยั่งสัจจะ บางทีอาจจะสามารถฝึกฝนขอบเขต ‘ดาราจักรโคจร’ จนถึงขั้นสมบูรณ์แบบแล้วก็เป็นได้!

ความยิ่งใหญ่ของพลังจิตวิญญาณนั้นไม่ต้องพูดถึง มีประโยชน์ต่อการทำความเข้าใจวิชายุทธ์ การสลักรอยสลักวิญญาณ การรับรู้ถึงตนเองและการสำรวจความลี้ลับของสวรรค์และโลก มีประโยชน์มากมายอย่างไม่อาจประเมินได้

ถ้าเทียบกันด้านพลังจิตวิญญาณแล้ว ในหมู่ผู้ฝึกปราณระดับเดียวกันทั้งจักรวรรดิ เกรงว่าจะไม่เจอใครที่เหนือกว่าหลินสวิน!

นี่ก็คือจุดแข็งอันยิ่งใหญ่ของ ‘เคล็ดเวทบริกรรม’

วิชาลับที่สืบทอดในห้องโถงมรรคาสวรรค์วิชานี้ กล่าวได้ว่ามีส่วนช่วยในเส้นทางการฝึกปราณของหลินสวินอย่างเงียบๆ มาตั้งแต่ต้น

……

ในขณะที่หลินสวินกำลังหยั่งรู้ถึงพลังของตัวเอง ในห้องโถงใหญ่อันงดงามอีกห้อง จักรพรรดินีองค์ปัจจุบันนั่งอยู่บนที่นั่งประธานและกำลังพูดคุยกับผู้ฝึกปราณทั้งสามท่านจากดินแดนรกร้างโบราณ

“หลินสวินคนนี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ กระทั่งในดินแดนรกร้างโบราณยังถือว่าหายาก เพียงแต่นิสัยนั้นยังมีจุดบกพร่องอยู่บ้าง ยโสโอหังนัก ทำอะไรเกินเหตุแบบนี้ หากไม่แก้อาจประสบวิบัติภัยได้ง่าย”

ชายชราที่มีหนวดเคราและผมขาวดั่งหิมะ สวมเสื้อคลุมสีดำลูบเคราพูด

เขาผู้นี้มีนามว่าฮว่าซิงจื่อ มาจาก ‘สำนักยุทธ์ปฐมหยก’ แห่งดินแดนรกร้างโบราณ

“แข็งเกินไปก็หักง่าย เด็กคนนี้ไม่เลวเลย แต่กลับสามารถก่อปัญหามากมายได้อย่างง่ายดาย หากถูกข้าพากลับไปฝึกที่สำนัก ต้องดัดนิสัยความบ้าบิ่นของเขาก่อน”

อีกด้าน ชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีม่วงที่มีผิวคล้ำและสีหน้าเย็นชาพูดเสียงขรึม เขามีนามว่าหลูเจิ้นหยาง มาจาก ‘สำนักหน้าผาเมฆวิญญาณ’

“ทั้งสองท่าน ข้ากลับคิดว่านิสัยของเด็กคนนี้เหมาะสมกับ ‘สำนักกระบี่นิลดำ’ ของข้ามาก ฮึกเหิมกล้าหาญ ไม่เกรงกลัวสิ่งใด หากใช้วิถีกระบี่เป็นฐาน อนาคตต้องกว้างไกลไม่มีที่สิ้นสุดแน่!”

ชายในชุดคลุมสีขาวที่พูดขึ้นเป็นคนสุดท้าย คำพูดนั้นเปี่ยมไปด้วยความชื่นชม

เขาชื่อว่าซุนเจี้ยนหงมาจากสำนักกระบี่นิลดำ

เห็นสหายทั้งสามต่างเอ่ยปากราวกับถูกใจหลินสวินอย่างมาก จักรพรรดินีกลับส่ายหน้าพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “กลัวว่าจะต้องทำให้ทุกคนผิดหวังแล้ว เด็กทุกคนที่อยู่ที่นี่ล้วนไปกับพวกเจ้าได้ แต่เด็กคนนี้…ไม่ได้”

อะไรนะ?

ฮว่าซิงจื่อ หลูเจิ้นหยาง และซุนเจี้ยนหงต่างอึ้งงันไปตามๆ กัน

——