บทที่ 30 ใครโหดเหี้ยมกว่ากัน? (1) Ink Stone_Romance
หัวใจของฉู่สวินหยางบีบรัดแน่น
เหยียนหลิงจวินเม้มปาก นัยน์ตามีไอเย็นวาบผ่าน
ฉู่ฉีเฟิงหันกลับไปมองหน้าประตูห้องทรงอักษรที่มีองครักษ์พร้อมอาวุธครบมือประจำอยู่ นำคนทั้งสองเดินไปที่ด้านข้างของลานกว้างหน้าตำหนัก แล้วหันไปพูดกับเจี่ยงลิ่วด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นอีกรอบสิ”
“เมื่อครู่เลยขอรับ ประมาณครึ่งชั่วยามก่อนหน้า มีมือสังหารลอบเข้าจวน บุกไปที่เรือนที่ชายารองพักอยู่” เจี่ยงลิ่วเล่า หัวคิ้วขมวดพันกันวุ่น และเพราะยังทำใจให้เชื่อไม่ได้ จึงพยายามบังคับลมหายใจให้สงบลงก่อน
“เจี๋ยหงกับเฉี่ยนลวี่เล่า?” เหยียนหลิงจวินถาม
ก่อนออกมาเขาได้กำชับให้สาวใช้ทั้งสองคอยเฝ้าคนแซ่ฟางไว้ไม่ให้ห่าง
“ตอนนั้นข้างกายชายารองมีเพียงแม่นางสองคนคอยดูแลรับใช้ พวกองครักษ์ต่างเฝ้าอยู่ด้านนอก ต่อมาได้ยินเสียงเอะอะข้างใน ตอนที่เข้าไปถึงก็เห็นแม่นางทั้งสองล้มลงไปแล้ว!” เจี่ยงลิ่วเล่าไปก็หอบหายใจไป
“จับคนไว้ได้ไหม?” ฉู่สวินหยางถามบ้าง
นานเท่าไรแล้วที่วังบูรพาของพวกเขาไม่เคยเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ถึงขั้นมีคนอาจหาญบุกเข้าไปถึงเรือนหลัง
“ไม่ขอรับ!” เจี่ยงลิ่วรู้สึกละอายนัก “ตอนที่องครักษ์เข้าไปมันก็โดดออกหน้าต่างไปแล้ว”
“คนเดียว?” ฉู่ฉีเฟิงทักเสียงเบา
“น่าจะ…ขอรับ!”
เหยียนหลิงจวินเอาแต่เม้มปากไม่ออกเสียง พอดีกับตอนนั้นมีคนประคองหลัวฮองเฮาออกมาจากด้านหลังห้องทรงอักษร
ฉู่ฉีเฟิงมองตามสายตาของเหยียนหลิงจวินไป เอ่ยว่า “เจ้าสงสัย…”
เหยียนหลิงจวินไม่ตอบรับและไม่ปฎิเสธ
ความจริงแล้วทั้งสามต่างรู้ดี เรื่องนี้มีความเป็นไปได้น้อยมากที่จะเกี่ยวพันไปถึงหลัวฮองเฮา ถึงแม้จุดประสงค์ของทั้งสามจะต้องการล้มหลัวฮองเฮา แต่ในใจต่างก็กระจ่างชัดถึงความจริงในข้อนี้
“เจี๋ยหงกับเฉี่ยนลวี่เป็นอย่างไรบ้าง?” ฉู่สวินหยางถามอย่างครุ่นคิด
“แค่ถูกตีจนสลบไปขอรับ” เจี่ยงลิ่วตอบ “ไม่อันตรายถึงชีวิต”
ไม่สังหารคน?
“ท่านแม่ล่ะ?” ฉู่ฉีเฟิงถาม
“หมอกู่ตรวจดูแล้ว อาการของชายารองยังเหมือนเดิม อีกฝ่าย…เหมือนจะไม่ได้ต้องการทำร้ายคน” เจี่ยงลิ่วตอบพลางขมวดคิ้วทำหน้าคิดไม่ตก
คนทั้งสามมองหน้ากันอีกครั้ง ต่างเห็นความหนักอึ้งฉายชัดที่นัยน์ตาของอีกฝ่าย
ไม่ฆ่าคน ไม่เอะอะเปิดเผย แล้วอีกฝ่ายยอมเสี่ยงตายบุกเข้ามาวังบูรพาเพื่อสิ่งใด?
ต้องมีจุดประสงค์อื่นแน่!
“กลับไปดูก่อนเถอะ!” ฉู่สวินหยางกล่าว พลางหันกลับไปมององครักษ์ที่หน้าห้องทรงอักษรอีกครั้ง
ฉู่ฉีเฟิงกำลังพยักหน้ารับ พลันเห็นคนวิ่งกระหืดกระหอบมาตามระเบียงทางเดินที่เชื่อมระหว่างห้องทรงอักษรกับตำหนักโซ่วคัง นั่นก็คือหัวหน้าขันทีประจำตำหนักโซ่วคัง หนีอันขุย
“แย่…แย่แล้ว…แย่แล้วพ่ะย่ะค่ะ!” หนีอันขุยไร้ซึ่งสติโดยสิ้นเชิง วิ่งล้มลุกคลุกคลานเข้ามาด้วยสีหน้าไร้เลือด พอเห็นหลัวฮองเฮาถูกคนพยุงออกมา ไม่ทันสังเกตท่าทางไร้เรี่ยวแรงของนาง ก็โผไปที่แทบเท้าทันที แล้วรายงานเสียงดังลั่น “ฮองเฮา เกิดเรื่องแล้ว แม่นมเหลียง…แม่นมเหลียงกับไฉ่เยวี่ย ตายแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮองเฮาหลัวเดิมก็หัวใจทดท้อ เหี่ยวเฉาไปทั้งตัว พอได้ฟังความนัยน์ตาพลันสว่างวาบ
เพราะหนีอันขุยโหวกเหวกเสียงดังเกินไป ทำให้หลี่รุ่ยเสียงที่อยู่ด้านในก้าวฉับๆ ออกมาด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์นัก
หนีอันขุยหวาดกลัวเขา รีบหุบปากแน่น แต่เพราะจิตใจสับสน ทุกอย่างจึงฟ้องออกมาผ่านแววตา
“อาจารย์” เย่าสุ่ยโผล่ออกมาจากด้านข้าง กระซิบที่ข้างหูหลี่รุ่ยเสียงว่า “หนีกงกงพูดว่าแม่นมเหลียงกับไฉ่เยวี่ยตายแล้วขอรับ”
ตามหลักแล้ว ตำหนักหลัวฮองเฮาจะมีสาวใช้ตายสักคนหรือสองคนก็หาได้จำเป็นต้องรายงานฮ่องเต้ไม่ จัดการให้เรียบร้อยแค่ภายในเป็นอันใช้ได้แล้ว ต่อให้ทั้งสองคนจะเป็นคนสนิทของหลัวฮองเฮาก็ตาม
แต่ตอนนี้หลัวฮองเฮาเพิ่งจะถูกยึดอำนาจคืนไป
คิ้วของหลี่รุ่ยเสียงกระตุกเบาๆ สีหน้าที่เคยแต่ราบเรียบไร้อารมณ์ บัดนี้กลับตวัดสายตาคมกริบไปทางหนีอันขุย
ร่างของหนีอันขุยสั่นสะท้าน พยายามก้มหน้าลงต่ำ
ทางด้านสองพี่น้องฉู่สวินหยางที่กำลังเตรียมออกจากวัง เห็นทางนี้เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น ก็อดจะระแวดระวังไม่ได้
ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ฉู่สวินหยางก็หันไปบอกฉู่ฉีเฟิงว่า “พี่ชายเป็นห่วงท่านแม่ก็กลับไปก่อนเถิด ข้ารั้งอยู่ที่นี่อีกสักพัก”
ฉู่ฉีเฟิงไม่วางใจจริงๆ หยุดคิดเล็กน้อยแล้วพยักหน้า “ได้ เจ้าก็ระวังตัวด้วย”
กล่าวจบก็หันไปมองเหยียนหลิงจวิน
เหยียนหลิงจวินคิดหนัก ก่อนจะฝืนยิ้มส่งให้ฉู่สวินหยาง ตอบว่า “ข้าตามไปดูชายารองหน่อย ถ้าที่นี่ไม่มีอะไร…”
“ข้าจะรีบกลับ!” ฉู่สวินหยางตอบ
“อืม!” เหยียนหลิงจวินหัวเราะ หมุนกายจากไปพร้อมกับฉู่ฉีเฟิง
ฉู่สวินหยางมองตามแผ่นหลังของทั้งคู่อยู่ไม่นาน จากนั้นก็รีบดึงสติแล้วพุ่งตัวไปทางทิศทางของห้องทรงอักษร
“หัวหน้าหลี่ เกิดเรื่องอะไรขึ้นรึ?” ฉู่สวินหยางถาม
“เหมือนว่าตำหนักของฮองเฮาจะเกิดเรื่องขอรับ!” หลี่รุ่ยเสียงตอบ “ท่านหญิงจะออกจากวังหรือไม่? ข้าน้อยจะให้คนยกเกี้ยวมารับ?”
“ไม่ต้องหรอก!” ฉู่สวินหยางยิ้มให้ หันไปกล่าวกับหลัวฮองเฮาด้วยสีหน้านิ่งเรียบ “เสด็จย่าไม่สบาย น่ากลัวจะได้รับความสะเทือนใจ ไม่ใช่เกิดเรื่องที่ตำหนักหรือเพคะ? เดี๋ยวหม่อมฉันจะไปส่งเสด็จย่าเอง!”
“ไม่…” หนีอันขุยตกใจ รีบปฏิเสธหลบเลี่ยง
สายตาเย็นเยียบของฉู่สวินหยางตวัดไปมองทันที
หัวใจของอีกฝ่ายสั่นไหว รีบกัดลิ้นแล้วหุบปากฉับ
แม่นมเหลียงเป็นสาวใช้ที่ติดตามนางมาเมื่อครั้งแต่งออกจากสกุลเก่า ทั้งเป็นคนรู้ใจ ส่วนไฉ่เยวี่ยก็เป็นข้ารับใช้ข้างกายของนาง สองคนมาจบชีวิตลงพร้อมกัน หากปิดเรื่องเงียบก็จบแล้วไปเถอะ ทว่าตอนนี้รู้กันจนทั่ว คงไม่อาจจบเรื่องได้ง่ายๆ
ทั้งฉู่สวินหยางคนนี้…
เห็นชัดว่าพยายามก่อกวนให้วุ่นวายยิ่งกว่าเก่า
หลัวฮองเฮาทำหน้าดุร้าย จ้องนางอย่างเกลียดชัง แต่เพราะร่างกายอ่อนแอเกินกว่าจะทะเลาะกับนาง
หลี่รุ่ยเสียงครุ่นคิดเล็กน้อย ประจวบกับฮ่องเต้ก็ถูกประคองออกมาจากห้องทรงอักษรพอดี เห็นว่าหลายคนรวมตัวกันอยู่ก็ตรัสถามด้วยสีหน้าอึมครึมว่า “มาทำอะไรกันตรงนี้?”
“ฝ่าบาท!” หลี่รุ่ยเสียงคารวะหนึ่งที ทูลด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบดังที่เคยเป็น “ร่างกายของฮองเฮาไม่สู้ดี หม่อมฉันจะไปส่งฮองเฮาด้วยตัวเองพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่รุ่ยเสียงทำงานรอบคอบ ฮ่องเต้ย่อมไม่ติดใจคิดมาก เพียงหมุนกายเดินจากไป
มองส่งฮ่องเต้จากไปไกล หลี่รุ่ยเสียงสั่งให้ส่งรถลากเข้ามา เพื่อไปส่งหลัวฮองเฮากลับตำหนักโซ่วคังด้วยตนเอง
ก่อนขึ้นรถหลัวฮองเฮาหันมามองฉู่สวินหยางอย่างมาดร้ายทีหนึ่ง ก่อนจะปีนขึ้นไปด้วยร่างที่สั่นระริก
ฉู่สวินหยางสบตากับนาง ทั้งยังส่งยิ้มน้อยๆ ให้
หลี่รุ่ยเสียงเห็นสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างทั้งสองคน จึงถามอย่างลังเลว่า “ให้ข้าน้อยเรียกเกี้ยวมารับท่านหญิงดีไหมขอรับ?”
รถลากนั้นใหญ่มาก นั่งสองคนยังมีที่เหลือเฟือ เห็นได้ชัดว่าหลัวฮองเฮาไม่อยากจะใกล้ชิดกับฉู่สวินหยาง
———————————-