บทที่ 18 พวกเจ้าแต่ละคนมีภารกิจ ส่วนข้าแค่อยู่บ้าน

เมื่อผมโดนระบบครองร่าง

ชายผู้ร้ายกาจครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เดินมาที่ห้องลับใต้ดิน ที่แห่งนี้ตั้งแผ่นป้ายสลักอักษรเลือนรางเอาไว้

เขาหยิบธูปก้านหนึ่งขึ้นมาจากด้านหน้าโต๊ะบูชาท่าทางเคารพนบนอบ ก่อนจะจุดธูปแล้วปักลงในกระถางธูปเบื้องหน้าแผ่นป้าย

ผ่านไปครู่หนึ่ง ควันธูปก็จางลง จากนั้นศีรษะของชายหนุ่มพลันปรากฏขึ้นเลือนราง

“กุ่ยชี เจ้ามีความคืบหน้าเร็วขนาดนี้เชียวหรือ”

ชายท่าทางร้ายกาจเมื่อเห็นศีรษะของชายหนุ่มคนนั้นก็รีบทรุดตัวลงคุกเข่าคำนับทันที

“นายท่าน ข้าน้อยเริ่มต้นที่เมืองฉีไม่ราบรื่นนัก ตอนที่กำลังหาลูกน้อง ไม่ทันระวังผีรับใช้ตนเดียวของข้าถูกคนทำร้ายบาดเจ็บหนัก เกรงว่าจะกระทบงานใหญ่ของนายท่าน นายท่านโปรดลงโทษข้าเถิด”

ชายหนุ่มได้ยินดังนั้น ใบหน้าไม่ได้บูดบึ้งแม้แต่น้อย แต่กลับมีสีหน้าสนอกสนใจ

“อ้อ ผีรับใช้ของเจ้ามีคุณสมบัติสูงมากและยังมีร่างแยกรักษาชีวิต คนที่ถูกปลุกพลังพิเศษทั่วไปไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมันแน่นอน หรือว่าเจ้าไปยั่วโมโหคนของสำนักงานสัจธรรมเข้าแล้ว”

ชายท่าทางร้ายกาจรีบส่ายหน้าปฏิเสธ “ข้าน้อยจะกล้าขัดคำสั่งของท่านได้อย่างไร ผีรับใช้นั่นสะเออะตัดสินใจเองจนปะทะเข้ากับคนที่ข้าอยากใช้งาน ถึงได้เกิดปัญหาขอรับ”

“เล่ามาให้ละเอียดสิ”

ชายท่าทางร้ายกาจรีบเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดทันที

เมื่อชายหนุ่มได้ฟังเรื่องราว แทนที่จะตำหนิเขากลับดีใจมาก “นึกไม่ถึงว่าเมืองธรรมดาๆ อย่างเมืองฉีจะมีคนที่ถูกปลุกพลังพิเศษที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นผดุงคุณธรรมแบบนี้ด้วย ควรจะให้เข้าร่วมสำนักของข้าและสืบทอดต่อไป”

“นายท่านความคิดหลักแหลม ข้าน้อยก็คิดเช่นนี้ แต่พอเลือกที่พักเรียบร้อยเตรียมจะไปรับลูกน้อง นึกไม่ถึงว่าผีรับใช้จะมีเจตนาอื่น เพื่อบุญคุณความแค้นของพี่น้องทั้งสามคนในโลกมนุษย์ ถึงได้ปะทะกับคนผู้นั้น ทำให้ข้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกเลยทีเดียว”

“อืม มันไม่ใช่ความผิดของเจ้า ผีพวกนี้แต่ละตนนิสัยเจ้าเล่ห์ ยึดมั่นถือมั่น ทำอะไรไม่เชื่อฟัง การควบคุมพวกมันไม่ง่ายเลย ข้าถึงได้อยากจะรวบรวมโลกปีศาจใต้ดินให้เป็นปึกแผ่นและควบคุมพวกมันให้ได้ พอสถานการณ์ในอนาคตเกิดการเปลี่ยนแปลง พวกมันจะได้ไม่ออกมาตระเวนทำร้ายผู้คนไปทั่ว ทำให้ชาวบ้านใช้ชีวิตลำบาก”

ชายผู้มีท่าทางร้ายกาจได้ยินแบบนั้นก็คำนับให้เขาอีกครั้ง “นายท่านมีจิตใจเป็นห่วงชาวบ้าน ความสำเร็จใหญ่ยิ่งนัก พระโพธิสัตว์มาจุติ พระพุทธเจ้าผู้บริสุทธิ์กลับชาติมาเกิด ข้าน้อยได้แต่ตั้งตารอ”

“เหอะๆ เจ้ากุ่ยชีปากหวานเป็นที่สุด” ชายหนุ่มพึงพอใจ หลังจากนั้นยาเม็ดหนึ่งก็ตกลงมาท่ามกลางกลุ่มหมอกควัน ชายท่าทางร้ายกาจดีใจมาก เพียงแต่ยังนิ่งอยู่ที่เดิม

ชายหนุ่มยิ่งพึงพอใจ “เอาโอสถราชาผีเม็ดนี้ให้ผีรับใช้ของเจ้า คนผู้นั้นเจ้าต้องจริงใจกับเขา จงจำสี่คำนี้ไว้ให้ดี เที่ยงตรงเป็นธรรม ในฐานะคนขับไล่ผี เราต้องยึดถือคุณธรรมก่อน เช่นนั้นแล้วทุกอย่างจะราบรื่น ได้รับความช่วยเหลือมากมาย”

“ข้าน้อยจะจดจำคำสั่งสอนของนายท่านให้ขึ้นใจ” ชายท่าทางร้ายกาจรับคำ

“เอาล่ะ พวกเราอย่าคุยกันนานเกินไปเลย คนของสำนักงานสัจธรรมกำลังเริ่มล้อมเข้ามาแล้ว หากนานเกินไปพวกมันจะรู้ตัว เจ้าต้องระวังทุกเรื่องให้มากขึ้น อย่าโลภหวังผลประโยชน์เพียงเล็กน้อยจนลืมงานใหญ่ของข้า!” หลังจากสิ้นเสียงนั้น ใบหน้าของชายหนุ่มก็เลือนหายไป หมอกควันจางหายไปช้าๆ

กุ่ยชีรอกระทั่งหมอกควันหายไปหมดแล้วก็หยิบโอสถราชาผีขึ้นมาทันทีแล้วค่อยลุกขึ้นยืน

เขายิ้มเจ้าเล่ห์พลางพึมพำกับตนเอง “เที่ยงตรงเป็นธรรม ห่วงใยชาวบ้านรึ ช่างน่าขัน คนไม่เห็นแก่ตัว ฟ้าดินจะพินาศ ช่างเถอะ ตอนนี้เอาใจพระโพธิสัตว์ไปก่อน รอวันหน้ายังไม่แน่ว่าใครกันจะเป็นนาย…”

“แต่ประโยชน์ของพระโพธิสัตว์นี่ก็ไม่น้อยเลยทีเดียว ข้าคิดว่าครั้งนี้จะต้องสละเลือดหัวใจรักษาเจ้าผีรับใช้ซะแล้ว เอาเถอะ ในเมื่ออัศวิน A ไม่ใช่คนที่จะรับมือได้ง่ายๆ ก็ทำแบบนี้ไปก่อนแล้วกัน”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ เขาก็มองไปที่ห้องใต้ดินคับแคบชื้นแฉะแล้วขมวดคิ้วอีกครั้ง ข้ามีพลังเช่นนี้แล้ว ทำไมวันๆ ต้องหดหัวอยู่ที่นี่ด้วย ทั้งคฤหาสน์รถหรูและหญิงงามศัพย์สฤงคารนั่น ทำไมข้าจะใช้อย่างสง่าผ่าเผยไม่ได้ล่ะ หึ!

ฟางหนิงอยู่ในพื้นที่ของระบบ เขาเฝ้ามองค้อนตีเหล็กในร้านตีเหล็กเคลื่อนไหวโดยไม่มีคนตี ค้อนกำลังทุบทหารเทพที่รูปร่างแปลกประหลาดตุ้บๆ แต่เขาไม่รู้สึกกลัวเลยสักนิด เพราะเขารู้ว่านี่ไม่ใช่การเจอผีเหมือนเมื่อครู่ ตอนนี้ระบบกำลังทำงานหนัก และเพราะระบบไม่มีรูปร่างมันจึงปรากฏตัวไม่ได้ แต่สิ่งของในพื้นที่ระบบนี้จะใช้อย่างไรก็ได้ตามต้องการ

ฟางหนิงมองอยู่แบบนั้นสักพักก็รู้สึกเบื่อ แต่ต่อหน้าระบบ เขาจะกลับไปเล่นเกมอ่านนิยายก็ไม่ดี จึงหาข่าวออนไลน์ล่าสุดไล่ตั้งแต่ข่าวในประเทศไปถึงข่าวต่างประเทศมาอ่าน

เอาล่ะ สองเดือนมานี้เขาเล่นมากเกินไปหน่อย ขณะที่โลกภายนอกกำลังเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือ

“กลางวันแสกๆ เจอผี เพราะแสงทำให้มองเป็นผีหรือว่าเป็นเรื่องจริง”

ดูจากชื่อหัวข้อแล้วเหมือนการสนทนาประหลาดสมัยก่อน ลองเข้าไปอ่านดูหน่อยดีกว่า ที่แท้มีเหตุการณ์ผีทำร้ายคนที่ไหนสักแห่งในภาคใต้ติดต่อกันเป็นเวลานาน วุ่นวายมาเรื่อยกระทั่งไม่นานมานี้ดูเหมือนจะมีคนได้ยินเสียงฟ้าร้องดังตอนกลางวัน ภายหลังเหตุการณ์ถึงค่อยๆ สงบลง

สถานการณ์ในประเทศไม่ได้ดีมาก ขณะเดียวกันที่ต่างประเทศก็ยิ่งวุ่นวายโกลาหลอย่างหนัก

“ฝูซางมีหมอกหนาแผ่ปกคลุมทั่วประเทศ ถึงตอนนี้ก็สามวันแล้ว ท่าเรือปิดและสนามบินหยุดให้บริการ ความเสียหายประเมินค่าไม่ได้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันออกคำเตือนระดับสีแดงแล้ว โดยเตือนประชาชนช่วงนี้อย่ารีบเร่งเดินทางไปยังฝูซาง”

“อาณาจักรลู่ทางเหนือปรากฏองค์กรแม่มด หัวหน้าองค์กรมีความผิดปกติในการพูดและถูกหน่วยปฏิบัติการพิเศษของประเทศจับกุมแล้ว…”

สถานการณ์เหล่านี้ทำให้ฟางหนิงรู้สึกรำคาญ เขาเกลียดโลกที่โกลาหลเป็นที่สุดเพราะมันจะส่งผลต่อเขาผู้เป็นโอตาคุอยู่แต่บ้าน

โชคดีที่เมืองฉีค่อนข้างสงบเงียบมั่นคง ไม่มีสถานการณ์ร้ายแรงอะไร แน่นอนว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับการที่ระบบครองร่างเขา พวกผู้มีพลังพิเศษที่มีศักยภาพแต่มีอาการคลุ้มคลั่งก็ถูกระบบจัดการเรียบร้อยไปนานแล้ว โดยให้คนของหน่วยกิจการพิเศษพาตัวไปเข้าโปรแกรมเรียนซ้ำ

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฟางหนิงก็รู้สึกว่าการเป็นโอตาคุมานานก็มีข้อดีทีเดียว นั่งกินนอนกินไม่ต้องกังวลกับเรื่องนั้นเรื่องนี้ และไม่โดดเด่นสะดุดตาคนอื่น นานขนาดนี้แล้วก็ยังไม่มีใครมาตามหาตัวเอง

แต่เขาไม่รู้แม้แต่น้อยว่าตนเองกำลังถูกใช้เป็นแบบอย่างในหมู่ผู้ถูกปลุกพลังพิเศษมานานแล้ว ผู้ที่ถูกปลุกพลังพิเศษในเมืองฉีแทบไม่มีใครไม่รู้จักเขา…

ฐานการเรียนซ้ำของสำนักงานใหญ่หน่วยกิจการพิเศษเมืองฉี

“พวกนายต้องเรียนรู้จากสหายฟางหนิงคนนี้ อย่าคิดว่าเขาเป็นแค่ผู้ถูกปลุกพลังพิเศษ หน่วยกิจการพิเศษของเราอยากจะพาเขามาหน่อยสอน คนที่เชื่อฟังฉันรอด คนที่ไม่เชื่อฟังฉันตาย” ผู้อาวุโสจางเริ่มสอนกลุ่มคนที่ถูกปลุกพลังพิเศษตั้งแต่เช้าตรู่

หลี่ว์เอ้อร์มองคนที่อยู่ข้างบนแล้วเบะปาก พวกขี้ขลาดนอนอยู่บ้านทั้งวัน ถ้าพวกแกไม่ล้างสมองเขา เขาก็อาจจะอยู่อย่างนี้ไปตลอดชีวิต แต่หลังจากล้างสมองแล้ว ไม่แน่ว่าเขาอาจจะค้นพบความสามารถใหม่…

“ผู้คนใช้พลังพิเศษอย่างสันติเพื่อความร่ำรวย เจ้าหน้าที่หน่วยกิจการพิเศษของเราไปตัดขนแกะงั้นหรือ ก็เปล่า คนเราทำตัวเรียบร้อยอยู่บ้าน ไม่สิ พวกเขาทำงานควบคุมระยะไกลที่บ้านอย่างสบายใจ เราบังคับพวกเขาเรียนซ้ำอย่างนั้นหรือ ก็ไม่ใช่ พวกนายทุกคนมาที่นี่จะต้องสำนึกในการกระทำทุกอย่างของตัวเอง! บ้างถูกจับขณะทำผิด บ้างถูกจับได้ขณะเตรียมก่ออาชญากรรม และยังมีบางคนถึงกับทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ต่อต้านการบังคับใช้กฎหมายเพราะคิดว่าตัวเองวิ่งเร็วจนไม่มีใครตามทัน เดินเชิดหน้าไม่ชอบ คิดแต่จะลักเล็กขโมยน้อย”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ หลี่ว์เอ้อร์ก็เริ่มรู้สึกถึงลางร้าย และเป็นเช่นนั้นจริงๆ เมื่อผู้อาวุโสจางเรียกเขาขึ้นมา

“สหายหลี่ว์เอ้อร์ ลุกขึ้นแล้วบอกทุกคนถึงความผิดและความเข้าใจของนายสิ…”

“ผมผิดไปแล้ว ผมมีพลังพิเศษเพิ่มความเร็ว แต่กลับไม่ใช้มันอย่างถูกวิธี ผมควรเข้าร่วมทีมกีฬาจังหวัด ช่วยประเทศพัฒนากรีฑาลู่และลาน และคว้าเหรียญทองโอลิมปิก แต่ผมไม่อยากก้าวหน้า กลับใช้ความสามารถขโมยของไปทั่ว ยินยอมใช้ชีวิตตกต่ำ หลังจากถูกอาจารย์ใหญ่จางสั่งสอนก็สำนึกได้และกลับตัวกลับใจ ไม่ ไม่ มันคือการปรับปรุงตัว ต่อไปต้องเป็นคนดีและตั้งใจทำงานทุกอย่างให้เรียบร้อย ไม่สิ ต้องต่อสู้ตลอดชีวิตเพื่อปกป้องโลกมนุษย์”

สหายหลี่ว์เอ้อร์เช็ดขอบตา ยืนขึ้นแล้วเอ่ยเสียงดัง

ต่อหน้าทุกคนในลานนี้ ใบหน้าของเขาเคร่งขรึมจริงจัง แต่กลับคิดในใจว่า คนโง่เท่านั้นถึงจะเป็นนักกีฬา ต้องซ้อมหนักและถูกคนอื่นควบคุมทุกวัน ฉันไม่ได้อยากมีชื่อเสียงซะหน่อย ส่วนเรื่องเงิน ถ้าไม่ใช่เพราะอัศวิน A ใช้วิธีสกปรกล่อหลอก พวกฮัมมิ่งเบิร์ดคงเสนอราคารับซื้อยาเม็ดนั้นสักสามสิบล้านไปแล้ว รายได้ต่อปีของนักวิ่งที่เคยมีชื่อเสียงระดับประเทศมากสุดก็แค่ไม่กี่ร้อยล้านหยวน แต่ฉันกลับลงมือทำงานแค่คืนเดียว

“อืม ดีแล้วที่นายเข้าใจเรื่องนี้ แต่เมื่อเร็วๆ นี้องค์กรกีฬาระดับนานาชาติกำลังปฏิรูป แม้นายจะพลาดโอกาสครั้งก่อน แต่ตอนนี้พวกเขากำลังตั้งโครงการกีฬาใหม่ โครงการที่คนถูกปลุกพลังพิเศษเท่านั้นจะเข้าร่วมได้ เตรียมแยกคนธรรมดากับผู้ถูกปลุกพลังพิเศษร่วมรายการแข่งขันกีฬา นายต้องฝึกฝนให้เต็มที่ พยายามสร้างชื่อเสียงให้กับพวกเราในการแข่งขันกีฬาของผู้ถูกปลุกพลังพิเศษ ทำลายประวัติศาสตร์ที่คนผิวเหลืองอย่างเราไม่เคยชนะพวกผีดำ เมื่อกี้ฉันพูดผิด นักเรียนลืมประโยคนี้ไปซะ ควรจะบอกว่าเป็นคนผิวดำ”

“ใช่ๆ อาจารย์ใหญ่จางสอนให้เราขยันฝึกฝน เพื่อเกียรติของชาติในอนาคต” หลี่ว์เอ้อร์รับคำ เขาเพิ่งมาที่นี่ไม่กี่วันก็รู้อารมณ์ของผู้อาวุโสจางดี การสอนซ้ำสามชุดแบ่งเป็น ห้องมืด + ไฟฟ้าบำบัด + การล้างสมองรุนแรง อย่างนี้ใครจะกล้างัดข้อกับเขากันล่ะ ขืนทำก็จะถูกลงโทษชุดใหญ่ ถ้าเชื่อฟังโทษจะลดลงครึ่งหนึ่ง และหากมีผลงานดีก็จะพ้นจากการถูกลงโทษ

รสชาติของการบำบัดด้วยไฟฟ้านั้นเจ็บปวดเจียนขาดใจมาก หลี่ว์เอ้อร์ลูบก้นของตนเบาๆ ในใจยังหลงเหลือความหวาดกลัวบ้าง ‘เกือบจะถูกย่างจนเกรียมซะแล้วสิ ผู้อาวุโสจางเวลาโหดขึ้นมาช่างไม่เหมือนมนุษย์มนาเลยสักนิดเดียว’

……………………………………………………..