บทที่ 129 ส่งเจ้าสาว โดย Ink Stone_Romance
แสงตะวันค่อยๆ ส่องทแยง หนิงอวิ๋นเจาอ่านหนังสือจบเล่มหนึ่ง วันนี้งานยามกลางวันเสร็จแล้ว
เขาขยับตัวเล็กน้อย สายตาจับจ้องอยู่บนปฏิทินที่หัวโต๊ะ
“เสี่ยงติง เสี่ยวติง” เขาร้องเรียก
เสี่ยงติงวิ่งเข้ามาจากด้านนอก
“นายน้อยมีอะไรขอรับ?”
“ของขวัญส่งไปหรือยัง?” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยถาม
“นายน้อย ต้องส่งไปแล้วสิขอรับ ท่านกำชับกี่รอบแล้ว ข้าไม่มีทางลืมหรอกขอรับ” เสี่ยวติงเอ่ยขึ้นไม่ได้รับความเป็นธรรม
หนิงอวิ๋นเจายิ้ม
“เช่นนั้นเปิดกิจการแล้วหรือ?” เขาเอ่ยถาม
“เปิดแล้วขอรับ” เสี่ยวติงเอ่ยขึ้น “ข้าไม่ใช่บอกนายน้อยแล้วหรือขอรับ”
หนิงอวิ๋นเจาลุกขึ้นเดินมาถึงข้างหน้าต่างมองสีเขียวเข้ม
จริงสิ เสี่ยวติงบอกแล้ว ของขวัญส่งไปแล้ว เปิดกิจการเช้าเป็นพิเศษ คนก็ไม่มาก
พูดได้ว่าแทบไม่มีคน
เช่นนี้ก็ดี เก็บตัวหน่อย ความสนใจของผู้คนก็น้อยลงหน่อย
ที่นี่อย่างไรก็ไม่ใช่หรู่หนาน แล้วก็ไม่มีเวลาจำกัดในการปกปิดจัดการเรื่องตระกูลฟางแล้วด้วย ครั้งนี้จะทำโรงหมอจริงๆ แล้ว เช่นนั้นก็สั่งสมหยดน้ำเป็นธาราวางพื้นฐานให้มั่นคงเถอะ
“ไปดูสักหน่อย” เขาเอ่ยขึ้น หมุนตัวก้าวเดิน
“ไปดูอะไรขอรับ?” เสี่ยวติงเอ่ยาม
“ไปดูซิโรงหมอนี้เก็บกวาดเป็นอย่างไรแล้ว” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยขึ้น
เสี่ยวติงเอ่ยถามจบก็เสียใจแล้ว รู้สึกว่าตนเองยังเยาว์วัยเกินไปไร้เดียงสาเกินไป คำพูดเช่นนี้ตั้งแต่ต้นก็ไม่ควรถาม
ดูอะไรได้เล่า? ดูอะไรก็ได้ ต่อให้เมื่อวานวันก่อนเพิ่งดูมา วันนี้ไปดูอีกก็สมควร
บรรดาบัณฑิตเหล่านี้ไม่ใช่มักจะท่องประโยคประโยคหนึ่งว่าวันเดียวไม่พบหน้าดุจห่างกันสามใบไม้ร่วงหรือ
เขายิ้มขานรับ
แต่มาถึงด้านหน้าโรงหมอจิ่วหลิงของคุณหนูจวินที่มองเห็นกลับเป็นประตูที่ปิดอยู่
หนิงอวิ๋นเจากับเสี่ยวติงสีหน้าล้วนอึ้ง
“ไม่ผิดนี่” เสี่ยวติงรีบเงยหน้ามองป้ายชื่อโรงหมอ แล้วมองด้านในรอยแยกบนพื้นยังมีร่องรอยประทัดร่วงกระจาย
เพิ่งเปิดกิจการก็ปิดประตูแล้วได้อย่างไร?
นางไปที่ไหนแล้ว?
หนิงอวิ๋นเจายืนอยู่ด้านหน้าประตูขมวดคิ้วอย่างวิตกอยู่บ้าง
…
ถนนที่เงียบสงบอยู่เสมอมีชาวบ้านเบียดกันอยู่ ทหารตรวจการณ์เมืองเรียงแถวบนถนน แต่ครั้งนี้ไม่ได้ขับไล่ชาวบ้าน เพียงแค่ขวางพวกเขาไว้สองข้างถนน
“มาแล้ว มาแล้ว” หัวถนนด้านนั้นวุ่นวายพักหนึ่ง
เสียงกระจายออกมา ชาวบ้านบนถนนพากันยื่นศีรษะมองไป เห็นคนกับม้าขบวนหนึ่งเดินออกมาจากในบ้านหลังหนึ่ง เจ้าบ่าวอาภรณ์ตัวใหญ่แขนเสื้อกว้างอาชาสูงใหญ่นำอยู่ข้างหน้าก็คือลู่อวิ๋นฉี
เสียงเอะอะพริบตาสลายหายไป สายตาทั้งหมดจับอยู่บนร่างของลู่อวิ๋นฉี
ลู่อวิ๋นฉีวันนี้ไม่ได้สวมใส่ชุดปลาบินที่ซับซ้อนหรูหราอีก แต่เป็นเสื้อสีดำเข้ม ท่องล่างสีเหลือง บนศีรษะยังสวม หมวกที่ห้อยลูกปัดหยกอีก
ด้วยชุดแต่งงานสีเข้มขับเสริมทั้งตัว ดวงหน้าของเขายังคงขาวเผือดน่าขนลุก แต่โดยรวมเค้าโครงก็อ่อนโยนไปมาก
ไม่ใช่ครั้งแรกที่ลู่อวิ๋นฉีสวมชุดเจ้าบ่าวรับเจ้าสาว แต่นั่นก็ดูเหมือนเป็นเรื่องเนิ่นนานก่อนหน้านี้ และไม่กี่ปีนี้ชื่อเสียงของเขาก็ยิ่งโด่งดังขึ้นทุกที อยู่ดีๆ เห็นหัวหน้ากองพันลู่หน้าตาเช่นนี้ชาวบ้านแปลกตาอย่างมาก
ขบวนม้าเฉลิมฉลองขบวนหนึ่งตัดผ่านไปท่ามกลางความเงียบสงบ ดูไปแล้วประหลาดยิ่งนัก
“ยินดีกับใต้เท้าหัวหน้ากองพัน” ไม่รู้คนใดร้องตะโกนนำขึ้นมา ต่อมาเสียงนี้ก็ค่อยสลายกระจัดกระจายไป
หลังหัวไหล่ของชาวบ้านจำนวนมากที่คิดนิ่งงันอยู่พลันถูกทิ่มแรงๆ พร้อมกัน
“ทำอะไร?” ชาวบ้านหันหน้าไปอย่างไม่พอใจ กลับมองเห็นใบหน้าแววตาโหดเหี้ยมดวงหนึ่ง
“ยินดีกับใต้เท้าหัวหน้ากองพัน” เจ้าของดวงหน้านี้เอ่ยขึ้น
“ยินดี…” บรรดาชาวบ้านเอ่ยตามติดๆ ขัดๆ
เสียงติดๆ ขัดๆ รวมกันขึ้นมา ทำให้ทั้งถนนเปลี่ยนกลายมาเป็นคึกคักอีกครั้ง
“ยินดีกับใต้เท้าหัวหน้ากองพัน”
“ยินดีกับใต้เท้าหัวหน้ากองพัน”
ลู่อวิ๋นฉีสีหน้าราบเรียบ ไม่ว่าริมฝั่งถนนเงียบสงบก็ดี คึกคักก็ดีล้วนไม่สนใจ
ถนนเส้นนี้ไม่ได้ยาวนัก มาถึงหัวถนนอีกด้านหนึ่งอย่างรวดเร็วยิ่ง ด้านหน้าประตูวังไหวอ๋องที่ตกแต่งเฉลิมฉลองแล้วเช่นกัน
ประตูใหญ่วังไหวอ๋องเปิดออกแล้ว ขันทีนางกำนัลแถวแล้วแถวเล่ายืนอยู่ ป้ายประกาศสีเหลืองสว่าง ธงเรียงเป็นทิวแถว แสดงความโอ่อ่าของราชวงศ์อย่างชัดเจน
ลู่อวิ๋นฉีลงม้าหน้าประตู เดินเข้าไปเพียงลำพังคนเดียว
เขาไม่มีสหาย นอกจากบรรดาองครักษ์เสื้อแพรที่ติดตามก็ไม่มีสหายที่มารับเจ้าสาวคนอื่นอีก
บรรดาชาวบ้านที่อยู่ด้านหน้าประตูวังไหวอ๋องออเข้ามาเล็กน้อยพักหนึ่ง มองตามเงาร่างของลู่อวิ๋นฉีเข้าไปข้างใน
วังไหวอ๋องที่เมืองหลวงเหมือนเป็นสถานที่ซึ่งถูกลืมเลือนแห่งหนึ่ง มีเพียงเวลานี้ทุกคนถึงจดจำสถานที่แห่งนี้ขึ้นมาได้ สถานที่แห่งนี้มีองค์ชายองค์หนึ่งอยู่
องค์ชายที่เดิมทีจะได้เป็นโอรสสวรรค์คนนี้
ครั้งก่อนที่วังไหวอ๋องเปิดประตูก็คือตอนที่องค์หญิงจิ่วหลิงแต่งงาน บรรดาชาวบ้านเขย่งเท้ามองเข้าไปด้านในอย่างสงสัยใคร่รู้ทั้งสนอกสนใจ
ทางเดินปูหินกว้างขวางทอดยาว กำแพงแดงกระเบื้องเหลือง ได้ยินว่าฮ่องเต้ตั้งใจสร้างที่แห่งนี้ให้ราวกับพระราชวังฉบับย่อส่วน มีตำหนักหน้าวังหลังเหมือนกัน เล่ากันว่างดงามโออ่า
ทุกสิ่งนี้ล้วนเป็นได้ยินมา บรรดาชาวบ้านใครก็ไม่มีโอกาสเห็นมาก่อน
อาศัยโอกาสนี้ยื่นหน้ามองพลางพูดคุยถกเถียงไปพลาง ยังมีเด็กน้อยใจกล้าลอดทหารที่ขวางอยู่ไปดูป้ายประกาศและธงเหล่านั้นด้วยสงสัย แน่นอนว่าถูกดุด่าไล่กลับไปอย่างรวดเร็วยิ่งนัก
นี่ทำให้หน้าประตูยิ่งคึกคักเพิ่มหลายส่วน แล้วก็มีความคึกคักของการแต่งงาน
รอไม่นานนัก เสียงประทัดปุ้งปั้งเสียงกลองก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“ออกมาแล้ว!”
“รีบดูเร็ว องค์หญิงจิ่วหลีออกมาแล้ว”
ชาวบ้านหน้าประตูพากันตะโกน เกิดเบียดกันเป็นแถบ คนมากมายไม่ทันระวังถูกเบียดจนเอนซ้ายเอนขวา
“อั้ยย่ะ แม่นางน้อยผู้นี้”
พวกเขามองคนที่เบียดมาด้านข้าง นี่เป็นเด็กสาวอายุสิบห้าสิบหกปีคนหนึ่ง สวมเสื้อผ้าสะอาดสะอ้าน รูปร่างอ้อนแอ้น แต่กลางฝูงชนกลับเบียดชนราวกับชายฉกรรจ์ เรี่ยวแรงไม่น้อย เหยียบจนมีเสียงร้องด่าขึ้นไปยืนด้านหน้าสุดอย่างรวดเร็วยิ่งนัก
เจ้าบ่าวลู่อวิ๋นฉีก้าวข้ามธรณีประตูมาแล้ว ด้านหลังร่างเขาคือเจ้าสาวที่ถูกคนแบกออกมา
เจ้าสาวคลุมศีรษะปิดหน้า สวมชุดพิธีตัวใหญ่เสื้อดำกระโปรงเหลืองปิดบังรูปร่างเช่นกัน แม้ถูกคนแบกอยู่ ท่าทางก็แลดูสง่างาม
คุณหนูจวินรู้สึกเพียงลมหายใจถี่กระชั้น ลำคอขื่นขม นางยื่นมือขยำสาบเสื้อไว้ จ้องเจ้าสาวคนนั้นเขม็ง
“เป็นองค์ชายสามมาส่งเจ้าสาวล่ะ”
บรรดาชาวบ้านคุยกันเบาๆ ข้างหู
ผู้ที่แบกองค์หญิงจิ่วหลีอยู่คือโอรสองค์ที่สามของฮ่องเต้ปัจจุบัน ยังไม่แต่งงานก็ได้แต่งตั้งเป็นอ๋อง ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้และฮองเฮาอย่างยิ่ง อายุมากกว่าองค์หญิงจิ่วหลีแค่ไม่กี่ปี
คนที่เดินออกมาส่งเจ้าสาวยังมีบรรดาพระญาติเชื้อพระวงศ์เช่นองค์ชายองค์หญิงยศกงจู่ยศเสี้ยนจู่[1]คนอื่นเป็นต้น ขับประตูวังไหวอ๋องให้หรูหราฟู่ฟ่าแวววาวเป็นประกาย ทำให้บรรดาชาวบ้านอุทานตกตะลึงไม่หยุด
“ฮ่องเต้จัดงานให้องค์หญิงจิ่วหลีใหญ่จริงๆ”
“แค่จัดงานที่ไหน ก่อนหน้านี้เจ้าไม่เห็นสินเจ้าสาวพวกนั้นแหนะ”
“เป็นกิ่งทองใบหยกจริงนะ”
“ได้ยินว่าพระสนมกุ้ยเฟยได้รับการฝากฝังจากฮ่องเต้กับฮองเฮามาส่งองค์หญิงที่วังไหวอ๋องด้วยพระองค์เองเชียวนะ”
ใช่ คนมามากมายนัก แต่กลับขาดไปคนหนึ่ง
ที่สำคัญก็คือเป็นคนที่สำคัญที่สุด
สายตาของคุณหนูจวินกวาดผ่านคนเหล่านี้ ไม่มีจิ่วหรง
เขาเป็นคนที่จะถูกชาวบ้านลืมเลือน ไม่อาจปรากฏตัวในสายตาของผู้คน
ต่อให้ยามพี่สาวแต่งงาน เขาก็ไม่อาจออกมาส่งด้วยตนเอง
องค์หญิงจิ่วหลีนั่งอยู่ในเกี้ยวเจ้าสาวแล้ว นี่เป็นราชรถและขบวนทหารอารักขาสำหรับยามเชื้อพระวงศ์องค์หญิงชั้นกงจู่แต่งงานโดยเฉพาะ หรูหราโอ่อ่าอย่างที่สุด เคลื่อนไปช้าๆ ท่ามกลางเสียงอุทานตะลึงอิจฉาเป็นแถบ
ชาวบ้านบนถนนราวกับคลื่นน้ำโถมตามขบวนรถไป คุณหนูจวินที่ยืนยิ่งอยู่ที่เดิมราวกับเรือลำน้อยกลางมหาสมุทรถูกชนเอนซ้ายเอนขวา
ขบวนส่งเจ้าสาวจะอ้อมเมืองครึ่งรอบ
นางใช้สายตาส่งรถขององค์หญิงจิ่วหลีไกลออกไป แล้วรั้งสายตากลับมามองวังไหวอ๋อง
บรรดาองค์ชายองค์หญิงชนชั้นสูงคุยเล่นต่างขึ้นรถม้าของตนเอง
พวกนางย่อมไม่อาจเดินตามขบวนส่งเจ้าสาวไป บ้างตรงไปที่จวนของลู่อวิ๋นฉี บ้างก็จากไปเลย
หลังบรรดาชนชั้นสูงเหล่านี้แยกย้าย ประตูใหญ่หวังไหวอ๋อองก็ปิดลงอีกครั้ง แทบจะในพริบตาเดียว ประตูที่เดิมทีคึกคักก็เงียบเหงาลง หลงเหลือเพียงร่องรอยของดอกไม้ดอกน้อย กระดาษสีรวมถึงประทัดเต็มพื้น
“คุณหนู คุณหนู”
หลิ่วเอ๋อร์ในที่สุดก็เบียดออกจากฝูงขนมายืนข้างตัวคุณหนูจวินได้
“เร็วเข้า พวกเรารีบตามไปกันบ้างเถอะเจ้าค่ะ”
นางยื่นมือชี้ขบวนรถที่เคลื่อนไปบนถนนเอ่ยเร่งอย่างชอบใจ เหตุการณ์องค์หญิงแต่งงานไม่เหมือนกับสิ่งใดที่เคยเห็นมาก่อนหน้าจริงๆ
คุณหนูจวินมองไปทางขบวนรถด้านนั้น ในสายตายิ่งไกลออกไปทุกที นางพลันหมุนตัวก้าวไวๆ เดินไปอีกทิศหนึ่ง เดินไปจนท้ายที่สุดก็ถกกระโปรงออกวิ่ง
“คุณหนู” หลิ่วเอ๋อร์ยังตอบสนองไม่ทัน ถูกทิ้งอยู่ที่เดิม รีบร้องไล่ตามไป
คุณหนูจวินวิ่งเร็วมาก พริบตาก็เลี้ยวมุมถนนไปแล้ว
“คุณหนู ท่านจะไปไหนเจ้าคะ?”
เสียงหลิ่วเอ๋อร์ร้องเรียกข้างหลัง
อ้อมตรอกเส้นหนึ่ง ข้ามกำแพงเตี้ยๆ ของบ้านหลังหนึ่งก็มาถึงด้านนอกเรือนด้านหลังของวังไหวอ๋ออง เรือนด้านหลังของวังไหวอ๋องมีเขาลูกเล็กๆ ที่คนถมขึ้นมาลูกหนึ่ง ศาลาหลังน้อยที่ตั้งอยู่บนเขามองลงมาที่ถนนเส้นนี้ได้ครึ่งถนน
บนศาลาหลังน้อยเวลานี้มีร่างของเด็กน้อยคนหนึ่งอยู่
ก้าวเท้าของคุณหนูจวินหยุดกึก
แม้มองหน้าตาของเขาไม่ชัด แต่คุณหนูจวินกลับรู้ว่าเขากำลังจดจ่อมองขบวนแต่งงานที่เคลื่อนไปบนถนน เหมือนกับที่ตนเองแต่งงานครั้งนั้น
เพียงแต่ว่าครั้งนั้นข้างกายเขายังคงมีท่านพี่เคียงข้าง ครั้งนี้เหลือเพียงเขาตัวคนเดียวแล้ว
————————————————————————-
[1] เสี้ยนจู่ (县主) ยศขององค์หญิงที่รองจากจวิ้นจู่ (郡主) ลงไปอีก