บทที่ 308 เรื่องเร้นลับ (2)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 308 เรื่องเร้นลับ (2)

“สหายลู่…ข้าไม่รู้ว่าจะอธิบายกับท่านอย่างไรดี แต่ข้าเห็นหลายสิ่งหลายอย่าง เห็นโศกนาฏกรรมและความทรมานมากมาย ข้าอยากจะเปลี่ยน ข้าไม่อยากจะทำเฉยแบบนี้ต่อไปแล้ว ข้าจะใช้ความสามารถทั้งหมดทีข้ามี เพื่อพยายาม เพื่อกอบกู้” หลี่ซุ่นซีกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “โอกาสที่การไปตำหนักหมื่นปีศาจในครั้งนี้จะสำเร็จมีน้อยนิดยิ่ง ไม่ได้จะยืมได้อย่างราบรื่นเหมือนที่ตระกูลหลินคิด”

“ตำหนักหมื่นปีศาจหรือ อยู่ที่แดนเหนือกระมัง” ลู่เซิ่งถาม

“ใช่ ผู้ปกครองคือราชาจิ้งจอกน้ำแข็ง ผู้ปกปักษ์แดนเหนือ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่ราชาปีศาจที่ต้าซ่งรู้จัก” หลี่ซุ่นซีพยักหน้า

เขาคิดจะเปลี่ยนแปลงโศกนาฏกรรม คนเพียงคนเดียวที่ไม่ได้โผล่มาในภาพวาดประวัติศาสตร์ แต่เป็นตัวแปรสำคัญ อีกทั้งเขายังติดต่อง่ายที่สุด ก็มีแค่ลู่เซิ่ง ซึ่งเป็นคนที่เหมาะสมที่สุด

เพียงแต่จุดอ่อนของยอดฝีมือสูงสุดก็คือ พวกเขาจะยึดติดกับการตัดสินใจที่ได้ทำลงไป คิดจะเกลี้ยมกล่อมให้เขายอม ไม่ต่างจากเรื่องเพ้อฝัน

เงียบงันกันไปสักพักหนึ่ง

“ท่านยังตัดสินใจจะจากไปอยู่หรือ” รออยู่ครู่หนึ่ง หลี่ซุ่นซีก็อดถามไม่ได้

“ในนิมิตที่ท่านเห็น การเดินทางไปตำหนักหมื่นปีศาจในครั้งนี้ล้มเหลวกระมัง” ลู่เซิ่งถามอย่างกะทันหัน

“ใช่…”

“ล้มเหลวเพราะอะไร” ลู่เซิ่งถามอีก

“เพราะราชาจิ้งจอกน้ำแข็งปฏิเสธไม่ให้ยืมวารีปีศาจที่เป็นสมบัติล้ำค่า” หลี่ซุ่นซีตอบเบาๆ

“ข้าเคยอ่านเจอเรื่องราชาจิ้งจอกน้ำแข็งในตำรา มันปกปักษ์แดนเหนือมาไม่รู้กี่ปีแล้ว อย่างนั้นท่านไม่คิดหน่อยหรือว่าเหตุใดมันจึงอยู่เบื้องหลังมาโดยตลอด คอยเฝ้าอยู่ที่นั่นเสมอมาไม่ยอมไปไหน แล้วเหตุใดจึงปฏิเสธไม่ให้ยืมวารีปีศาจ หรือว่ามันไม่รู้จักหลักการน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า ภัยพิบัติมารไม่ได้สนใจว่าจะเป็นมนุษย์หรือปีศาจเสียหน่อย” ลู่เซิ่งถามอย่างเฉยชา

หลี่ซุ่นซีพลันงุนงง

ถูกต้อง!

อย่างน้อยราชาจิ้งจอกน้ำแข็งก็เป็นผู้เข้มแข็งระดับสูงสุดที่ใกล้เคียงกับระดับจ้าวแห่งมาร ไม่…บางทีมันอาจกลายเป็นระดับอริยะปีศาจหรือระดับจ้าวแห่งมารมานานแล้ว แต่เหตุใดมันจึงอยู่ที่แดนเหนือมาหลายปีโดยไม่ยอมไปไหน

หลี่ซุ่นซีพลันนึกถึงจุดที่น่าประหลาดนี้

“ในนี้มีเลศนัยล้ำลึกมาก อย่าได้เชื่อสิ่งที่ตัวเองเห็นง่ายๆ” ลู่เซิ่งผุดลุกขึ้น ถอนใจเล็กน้อยเมื่อมองดูผมที่กลายเป็นสีขาวของหลี่ซุ่นซี จากนั้นก็ดีดนิ้วโดยเล็งไปที่ทรวงอกของเขา

วิ้ว!

ปราณภายในสีดำสนิทสายหนึ่งหายไปในร่างของหลี่ซุ่นซีอย่างไร้สุ้มเสียง นั่นเป็นเมล็ดของข่ายกระเรียนหยิน มันฝังตัวเข้าไปในร่างกายของหลี่ซุ่นซีอย่างเงียบๆ โดยที่เจ้าตัวสัมผัสไม่ได้

“กลับไปเถอะ อย่าได้ตรวจสอบอนาคตแล้ว ท่านจ่ายค่าตอบแทนไปมากพอแล้ว” ลู่เซิ่งสะบัดแขนเสื้อ ก่อนจะหมุนตัวแล้วเดินหายไปในความมืดอย่างช้าๆ

หลี่ซุ่นซีนั่งอยู่ที่เดิมคนเดียว กัดริมฝีปากแน่น เหงื่อผุดซึมบนหน้าผาก เขาตรวจสอบดูอนาคตอีกแล้ว…

เขารู้อยู่แล้วว่าตนเองกำลังใช้อายุขัย ตรวจสอบอนาคต แต่ว่าทุกครั้งที่เห็นภาพอันน่าสยดสยองเหล่านั้น เขาก็อดใช้หยกลี้ลับเพื่อหาวิธีแก้ไขและเปลี่ยนแปลงไม่ได้

เขาไม่ได้ยิ่งใหญ่ เพียงแค่ไม่อยากให้โศกนาฏกรรมที่เห็นเกิดขึ้นเท่านั้น

ลู่เซิ่งเดินออกจากหอ แล้วถอนใจเบาๆ เมล็ดข่ายกระเรียนหยินเมื่อครู่นี้สามารถช่วยหลี่ซุ่นซีสร้างข่ายปราณภายในและโคจรปราณภายในธาตุหยินที่หล่อเลี้ยงร่างกายได้โดยอัตโนมัติ ขณะเดียวกันก็มีผลป้องกันวิกฤติในตอนเผชิญหน้าอันตรายด้วย

นี่เป็นวิชาเล็กๆ ที่เขาสร้างขึ้นเป็นครั้งแรกหลังจากประสานปราณภายในเข้ากับแก่นมาร เอาไว้ใช้กับคนที่ใกล้ชิดตัวเองเพื่อปกป้องความปลอดภัยของพวกเขา

‘อีกไม่นานก็จะไปแล้ว…ไปหุบเหวมารเป็นครั้งสุดท้ายดีกว่า ดูว่าจะเจอมารโบราณตนนั้นหรือไม่ ยังมีลานทองคำนั่นอีก…’ ลู่เซิ่งวูบไหวร่าง ใช้ปราณมารเพียงเล็กน้อย พุ่งไปยังทิศทางของทะเลสาบที่อยู่ในส่วนลึกสุดของสำนักมารกำเนิดเพื่อทดลองเป็นครั้งสุดท้าย

ไม่นานก็มาถึงหน้าทะเลสาบ เขาสลายปราณมาร แล้วสร้างเยื่อดำเพื่อกันน้ำในทะเลสาบ ก่อนจะเดินไปยังก้นทะเลสาบทีละก้าวๆ

ครู่เดียวก็เจอทางเชื่อมที่เชื่อมไปยังหุบเหวมารซึ่งเขาขุดไว้ด้านข้าง

ตอนนี้เขามีความเร็วที่น่าตื่นตระหนก เพียงแค่ย่ำเท้าเบาๆ กระแสคลื่นกลุ่มหนึ่งก็ระเบิดพุ่งออกไปจากด้านหลังเขาเหมือนกับเสาทรงกลม

เขายืมแรงพุ่งเข้าไปในทางเชื่อมพร้อมเสียงดังสนั่น พริบตาเดียวก็หายไปในส่วนลึกของกระแสน้ำสีดำสนิท

วิชาแสงมายากระทืบพสุธาเป็นท่าเท้าวิชาตัวเบาระดับสูงสุดที่สร้างขึ้นมาได้อย่างสมคำเล่าลือ ต่อให้อยู่ในน้ำความเร็วก็ลดลงแค่นิดหน่อยเท่านั้น

ขณะที่เดินทาง ลู่เซิ่งกลับเกิดความคิดสร้างสรรค์

‘ตอนนี้ระบบมรรคายุทธ์ของเราแบ่งออกเป็นวิถีภายนอก วิชาลับ และวิชาภายใน ท่าแสงมายากระทืบพสุธาเป็นวิถีภายนอก ในฐานะท่าเท้าวิชาตัวเบาบริสุทธิ์ มันใช้พลังงานไม่มากนัก ตอนแรกยกระดับถึงระดับยี่สิบก็ใช้พลังอาวรณ์แค่ระดับละสองหน่วยเท่านั้น แยกพสุธาซึ่งเป็นผลพิเศษในระดับที่หนึ่ง ก็มีความเร็วและการระเบิดที่น่ากลัวแบบนี้แล้ว อย่างนั้นถ้าเรายกระดับวิชาตัวเบาวิชานี้ต่อไปถึงระดับสูงกว่าเดิม จะเกิดอะไรขึ้นกันนะ’

เขาเกิดความคาดหวังและความสงสัยส่วนหนึ่งในใจ

ในฐานะวิชาตัวเบาที่บริสุทธิ์ หลังจากเขายกระดับวิชาแสงมายากระทืบพสุธาถึงระดับที่ยี่สิบในเวลารวดเดียว ก็ได้ใช้มันในการเดินทางมาโดยตลอด โดยที่ไม่ได้ใช้ในด้านอื่นๆ มากนัก แต่จากสัญญาณหลายอย่างแสดงให้เห็นว่าวิชาตัวเบาวิชานี้ยังไม่ไปถึงขีดจำกัด ยังสามารถยกระดับขึ้นได้อีก

‘ถ้ายกระดับต่อไป ความเร็วจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึงระดับเคลื่อนย้ายในพริบตา จากเคลื่อนย้ายในพริบตาในระยะทางใกล้ๆ ไปถึงระยะทางไกลๆ ไปถึงระยะทางกว้างใหญ่ และถึงขั้นก้าวทะลุมิติเข้าสู่โลกใบอื่นได้ไหมนะ’ ลู่เซิ่งคาดเดา

เขาเคยอิจฉาตาร้อนในอิสรภาพที่สามารถเข้าออกฟ้าครามที่ลี้ลับ แดนเซียนที่ล่องลอย โลกนับไม่ถ้วน ปริภูมิและมิติในนิยายเทพเซียนที่เขาเคยอ่านในชาติก่อนได้ตามใจ

หลังจากสำเร็จแปดวิถีมารสูงสุด กายเนื้อ จิตสำนึกและการคำนวณที่แข็งแกร่งขึ้นอย่างใหญ่หลวงก็ได้ยกระดับลางสังหรณ์ของเขาไปถึงขั้นที่ไม่อาจจินตนาการได้ เขาจึงรู้สึกว่าการคาดเดาแบบนี้มีความเป็นไปได้สูง

‘เราเหลือพลังอาวรณ์อีกเยอะมาก ไว้ค่อยหาเวลาลองดูก็แล้วกัน’ ลู่เซิ่งสะกดความคิดนี้ไว้ในส่วนลึกของจิตใจ ก่อนจะจดจ่อกับการเดินทางต่อ แผนการขั้นแรกของเขาในปัจจุบันคือการตามหาแก่นมารบริสุทธิ์ที่มากพอในการเลื่อนไปถึงระดับจ้าวแห่งมารหลังจากได้รับการเติมเต็ม

แม้จะรู้สึกว่าหากคิดจะเลื่อนไปถึงระดับจ้าวแห่งมารอาจจะเจอปัญหาและความยากลำบากไม่น้อย ทว่าลู่เซิ่งไม่กังวล คุณสมบัติของวิถีแปดมารสูงสุดซึ่งมีพื้นฐานอยู่ที่ไข่มุกอาวรณ์แปดเศียรได้ไปถึงระดับสูงสุดแล้ว อีกทั้งคุณสมบัติของไฟหยินก็ใกล้เคียงกับระดับจ้าวแห่งมารแล้วเช่นกัน

สิ่งที่เขาจำเป็นต้องกังวลคือจุดติดขัดในด้านจิตใจและปณิธาน

หลังจากสำเร็จร่างมารแปดร่าง ระยะทางที่เดิมต้องใช้เวลานานมาก ลู่เซิ่งใช้เวลาแค่หนึ่งชั่วยามก็ไปถึงแล้ว

แน่นอนว่านี่เป็นเพราะเขาไม่ต้องขุดดินด้วย ความเร็วจึงเพิ่มขึ้นมาก

ตูม!

กรวดหินสีดำกองหนึ่งด้านข้างผนังอุโมงค์ ระเบิดอย่างสะเทือนเลือนลั่น เผยให้เห็นเงาคนกำยำที่ทั้งร่างเป็นสีดำปลอดเพราะสวมใส่เสื้อคลุมตัวยาวสีดำ

เงาคนเงยหน้ากวาดตามองอุโมงค์ แท่นพิธีที่ถล่มยังคงอยู่ที่เดิม มีปราณมารหลายสายกระจายออกมาอย่างต่อเนื่อง

‘นี่เป็นชั้นแรก’ ลู่เซิ่งก้าวข้ามแท่นพิธี แล้วกระโดดลงไปจากประตูที่เปิดอยู่

ราชาเงามืดค่อยๆ โผล่ดวงตาข้างหนึ่งออกมาจากร่องแยก เขากำลังชักนำปราณมารที่อยู่รอบๆ อย่างเงียบๆ เพื่อผนึกรวมแก่นมารอีกครั้ง กลับนึกไม่ถึงว่าจะเจอลู่เซิ่งที่กลับมาตรวจสอบ เป็นเหตุให้เขาตกใจจนรีบหยุดการเคลื่อนไหวทุกอย่าง โดยแสร้งว่าเป็นปราณมารที่รวมตัวกันตามธรรมชาติ

ยังดีที่ลู่เซิ่งรีบร้อนเลยไม่ได้ดูอย่างละเอียด ไม่เช่นนั้น…

‘มนุษย์คนนั้น…แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แล้ว…’ เขาหดตัวอยู่ในความมืดพลางถอนใจยาว ‘แม้แต่มารโบราณก็หยุดยั้งเขาไม่ได้แล้ว ราชามารในผนึกของหุบเหวมารถูกกำจัดทิ้งทั้งหมดไม่เหลือสักตนเดียว นี่ถ้าหากว่าทางพิภพมารรู้เข้า จะต้องหัวเราะจนฟันหักแน่’

‘แต่อยู่ๆ เขากลับมาอีกทำไม ด้านนอกหุบเหวมารไม่เหลือมารสักตนแล้วแท้ๆ ไม่ใช่ถูกฆ่าจนหนีหายไปหมดแล้วหรอกหรือ’ ราชาเงามืดเกิดความสงสัยขึ้นในใจ ‘หรือเขาคิดจะเปิดหุบเหวมาร นั่นมันดินแดนมรณะที่แม้แต่พิภพมารก็ยังถือว่ามีความอันตรายมาก หากไปเปิดมันเข้า ไม่พูดถึงระดับราชามาร แม้แต่จ้าวแห่งมารก็รับไม่ไหว กระแสทำลายล้างตามธรรมชาติสามารถทำลายพลังใดๆ ที่ขัดขวางมันได้ ไม่ว่าจะมีชีวิตหรือไม่ก็ตาม’

ไม่นานเขาก็สัมผัสได้ว่า ลู่เซิ่งเดินวนในผนึกสองสามชั้นด้านล่างที่ว่างเปล่าหลายรอบ และกำลังกำลังกลับออกมาอย่างหงุดหงิดเพราะไม่เจออะไร

“บอกแล้วอย่างไรเล่า หนีไปหมดแล้วยังไงก็หาไม่เจอหรอก” ราชาเงามืดกล่าวพลางส่ายหน้า

“ไปดูลานทองคำที่อยู่ด้านหลังดีกว่า” ลู่เซิ่งพึมพำกับตัวเอง

“ลานทองคำ?” ราชาเงามืดงุนงง “เดี๋ยวสิ!? ลานกว้างทองคำหรือ!?” เขาอดร้องเสียงแหลมไม่ได้

“ใช่แล้ว สถานที่ข้าค้นพบด้านหลังโดยไม่ได้ตั้งใจ จะว่าไปการค้นพบหุบเหวมารก็เป็นแค่การค้นพบโดยบังเอิญตอนกำลังกลับเท่านั้นเหมือนกัน” ลู่เซิ่งกล่าวรวบรัด ก่อนเดินไปถึงหน้าแท่นพิธี แล้วจ้องมองร่องแยกสีดำสนิทพลางแสยะยิ้มเล็กน้อย

มาถึงขั้นนี้ ราชาเงามืดย่อมรู้ว่าตัวเองโดนเจอตัวแล้ว

“ไหนบอกมาซิว่าลานทองคำคืออะไร” ลู่เซิ่งถามอย่างสงบนิ่ง

“…ดูเหมือนเจ้าจะพบข้าตั้งแต่แรกแล้ว…” ราชาเงามืดกล่าวอย่างปลดปลง

“แน่นอน ข้าแค่ขี้เกียจจะสนใจเจ้าก็เท่านั้น มารที่ไม่มีแก่นมารไม่มีค่าอะไรเลยสำหรับข้า” ลู่เซิ่งตอบอย่างขอไปที

ตอบตรงดีแท้ “ก็ได้…” ราชาเงามืดจนใจ เขานึกมาโดยตลอดว่าตัวเองซ่อนตัวได้ดี

“บอกมาว่าลานทองคำคืออะไร ข้ายังเจอประตูบานหนึ่งที่นั่นด้วย มีน้ำที่มีพิษไหลออกมาจากร่องแยกประตู ทั้งยังมีเด็กสาวหน้าละลายที่กำลังร้องไห้ ที่นั่นให้ความรู้สึกผิดปกติอยู่บ้าง” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างราบเรียบ

ราชาเงามืดหัวเราะ “ปกติมาก ถ้าหากบอกว่าหุบเหวมารเป็นสถานที่ที่อันตรายที่สุดในพิภพมาร อย่างนั้นลานกว้างที่เจ้าได้เจอก็เป็นสถานที่ที่อันตรายที่สุดในโลกมนุษย์”

“อ้อ?” ลู่เซิ่งหรี่ตา “หมายความว่าอย่างไร ถ้าตอบได้ดี ข้าจะพิจารณาปล่อยเจ้าไป”

“ดูพูดเข้า” ราชาเงามืดหัวเราะ “โลกมนุษย์เป็นแกนกลางที่เชื่อมต่อกับโลกอื่นๆ อีกสามใบ พิภพมารของพวกเราเป็นหนึ่งในนี้ อีกสองโลกเป็นโลกที่เร้นลับ แบ่งเป็นต้นกำเนิดของอาวุธเทพศัสตรามาร ความจริงสาเหตุที่พวกเราบุกโลกมนุษย์ โดยยินดีที่จะใช้ทรัพยากรอย่างเต็มที่และเรียกระดมกองทัพนับไม่ถ้วน เพราะมีเป้าหมายหลักอยู่ที่ความพิเศษของโลกมนุษย์นี่เอง”

“เจ้าหมายถึง…สำนักไตรอริยะ” ลู่เซิ่งนึกเชื่อมโยงถึงองค์กรลี้ลับที่เคยได้ยินมาก่อน

“ถูกต้อง ประตูแห่งพิภพมาร ประตูแห่งความเจ็บปวด ประตูแห่งการทำลายล้าง ประตูพิภพมารเชื่อมไปยังพิภพมาร ประตูแห่งความเจ็บปวดเชื่อมไปยังที่ที่มีความเจ็บปวดท่วมท้น ว่ากันว่าที่นั่นไม่มีความสุขและไม่มีอารมณ์ด้านบวกใดๆ สิ่งที่สัมผัสได้มีแต่ความเจ็บปวด ส่วนประตูแห่งการทำลายล้างบานสุดท้าย ข้าเองก็ไม่แน่ใจนัก เพียงแค่เคยอ่านเจอในบันทึก จึงรู้คร่าวๆ ว่านั่นเป็นสถานที่ ที่จะปลดปล่อยการทำลายล้าง ที่นั่นมีสิ่งต้องห้ามทุกอย่าง ว่ากันว่าหากสสารบางชนิดหรือสิ่งของบางชนิดในโลกใบนั้น สั่งสมพลังเป็นระยะเวลาหนึ่ง จะมีตัวตนอันลึกลับตื่นขึ้นแล้วเปิดประตูแห่งการทำลายล้างเพื่อชำระล้างทุกสิ่ง จากนั้นก็สร้างทุกสิ่งขึ้นใหม่”

……………………………………….