บทที่ 291: ความวุ่นวาย (2)

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

บทที่ 291: ความวุ่นวาย (2)

ฉินเย่ประหลาดใจเป็นอย่างมาก “เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นกัน ?”

“ผู้ใดจะไปรู้ ? บางทีมันอาจจะเป็นหน้าที่ของสวรรค์” อาร์ทิสยกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งและเอ่ยต่อ “อย่างที่ข้าพูดก่อนหน้านี้ ทุกการขยายของยมโลกจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมาย สภาพอากาศ อสูรวิญญาณ แหล่งทรัพยากร… ทั้งหมดล้วนถือกำเนิดจากการขยายตัวของยมโลกทั้งสิ้น แต่ไม่มีผู้ใดสามารถคาดเดาได้ว่าพวกมันจะเรียงลำดับอย่างไรและจะมีอะไรมาบ้าง แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็แล้วแต่ การขยายตัวของยมโลกจะต้องมีความสำคัญเหนือทุกสิ่ง”

ฉินเย่พิจารณาเรื่องทั้งหมดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าตกลง “ไปด้านนอกกันเถอะ หากพวกเราจะหยุดงานทั้งหมดเพื่อเตรียมตัวสำหรับพิธีอัญเชิญวัตถุศักดิ์สิทธิ์และสร้างอนุสาวรีย์ที่ระลึกไปในเวลาเดียวกัน มันจะเป็นการดีกว่าที่เราจะประกาศเรื่องนี้ด้วยตัวเอง”

ไม่มีใครคัดค้านอะไร การพัฒนาของยมโลกกำลังจะเริ่มขึ้น พวกเขาไม่สามารถไม่พอใจอะไรได้ ยิ่งเป็นเรื่องสำคัญมากเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งต้องระมัดระวังมากขึ้นเท่านั้น แม้ว่าจะไม่ค่อยกระตือรือร้นต่อสิ่งต่าง ๆ แต่ถ้าเป็นเรื่องของการระแวดระวังแล้วล่ะก็ ฉินเย่นั้นทำได้ดีกว่าใคร

เมื่อพูดคุยทุกอย่างเรียบร้อย ทั้งหมดก็เดินออกมาจากประตูนรก และพวกเขาก็ได้รับการต้อนรับด้วยเสี่ยงโห่ร้องไม่หยุดหย่อน

ประชากรวิญญาณส่งเสียงดังจากทั่วทุกที่

หากนี่เป็นเมื่อหนึ่งหรือสองเดือนก่อน วิญญาณส่วนใหญ่คงจะนั่งอยู่ที่หน้าประตูนรก เอนตัวพิงต้นไม้อย่างเกียจคร้าน บางตนอาจถึงขนาดนอนมองท้องฟ้า หรือไม่ก็มองไปยังเครื่องมือก่อสร้างที่กระจัดกระจายอยู่ห่างออกไป

แต่ตอนนี้ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว

การมาถึงของวัสดุและข้าวของกว่าร้อยตันนั้นไม่ต่างอะไรกับการเทน้ำมันเดือดลงในน้ำ มันทำให้ฟองอากาศแห่งความกระตือรือร้นของเหล่าประชากรวิญญาณที่อยู่โดยรอบ

หวงเลี่ยงชวนได้สร้างเวทีขึ้นในจุดที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และเขาก็ถือเครื่องกระจายเสียงจ่อไว้ที่ปาก เอ่ยออกมาเสียงดัง “…ยมโลกแห่งใหม่จะอยู่แถวหน้าของการแสวงหานวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลง ! สังคมที่ปราศจากเงินนั้นไม่ใช่สังคมที่มั่นคง ! ธนาคารกลางกำลังจะถูกสร้างขึ้น ข้าขอเชิญผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการเงินทั้งหมดเข้ามามีส่วนร่วมกับธนาคารกลางของเรา…”

และมันก็ไม่ได้มีแค่เขาเพียงตนเดียว ในความเป็นจริง มันยังมีพนักงานชั่วคราวจำนวนนับไม่ถ้วนที่กำลังรวบรวมผู้คนจากทั่วทุกมุมของนรกด้วยเครื่องกระจายเสียง คารมคมคายและวาทศิลป์ของพวกเขา “…จากการก่อตั้งธนาคารกลาง อุตสาหกรรมการพิมพ์ขอเชิญให้ผู้ที่มีประสบการณ์ทุกท่านมายื่นใบสมัครกับเรา ! สุภาพบุรุษและสุภาพสตรี มันเป็นเรื่องง่ายที่จะโรยผงไอซิ่งบนหน้าเค้ก แต่สิ่งที่พวกเรากำลังมองหาคือคนที่เต็มใจที่จะยื่นถ่านให้เราในพายุหิมะที่หนาวเหน็บ… ลองคิดดูสิว่ายมโลกจะเปลี่ยนแปลงไปมากเพียงใดเมื่อระบบการเงินถูกจัดตั้งขึ้น !”

“แผนกบรรณาธิการของยมโลกแห่งใหม่กำลังมองหาหัวหน้าบรรณาธิการ ! ทางเรารับเฉพาะใบสมัครของผู้ที่มีประสบการณ์ในตำแหน่งหัวหน้าบรรณาธิการของแผนกนิตยสารระดับสองในประเทศเท่านั้น ! นอกจากนี้ พวกเรายังรับสมัครนักข่าวอีกร้อยตำแหน่ง ! ท่านอาจมีโอกาสได้ไปประจำการในต่างประเทศ ! ย้ำ ! ท่านอาจมีโอกาสได้ไปประจำการในต่างประเทศ !”

“การก่อตั้งสมาพันธ์การค้า ! เหล่าสหายที่มีความสนใจจะฟื้นฟูกิจการของยมโลกเชิญมาสมัครกับเรา ! ทุกท่าน เพียงถามตัวเองว่ามันพอแล้วหรือยังสำหรับการเป็นทาสเพื่อผลประโยชน์ของผู้อื่นในแดนมนุษย์ ! สมาพันธ์การค้าของยมโลกแห่งใหม่ต้องการพวกท่านทุกตน ! เรามีที่ว่างเพียง 40 ที่และรับเฉพาะผู้ที่มีสินทรัพย์มากกว่าสิบล้านหยวนในแดนมนุษย์เท่านั้น !”

คิ้วที่ขมวดเป็นปมของโนบูนางะค่อย ๆ คลายออกในที่สุด

เขาเองก็เช่นกัน ครั้งหนึ่งเคยเป็นผู้นำที่พยายามสร้างทุกอย่างขึ้นมาเองตั้งแต่ต้นจนกระทั่งได้กลายเป็นหนึ่งในไดเมียวที่มีชื่อเสียงมากที่สุดตลอดกาล ดังนั้นเขาจะไม่สังเกตเห็นได้อย่างไรว่าความวุ่นวายที่เกิดขึ้นนี้ล้วนมาจากความมุ่งมั่นที่ปะทุจากสิ่งที่เคยเป็นเพียงชั้นน้ำแข็งหนาที่เกาะกุมหัวใจของประชากรเหล่านี้ ? ทุกอย่างอาจจะดูโกลาหล แต่มันก็เป็นความโกลาหลที่เป็นระเบียบ

ตราบใดที่พวกเขาสามารถก้าวข้ามจุดนี้ไปได้ ตราบใดที่เจ้าเหนือหัวของพวกเขาสามารถรักษาจิตใจที่โปร่งใสและความยุติธรรมภายในใจของตนได้ หลังจากนั้น… สิ่งที่รอพวกเขาอยู่ก็คือการพุ่งทะยานของยุคสมัยแห่งการพัฒนา !

และมันไม่ใช่เพียงเท่านั้น…

เขาเหลือบสายตาไปมองฉินเย่

หัวใจของชายผู้นี้… ไม่ได้เล็กและไร้ความทะเยอทะยานอย่างที่เขาคิดเอาไว้ในตอนแรก…

แผนการของเขาคือการจัดการปัญหาทุกอย่างและรักษาเสถียรภาพในการบริหารให้ได้ภายในสองสามเดือน และหลังจากนั้น เขาก็จะแสดงให้เหล่าข้าราชการศักดินาเห็นถึงความพัฒนาของยมโลกแห่งใหม่ในการประชุมราชสำนักในปลายปี สิ่งนี้ไม่เพียงแต่สามารถขจัดความคิดเกี่ยวกับการก่อกบฏเท่านั้น แต่เขายังอาจจะสามารถรักษามุมมองความเท่าเทียมกันระหว่างชาติได้อีกด้วย !

นี่เป็นเรื่องที่สำคัญมาก !

เพราะสุดท้ายแล้ว เมื่อแต่ละชาติอยู่ในจุดที่เท่าเทียมกันแล้วเท่านั้นพวกเขาถึงจะสามารถพิจารณาถึงเรื่องของพันธมิตรเชิงกลยุทธ์และเส้นทางการค้าได้ จากนั้น ด้วยเงินและทรัพยากรที่อยู่ในมือ ยมโลกก็จะสามารถพัฒนาต่อไปได้อย่างมั่นคง ทุกอย่างจะนำไปสู่วัฏจักรแห่งการเติบโตและความเจริญรุ่งเรืองอีกครั้ง !

ยิ่งกว่านั้น… หากยมโลกแห่งใหม่สามารถนำมรดกที่ถูกทิ้งไว้โดยยมโลกแห่งเก่ากลับมาได้ พวกเขาก็จะมีอำนาจเหนือโลกใต้พิภพที่อยู่ภายใต้การปกครองของเหล่าข้าราชการศักดินาทั้งหมดได้ในเวลาไม่นาน

ฉินเย่ไม่ได้รับรู้ถึงสายตาของโนบูนางะเลยแม้แต่น้อย

“ช่างมีชีวิตชีวาจริง ๆ…” เขาเอ่ยออกมาเบา ๆ โดยไม่ได้ตั้งใจ นี่เขาปล่อยให้ยมโลกตกอยู่ในสภาพของเมื่อไม่กี่เดือนก่อนได้อย่างไร ? มันทั้งเงียบเหงาและน่าเบื่อ ไม่มีใครอย่างจะอยู่ที่นี่ อนาคตของพวกเขาแทบไม่มี มันไม่มีทั้งอาหารหรือเครื่องดื่ม และประชากรทั้งหมดก็เอาแต่นอนและพิงตัวอยู่ตามต้นไม้ขณะที่เวลาดำเนินไปเรื่อย ๆ ยมโลกในเวลานั้นเต็มความทรุดโทรม

“มันเป็นเรื่องธรรมดา” ซูตงเซวี่ยอดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมาด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย “นายท่าน ท่านรู้หรือไม่ ? เมื่อไม่นานมานี้ ความรู้สึกของพลเมืองส่วนใหญ่ที่ข้าได้ยินและได้เห็นนั้นมีเพียงความโศกเศร้าและคำร้องเรียน เมื่อการจลาจลของวิญญาณครั้งล่าสุดเกิดขึ้นและความโกรธแค้นสร้างความเสียหายให้กับยมโลก ไม่มีพวกเราตนใดตื่นตกใจกับเรื่องนี้เลยสักนิด”

“หากไม่เกิดการจลาจลขึ้นในยมโลกก็ต้องตายทั้งเป็นจากความเงียบ…” ฉินเย่มองสีหน้าพลเมืองทั้งหมดขณะที่แย้มยิ้มออกมา

“ถูกต้อง…” อาร์ทิสเอ่ยขึ้น “เจ้ายังจำคำโฆษณาในแดนมนุษย์ที่ขายฝันในการสร้างรายได้โดยที่ไม่ต้องทำอะไรหรือไม่ ? การ ‘ไม่ทำอะไร’ ที่ว่านั่นไม่ได้รวมถึงการใช้คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ น้ำชายามบ่าย KTV และความบันเทิงรูปแบบอื่น ๆ อันที่จริง เจ้าสามารถพูดได้เลยว่ายมโลกแห่งใหม่ได้มอบความหมายใหม่เกี่ยวกับคำว่า ‘ไม่ทำอะไร’ ให้พวกเขาได้อย่างชัดเจน”

“บางทีมันไม่แปลกเลยที่ประชากรวิญญาณจะเพลิดเพลินไปกับความรู้สึกของการไม่ต้องทำอะไรเลยในตอนแรก เพราะอย่างไรแล้ว งานในแดนมนุษย์นั้นก็เหนื่อยเหลือเกิน แต่ความรู้สึกเพลิดเพลินที่ว่านั้นจะคงอยู่ไปได้นานเพียงใดกัน ? หนึ่งเดือน ? หรืออาจจะสองเดือน ?”

“พวกเขาเกือบจะเป็นบ้าเพราะความเบื่อหน่ายที่กัดกินพวกเขาอยู่ตลอดเวลา” อาร์ทิสก้าวเท้าออกมาด้านหน้า สายตาของนางเจือไปด้วยร่องรอยของความอบอุ่น “การปรากฏตัวของสวนจี้ชั่งระยะ 1 ทำให้เลือดของพวกเขาเริ่มไหลไปตามเส้นเลือดอีกครั้ง แต่มันก็อะไรให้ติดตามเลยสักนิด มันไม่สำคัญเลยว่าคำพูดของเจ้าจะสามารถสร้างแรงบันดาลใจได้มากเพียงใด เพราะสุดท้ายแล้ว หัวใจของพวกเขาต่างก็ต้องเปลี่ยนเป็นหนาวเหน็บทั้งนั้นเมื่อเห็นว่าพื้นที่ก่อสร้างมีเพียงเครื่องจักรไม่กี่ตัว แต่ตอนนี้ ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว พวกเรามีของหลายร้อยตันเพื่อหล่อเลี้ยงจิตใจของพวกเขา พร้อมสร้างแรงขับเคลื่อนและชนะใจ เมื่อใดที่เจ้าสามารถทำสิ่งเหล่านั้นได้ การไล่ตามบริแทนเนียและอูโซเนียก็เป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้น !”

ฉินเย่พยักหน้าอย่างหนักแน่นและเดินไปที่หน้าประตูนรก เขากระแอมออกมาด้วยเสียงที่ดังไปทั่วยมโลก หมิงชีหยินที่อยู่ด้านบนสุดของประตูสะดุ้งกับการประกาศอย่างกะทันหันและสบถออกมาเบา ๆ “ให้ตายเถอะ…”

เสียงพูดคุยเบาลงทันที ฉินเย่ได้รับความหวาดกลัวและความเคารพในทั่วทุกที่ที่เขาไป วิญญาณทั้งหมดต่างรู้ดีว่าเด็กหนุ่มไม่ใช่ผู้ที่จะสามารถล้อเล่นด้วยได้ เขาเงียบไปครู่หนึ่งและแย้มยิ้มออกมาบาง ๆ “ภาพความครึกครื้นของพวกเจ้าทำให้ข้าพึงพอใจมากจริง ๆ”

“ข้ามาที่นี่ในวันนี้ก็เพื่อประกาศเรื่องบางอย่าง เรื่องแรก ข้าต้องการที่จะประกาศว่าตอนนี้พวกเราสามารถแย่งชิงหนึ่งในสามมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ของยมโลก สมุดแห่งความเป็นตาย กลับมาได้แล้ว !”

เสียงพูดคุยที่เพิ่งเบาลงพลันระเบิดอีกครั้งทันที ประชากรวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนต่างมองหน้ากันด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ

นั่นใช่สมุดแห่งความเป็นตายที่พวกเขารู้จักหรือเปล่า ? ของในตำนานที่ว่ากันว่ามีอำนาจเหนือความเป็นและความตาย ? ข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขากำลังได้ยินประกาศที่สำคัญขนาดนี้ในตอนที่กำลังเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นทำให้ดวงตาของประชากรทั้งหมดเต็มไปด้วยความคาดหวังสำหรับอนาคต

ฉินเย่ทำท่าคว้าอะไรบางอย่างในอากาศและกลุ่มก้อนพลังหยินสีขาวดำก็เริ่มรวมตัวกันเหนือมือของเขาก่อนจะกลายร่างเป็นรูปร่างของสมุดโบราณเล่มหนึ่ง

ฟึ่บ… หน้ากระดาษถูกเปิดออกด้วยตัวเองขณะที่รายชื่อมากมายปรากฏขึ้นล้อมรอบร่างของฉินเย่ เด็กหนุ่มพยายามรักษาท่วงท่าของผู้นำขณะที่สูดหายใจเข้าช้า ๆ และเอ่ยด้วยเสียงดังกังวาน “อีกไม่นานเราจะจัดพิธีอัญเชิญสมุดแห่งความเป็นตายขึ้น ด้วยมีสมุดเล่มนี้อยู่ในยมโลก พวกเจ้าทั้งหมดจะสามารถมองเห็นวันเกิดและวันตายของบุคคลอันเป็นที่รัก และสามารถวางแผนสำหรับอนาคตได้”

“ขอประทานอภัย !” ทันใดนั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นท่ามกลางเสียงฮือฮาที่ดังขึ้นอีกครั้ง “แต่แผนที่ท่านพูดถึงนั้นหมายความว่าอย่างไร ?”

ดีมาก… นั่นคือคำถามที่เขากำลังรออยู่พอดี… ฉินเย่พยักหน้า “ง่ายมาก ยมโลกกำลังจะจัดตั้งระบบสกุลเงินขึ้น และทุกสิ่งทุกอย่างก็จะมีราคาขึ้นมาเช่นกัน ในเมื่อพวกเจ้าสามารถรับรู้วันตายของบุคคลอันเป็นที่รักของตัวเองได้ พวกเจ้า… จะไม่คิดที่จะซื้ออพาร์ทเมนท์ที่มีสามห้องนอนหรอกหรือ ?”

อะไรนะ ?!

อาร์ทิสหันไปมองฉินเย่ด้วยดวงตาที่เบิกกว้างทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น อ๊ากกกก… เจ้าทำมันลงไปจริง ๆ …ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะนำฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์มาใช้กับในนรก ! แต่… มันก็ฟังดูสมบูรณ์แบบและไร้ยางอายดีไม่ใช่หรือ ? นางหมายถึง… ดูสีหน้าของเหล่าพลเมืองสิ… หรือว่าเป็นข้าเองที่เข้าใจผิดมาโดยตลอด ?

ไม่ใช่เพียงแค่อาร์ทิสเท่านั้นที่ตกตะลึง แม้แต่เหล่าประชากรวิญญาณเองก็ชะงักไปเช่นกัน

นี่พวกเขาสามารถทำอะไรแบบนั้นได้ด้วยหรือ ?

เป็นอย่างที่คิด อสังหาริมทรัพย์นั้นขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างแท้จริง… ให้ตายเถอะ คนพวกนั้นยังไม่ตายด้วยซ้ำ แต่พวกเขาต้องเตรียมที่พักไว้รอรับอีกฝ่ายแล้วอย่างนั้นหรือ ? แต่… มันก็ดูสมเหตุสมผลอยู่ ขนาดผู้คนส่วนใหญ่ยังซื้อที่ดินไว้ล่วงหน้าสำหรับฝังศพของตัวเองเลย…

ไม่ แต่มันก็ยังฟังดูแปลก ๆ อยู่ดี !

ฉินเย่ทำเป็นมองไม่เห็นความสับสนด้านล่าง เพราะอย่างไรแล้วเขาก็ให้ความสำคัญกับการตลาด ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงเอ่ยต่อด้วยใบหน้าที่ไม่เปลี่ยนแปลง “พวกเราทั้งหมดล้วนตายเพียงแค่ครั้งเดียว หลังจากได้ใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่ขนาดเล็กที่กว้างไม่ถึง 40 ตารางเมตร พวกเจ้าต้องการจะใช้ชีวิตหลังความตายภายใต้เงื่อนไขเหล่านั้นอีกอย่างนั้นหรือ ?”

“ต่อให้พวกเจ้าไม่ได้ทำมันเพื่อตัวเอง อย่างน้อยเจ้าก็ควรที่จะวางแผนสำหรับภรรยา ลูกและหลานของตัวเอง ! ข้าไม่ได้พยายามจะขู่แต่อย่างใด แต่ด้วยความเร็วในการพัฒนาของยมโลกในตอนนี้… ในตอนที่ลูกหลานของพวกเจ้ามาถึงที่นี่ พื้นที่แต่ละตารางฟุตจะราคาเท่าไหร่ ? พวกเจ้าไม่เคยทุบอกของตัวเองแรง ๆ สงสัยว่าทำไมตัวเองไม่เริ่มต้นตั้งแต่ตนที่บ้านนั้นราคาเพียง 3,000 หยวนต่อตารางฟุตบ้างเลยหรือ ? แต่นั่นจะไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป เพราะบริษัทก่อสร้างหยินจะให้โอกาสพวกเจ้าได้เริ่มทุกหมดใหม่อีกครั้ง ! ทั้งหมดที่พวกเจ้าต้องทำมีเพียงตั้งใจทำงานสักสิบปีหรือ 20 ปี และเมื่อลูกหลานของพวกเจ้ามาถึง ชีวิตของพวกเขาก็จะอยู่อย่างสุขสบาย !”

วิญญาณที่ยกมือขึ้นเพื่อถามคำถามในตอนแรกลดแขนลง คำพูดนี้มันแปลกเกินไปแล้ว… มันดูเหมือนจะผสมทั้งความจริงและคำโกหก… ทุกอย่างดูลงตัวอย่างพอดิบพอดี แต่เศษเสี้ยวในใจของพวกเขากลับบอกว่าทุกอย่างที่อีกฝ่ายพูดนั้นไม่เป็นความจริง… ความรู้สึกพวกนี้… พวกเขาคิดไปเองอย่างนั้นหรือ ?

แม้แต่อาร์ทิสเองก็พูดอะไรไม่ออกเช่นกัน

เจ้าสามารถใช้สมุดแห่งความเป็นตายในการขายอสังหาฯได้อย่างไร… อาร์ทิสตัดสินใจแล้วว่านางจะเว้นระยะห่างจากจ้าวนรกองค์ที่สามของยมโลก

ฉินเย่ยังคงพูดต่อไปอีกประมาณสิบนาทีก่อนจะปิดท้ายด้วยการย้ำอีกครั้ง “สมุดแห่งความเป็นตายจะช่วยให้พวกเจ้าสามารถมองเห็นอนาคตและวางแผนให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ พวกเรายังอยู่ในจุดที่ราคาของอสังหาริมทรัพย์ต่ำที่สุด รีบคว้าโอกาสนี้ไว้ให้ดี ไม่เช่นนั้นพวกเจ้าจะต้องเสียใจในภายหลัง”

“นอกเหนือจากนั้น สมุดแห่งความเป็นตายจะช่วยขยายอำนาจของยมโลกในฐานะของอาณาจักร” อาร์ทิสที่ทนไม่ไหวอีกต่อไปเอ่ยแทรกขึ้น ว่าที่จ้าวนรกได้พูดเรื่องอสังหาริมทรัพย์มากเกินไปแล้ว และนางก็ไม่สามารถปล่อยให้เขาพูดมันได้อีกต่อไป “ทันทีที่สมุดแห่งความเป็นตายได้อยู่ในที่ของมัน มันจะทำหน้าที่เป็นรากฐานสำหรับสิ่งก่อสร้างเฉพาะต่าง ๆ ที่มีเฉพาะในยมโลกเพียงแห่งเดียวเท่านั้น”

“ยมโลกเป็นภพ ๆ หนึ่ง แต่มันก็ไม่เหมือนแดนมนุษย์ นี่คือสถานที่ซึ่งวิทยาศาสตร์ผสมผสานเข้ากับเวทมนตร์ได้อย่างกลมกลืน ประสบการณ์ในแดนมนุษย์ของพวกเจ้าอาจจะมีประโยชน์ แต่มันก็ไม่สามารถใช้ได้โดยตรง อย่างไรก็ตาม…”

นางสูดหายใจเข้าช้าๆและประกาศเสียงดัง “ในอีกหนึ่งเดือนหลังจากนี้ รัฐบาลจะเปิดรับสมัครบุคลากรจำนวนมาก จากนั้นในเดือนถัดไป พวกเราก็จะจัดพิธีอัญเชิญสมุดแห่งความเป็นตายขึ้นอย่างเป็นทางการ เมื่อถึงเวลานั้น… ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าทุกตนจะเข้าใจถึงธรรมาชาติที่แท้จริงของยมโลก”

เมื่อถูกแย่งคำพูดไป ว่าที่จ้าวนรกองค์ต่อไปของยมโลกก็เหลือบตามองอาร์ทิสด้วยสายตาไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขากระซิบกับอีกฝ่ายขณะที่พลเมืองด้านล่างยังคงพูดคุยกันด้วยความตื่นเต้น “ท่านมาแย่งบทของข้าไปทำไม ?!”

“แล้วจะให้ข้าทำอย่างไร ?!” อาร์ทิสกัดฟันกรอด “ต่อให้เป็นสมุดแห่งความเป็นตายก็ต้องร้องไห้ออกมาด้วยความเศร้าโศกเมื่อได้ยินว่าเจ้าเอ่ยถึงมันสั้นแค่นั้น ! เจ้าไม่กลัวว่าจะถูกสมุดหนีบจนตายหรืออย่างไร ?!”