ตอนที่ 220 สร้างความน่าเชื่อถือ

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 220 สร้างความน่าเชื่อถือ

เมื่อทั้งสองสบตากัน อันหลิงเกอก็ยกยิ้มให้มู่จวินฮานซึ่งถือเป็นการส่งสัญญาณจากนาง

หลังจากนั้นมู่จวินฮานก็เดินไปหยุดอยู่ตรงขอทานที่นอนขดตัวในมุมหนึ่งแล้วย่อตัวลง จากนั้นดึงแขนเสื้อเก่า ๆ ของอีกฝ่ายออก

พบว่าผิวหนังใต้ร่มผ้าของขอทานมีลักษณะเป็นตุ่มและมีกลิ่นเหม็นเน่าของน้ำหนองโชยออกมา

“เจ้าติดโรคแล้ว”

เสียงของมู่จวินฮานมิดังมิเบาทำให้ชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียงก็ได้ยินเช่นกัน

ชาวบ้าวพวกนั้นพากันเดินเข้ามาดูก็เห็นผิวหนังบริเวณแขนของขอทานจึงทำให้พวกเขาเบิกตาโตแล้วรีบถอยไปด้านหลัง

ขอทานคนนั้นก็ตกตะลึงเช่นกัน ใบหน้าสกปรกแสดงท่าทีตื่นกลัวขึ้นมา “ข้าเปล่า ข้ามิได้เป็นโรค อย่าเผาข้าเลย ! ”

“เจ้ามิต้องกลัว” เสียงอ่อนโยนดุจปุยเมฆของสตรีดังขึ้นในเวลาเดียวกัน แทรกผ่านเข้าหูของขอทาน “เรามียารักษาโรคระบาดแล้ว เพียงเจ้าใช้ยานี้ตลอดสามวันก็จักหายจากโรค”

“จริงหรือ ? ” ใบหน้าของขอทานแสดงความแปลกใจและสงสัยออกมา “พวกท่านมิได้หลอกข้าใช่หรือไม่ ข้ายังมิเคยได้ยินมาก่อนว่ามียารักษาโรคระบาด”

มู่จวินฮานเดินหามาหาอีกก้าวหนึ่งแล้วจับข้อมือของเขาขึ้นโดยมิได้มีท่าทีรังเกียจต่อร่างอันสกปรก ทั้งยังมิหลบหลีกเพราะอีกฝ่ายเป็นโรคระบาดแต่อย่างใด

การกระทำเช่นนี้ทำให้ขอทานตกตะลึงและคนที่ถอยออกไปด้านหลังก็ตกตะลึงเช่นกัน

บุรุษผู้นี้มีใบหน้าหล่อเหลามิธรรมดา ดูก็รู้ว่าเป็นผู้ที่เติบโตมาจากตระกูลใหญ่โต คาดมิถึงเลยว่าจักกล้าจับตัวขอทานผู้นั้น นี่เป็นการรนหาที่ตายชัด ๆ

มู่จวินฮานที่ ‘รนหาที่ตาย’ ในสายตาของทุกคนกำลังจับมือของขอทานอย่างมิถือสา “ข้ามีสูตรยาที่สามารถป้องกันโรคระบาดได้ ตอนนี้เจ้าคงเชื่อแล้วใช่หรือไม่ ? ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ชาวบ้านก็เข้าใจในทันทีว่าที่แท้บุรุษผู้นี้มิได้อยากตาย เพียงแต่ใช้วิธีนี้เพื่อยืนยันว่ามิได้กลัวติดโรคระบาด เพราะในมือมียาที่รักษาโรคระบาดได้

ยาสูตรนั้นใช้ได้ผลจริงหรือ ?

ขอทานที่กลัวจนตัวสั่นเงยหน้ามองบุรุษผู้สมบูรณ์แบบตรงหน้า “สูตรยาที่ท่านกล่าวถึงได้ผลจริงหรือ ? ”

“ได้ผลอย่างแน่นอน” สตรีเอ่ยแทนบุรุษ อีกทั้งยังเป็นน้ำเสียงอ่อนโยนเช่นเดิมทำให้คนปักใจเชื่อได้

นางมองขอทานด้วยแววตาอ่อนโยน โฉมหน้างดงามราวนางฟ้านางสวรรค์แต่มิมีความถือตนแม้เพียงเล็กน้อย

“หากเจ้ามิเชื่อ ข้าจักให้คนต้มยาให้เจ้าทานตอนนี้เลย”

อันหลิงเกอเผยรอยยิ้มตรงมุมปาก ดวงตาโค้งสวย ท่าทางของนางทำให้คนขอทานตื้นตันใจจนกล่าวติดขัด “สามารถรักษาโรคได้จริง จริงหรือ ข้าจักมิตายจริงหรือ ? ”

“เจ้าทานยาแล้วจักรู้เอง แต่ผลของยาจักมีเร็วและช้านั้นขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละคน” มู่จวินฮานกล่าวและชี้มือไปทางอันอิงเฉิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าร้านขายยา “ตรงนั้นเป็นร้านยาของเรา ข้าดูแล้วเจ้ามิมีเงิน เช่นนั้นข้าจักให้ยาเจ้าจนกว่าหายขาด”

คำนี้ทำให้ขอทานยิ่งซาบซึ้งใจขึ้นไปอีก เขามองตามนิ้วมือของมู่จวินฮานก็เห็นร้านยาที่ตกแต่งอย่างดีอยู่ร้านหนึ่ง ตรงหน้าร้านยามีคนมิน้อยเดินเข้าออกและยังมีเตาต้มยาวางไว้หน้าประตูอย่างมากมาย ยาต้มยังส่งกลิ่นไปทั่วถนน มองแล้วแปลกใหม่มิน้อยเลย

หลังจากนั้นขอทานก็ลุกขึ้นด้วยท่าทางเก้กังแล้วเดินตามหลังมู่จวินฮานกับอันหลิงเกอ เพื่อไปรับยาที่หน้าร้าน

อันอิงเฉิงมองคนต้มยาให้ขอทาน หลังใช้ยามิถึงครึ่งชั่วยาม น้ำหนองบนตัวขอทานก็หยุดไหล ราวกับว่าตุ่มแดงบนตัวก็จักดีขึ้นมิน้อยเลย

เป็นเหตุให้ชาวบ้านบนถนนตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลังจากนั้นดวงตาของพวกเขาก็เป็นประกายสว่างวาบทันที

แม้ขอทานมิได้หายขาดในทันที แต่เมื่อทานยาลงไปอาการของเขาก็ทุเลามิน้อย หากทานยาติดต่อกันเป็นเวลาสามวัน คนที่ติดโรคระบาดก็จักหายเป็นปกติเยี่ยงนั้นหรือ ?

เมืองฉู่โจวเกิดโรคระบาด ใครบ้างที่มิมีญาติอยู่ในฉู่โจว แม้ว่าตนโชคดีที่มิติดโรคแต่เพื่อนบ้านและญาติพี่น้องก็ย่อมมีคนที่ติดและได้รับความทรมานอยู่ กำลังนอนรอความตายอีกมากมาย

ในเวลานี้พวกเขาถูกกักอยู่ที่นี่ การติดโรคย่อมเป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นมิช้าก็เร็ว

กระทั่งวันนี้มีร้านยาแปลก ๆ นำยารักษาโรคออกมา สิ่งนี้สำหรับพวกเขาก็เหมือนได้เห็นความหวังในการมีชีวิตอยู่

อันหลิงเกอมิได้สังเกตเห็นอาการตะลึงในสายตาของชาวบ้าน นางมองขอทานคนนั้นและรอยยิ้มบนริมฝีปากก็ลึกซึ้งขึ้น “เจ้าเห็นหรือไม่ เพียงเจ้าทานยาลงไปอาการก็ดีขึ้นมิน้อยเลย”

ตอนนี้ใบหน้าของขอทานยังแสดงความประหลาดใจมิหยุด เขาลูบแขนแล้วเผยรอยยิ้มกว้างออกมา จากนั้นน้ำตาก็เริ่มไหลอาบแก้มและรีบคุกเข่าลงพื้นเพื่อคำนับขอบคุณพวกนาง

“ขอบคุณผู้มีพระคุณ พวกท่านเป็นพระโพธิสัตว์มาโปรดอย่างแท้จริง ! ”

เขาเป็นเพียงขอทานคนหนึ่งจึงมิอาจกล่าวคำสวยหรูอันใดออกมาได้ ทำแค่กล่าวถึงความเมตตาและพระคุณของพระโพธิสัตว์ที่ช่วยชีวิต

จากนั้นอันอิงเฉิงก็โบกมือและสั่งคนให้รีบพยุงเขาขึ้นมา

โครงหน้าของอันอิงเฉิงดูเคร่งขรึม เมื่อไพล่มือทั้งสองข้างไว้ด้านหลังจึงดูมีอำนาจขึ้นมามิน้อย “เป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น พวกข้ามาฉู่โจวเพื่อรักษาโรคระบาด หากมีผู้ใดติดโรคก็สามารถมาซื้อยาที่นี่ได้เลย ส่วนคนที่ยังมิติด เมื่อทานยาลงไปแล้วก็จักมิติดโรคระบาดอย่างแน่นอน”

เมื่อเขากล่าวจบก็เกิดเสียงวิจารณ์เซ็งแซ่ โดยรวมแล้วดูวุ่นวายมาก

มู่จวินฮานมองคนที่กำลังวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ จากนั้นก็กล่าวเสียงดัง “มิเพียงแค่นี้ เพราะเพื่อช่วยเหล่าราษฎรที่ยากลำบาก พวกเราจึงตัดสินใจให้ผู้ที่มาซื้อยาภายในสามวันนี้จ่ายเงินแค่ 5 อีแปะแลกกับยาหนึ่งชุด”

ยาหนึ่งชุดจ่ายแค่ 5 อีแปะเองหรือ !

นี่เท่ากับมิเก็บเงินเลย เงินแค่ 5 อีแปะจักสามารถทำอันใดได้เล่า แค่ซื้อซาลาเปายามเช้าให้คนทั้งครอบครัวก็หมดแล้ว เหตุใดยารักษาโรคระบาดจึงราคาถูกเพียงนี้ ?

เห็นชาวบ้านพากันสงสัย อันหลิงเกอจึงเผยรอยยิ้มและกล่าวยืนยันอีกครั้ง “ราคานี้ให้ภายในสามวันนี้เท่านั้น”

ท่าทางพวกนางดูเหมือนคนค้าขายอย่างแท้จริง คนที่มิรู้ความจริงก็เดามิออกว่าหนึ่งในนั้นเป็นถึงท่านโหว คนหนึ่งเป็นมู่ซื่อจื่อและอีกคนเป็นจวิ้นจู่

ข่าวนี้แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว แม้มีผู้เห็นเหตุการณ์มิมาก แต่พอถูกพูดแบบปากต่อปากจึงทำให้มีคนรู้เรื่องนี้มิน้อยเลย

มีหลายครอบครัวที่ทางบ้านติดโรคแต่ฐานะยากจน เมื่อได้ยินข่าวนี้แล้วแม้มีความหวังเพียงเล็กน้อยก็ยังพยายามครั้งสุดท้ายพากันวิ่งมาที่ร้านยา

อันอิงเฉิงให้เหล่าทหารลงชื่อชาวบ้านที่มาซื้อยาเอาไว้และสั่งให้หมอหลวงต้มยาแก่พวกเขา เมื่อเห็นพวกเขาดื่มยาแล้วก็ทยอยกลับบ้านไป

เหตุการณ์เยี่ยงนี้ย่อมมิได้มีเพียงคนเดียว จนกระทั่งฟ้าเริ่มมืดก็มีชาวบ้าน 34 คนในเมืองฉู่โจวที่ดื่มยาลงไปแล้ว

อันหลิงเกอมองรายชื่อในมือ แววตาแฝงไปด้วยรอยยิ้ม

ขอแค่มีคนยอมมาซื้อยา ผลของยานี้จักถูกบอกต่อกันไปอย่างรวดเร็วและการที่พวกเขาเล่นละครฉากนี้ขึ้นมาก็มินับว่าเสียแรงโดยเปล่าประโยชน์