บทที่ 270 กินยาหรือยัง?

เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ

การดวลกันระหว่างยอดฝีมือมักจะเป็นการต่อสู้กันตรงๆ นั่นจึงเป็นความน่ากลัวที่สุด การงัดข้อที่เย่เทียนเฉินพูดก็เหมือนกับตอนตัดสินแพ้ชนะกับเฮยเมี่ยน ถ้าหากทำเพียงต่อสู้อย่างดุเดือดรุนแรง ก็ยังสามารถได้รับชัยชนะด้วยการระดับการต่อสู้และความรวดเร็วได้ แต่การงัดข้อกลับไม่มีวิธีที่เอาชนะได้ด้วยความบังเอิญ เป็นการปะทะกันของพลังโดยสิ้นเชิง ใครที่มีพลังไม่มากพอก็จะต้องแพ้

เฮยเมี่ยนขับรถ มุมปากปรากฏรอยยิ้มเชื่อมั่นในตัวเองขึ้น เขาคิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะถึงกับเลือกวิธีการงัดข้อแบบนี้ ถึงแม้ว่าในใจจะรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่กล้าลำพองใจ จะอย่างไรรูปแบบนี้ก็เป็นการปะทะกันของพลังโดยสิ้นเชิง หากไม่แข็งแกร่งมากพอก็จะแพ้อย่างอนาถ แต่ที่เฮยเมี่ยนยิ้มอย่างเชื่อมั่นในตัวเองออกมาเช่นนี้ เป็นเพราะเขาเชื่อว่าเย่เทียนเฉินจะต้องแพ้อย่างแน่นอน หากเป็นการต่อสู้เพียงอย่างเดียว เขาคงไม่มีความมั่นใจพี่จะเอาชนะเย่เทียนเฉินได้ จะอย่างไรคนคนนี้ก็มีความสามารถลึกล้ำไม่อาจคาดเดา ส่วนเรื่องที่แข็งแกร่งขนาดไหนกันแน่ จนถึงตอนนี้ก็ไม่มีใครรู้ แต่หากเป็นการประลองกำลังกันเพียวๆ เฮยเมี่ยนกลับมีความมั่นใจมาก เพราะเขาเป็นคนที่ได้รับฉายา “อาร์มคิง” ในกองกำลังขุนพลระดับฟ้า

ฉายา “อาร์มคิง” นี้ เป็นฉายาอันทรงเกียรติที่ได้รับมาจากการประลองกับขุนพลระดับทัพฟ้าคนอื่นๆ หลายปีมานี้ไม่มีใครเอาชนะตนได้มาก่อน อย่างมากก็มีเพียงคนสองคนในหมู่ขุนพลระดับทัพฟ้าที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษ ซึ่งสามารถเสมอกับตนได้

“เห็นแกยิ้มร้ายกาจขนาดนี้ คงมั่นใจมากจริงๆ สินะ!” เย่เทียนเฉินนั่งอยู่บริเวณที่นั่งข้างคนขับ มองไปยังรอยยิ้มเย็นชาของเฮยเมี่ยน อดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมา

“หึ ไอ้หนูแกก็ทำตัวดีๆ อยู่ในเมืองหลวงซะเถอะ ทำภารกิจคุ้มครองตงฟางเมิ่งให้สำเร็จก่อนแล้วค่อยมาพูดกัน!” เฮยเมี่ยนแค่นเสียงเย็นแล้วพูดขึ้น

“หวา มั่นใจขนาดนี้ แกกินยาโด๊ปมาหรือไง?” เย่เทียนเฉินถามด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

“แก…ไอ้หนูมีช่วงเวลาที่จริงจังสักหน่อยได้หรือเปล่า? ฉันประหลาดใจจริงๆ นิสัยเอ้อระเหยลอยชายแบบแก แต่กลับมีฝีมือขนาดนี้ได้ สวรรค์ไร้ตาจริงๆ เลย!” เฮยเมี่ยนพูดด้วยท่าทางจนใจ

“ดูท่าแกจะกินยาโด๊ปมามาก ฉันคงต้องระวังสักหน่อยแล้ว!” เย่เทียนเฉินแสร้งทำเป็นพูดด้วยท่าทางให้ความสำคัญ

“ถ้าแกแพ้ก็อยู่ที่เมืองหลวงดีๆ ซะเถอะ!” เฮยเมี่ยนไม่พูดพร่ำทำเพลง เหยียบคันเร่งมุ่งหน้าตรงไปยังศาลาที่อยู่ไม่ไกล

เมื่อมาถึงในศาลา เฮยเมี่ยนและเย่เทียนเฉินก็นั่งลงตรงกันข้าม ตอนนี้ใครก็ไม่กล้าดูเบาอีกฝ่าย เฮยเมี่ยนรู้ว่าเย่เทียนเฉินแข็งแกร่งมาก เย่เทียนเฉินเองก็รู้ดีว่าเฮยเมี่ยนที่เป็นขุนพลระดับทัพฟ้าคนนี้ ไม่ได้มีชื่อมาเปล่าๆ แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก หากไม่ระวังแม้เพียงนิดเดียวตนเองคงจะแพ้ภายใต้น้ำมือของเฮยเมี่ยนจริงๆ ก็เป็นได้ เขาไม่อาจแพ้ได้ จะต้องหาเวลาไปจัดการเรื่องของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนและตระกูลโอวหยางก่อนค่อยว่ากันอีกที

เย่เทียนเฉินและเฮยเมี่ยนพับแขนเสื้อขึ้นแทบจะพร้อมกัน เผยให้เห็นกล้ามเนื้อแข็งแกร่งออกมา เมื่อดูจากความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแล้ว เฮยเมี่ยนชนะเย่เทียนเฉิน ทั้งสองต่างก็มองกันด้วยความเคร่งขรึมจริงจัง เมื่อถึงตอนนี้ใครก็ไม่กล้าลำพองใจและดูเบาอีกฝ่าย ต่างรู้ว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งมาก

ฟุ่บ!

มือขวาของทั้งสองจับเข้าด้วย และออกแรงแทบจะพร้อมกัน ต้องการโจมตีอีกฝ่ายในเวลาชั่วพริบตา เพียงไม่นานก็ระเบิดพลังการต่อสู้ที่แข็งแกร่งออกมา

ตู้ม!

ตู้ม!

เสียงดังขึ้นสองครั้ง เก้าอี้หินที่เย่เทียนเฉินและเฮยเมี่ยนนั่งต่างแหลกเป็นผุยผงไปหมดแล้ว มากเพียงพอที่จะทำให้เห็นว่าทั้งสองมีพลังในการดวลกันเป็นอย่างมาก ทั่วทั้งศาลาสั่นระริก คล้ายกับเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ เก้าอี้หินที่เย่เทียนเฉินและเฮยเมี่ยนก็แหลกเป็นผุยผงไปแล้ว แต่เขาทั้งสองกลับยังรักษาท่าทางการนั่งเอาไว้ มือขวาจับมือของอีกฝ่ายแน่น ดวงตาจ้องมองไปที่อีกฝ่าย เพิ่งจะเริ่มก็ใช้แรงเข้าปะทะกันอย่างมหาศาลแล้ว

ถ้าหากมีคนนอกมาเห็นจะต้องตกใจจนคางร่วงแน่นอน เพียงแค่การงัดข้อธรรมดาเท่านั้น ถึงกับเกิดภาพเหตุการณ์รุนแรงเช่นนี้ได้ ภายในศาลาทั้งหมดเต็มไปด้วยบรรยากาศของพลังอันแข็งแกร่ง หากคนธรรมดาเข้ามาใกล้ เป็นไปได้มากว่าจะถูกโจมตีจนบาดเจ็บ เห็นได้ว่าเย่เทียนเฉินกับเฮยเมี่ยนไม่ได้ทำเป็นเล่น แต่ดวลกันอย่างจริงจัง

ตอนนี้เอง ม้านั่งที่เย่เทียนเฉินและเฮยเมี่ยนนั่งไม่เพียงแต่จะแหลกเป็นผุยผง กระทั่งโต๊ะหินที่พวกเขาวางมือก็ปรากฏรอยร้าวขึ้นมาแล้ว มีแนวโน้มว่าจะพังทลายไปได้ทุกเมื่อ พลังของทั้งสองมหาศาลจนทำให้ผู้คนต้องเย็นสันหลังเลยทีเดียว

“คิดไม่ถึงเลยว่าพลังของแกจะไม่เบาจริงๆ!” เฮยเมี่ยนพูดกับเย่เทียนเฉินด้วยรอยยิ้ม

“แกก็ไม่อ่อนเลย!” เย่เทียนเฉินเองก็ตอบไปตามใจ

ตอนนี้ในใจของเย่เทียนเฉินและเฮยเมี่ยนต่างสั่นสะท้านเป็นอย่างมาก เมื่อเย่เทียนเฉินลงมือก็ใช้พลังในขอบเขตจอมราชันออกมาจนแทรกซึมอยู่ในมือขวา เรียกได้ว่าพลังที่เพิ่มขึ้นไม่ใช่น้อยๆ แต่ก็ไม่สามารถ จัดการเฮยเมี่ยนได้ นี่อยู่เหนือการคาดเดาของเขาไปมาก

ส่วนในใจของเฮยเมี่ยนก็ยิ่งรู้สึกสั่นสะท้าน เขาที่ได้รับฉายาว่า “อาร์มคิง” ในหมู่ขุนพลระดับทัพฟ้า ก็ไม่ได้ได้รับฉายามาเปล่าๆ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการใช้พลังภายในเลย แค่พลังของกล้ามเนื้อเพียวๆ ก็มีแค่ไม่กี่คนที่เป็นคู่ต่อสู้ของเฮยเมี่ยนได้ ยิ่งไปกว่านั้นในตอนที่เพิ่งจะเริ่ม เฮยเมี่ยนยังขับเคลื่อนพลังภายในของตนเพื่อไปกระตุ้นที่แขนขวา ต้องการที่จะเอาชนะเย่เทียนเฉิน สั่งสอนเจ้าหมอนี่สักหน่อย ให้เย่เทียนเฉินรู้ถึงความร้ายกาจของขุนพลระดับทัพฟ้า ไหนเลยจะรู้ว่าทั้งสองต่างมีความคิดที่จะจัดการอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว เพิ่งจะเริ่มก็ระเบิดพลังที่แข็งแกร่งขนาดนี้ออกมาแล้ว เฮยเมี่ยนก็ตกใจจนยากที่จะเชื่อ จะอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะแข็งแกร่งจนถึงขั้นนี้ได้

“ดูท่าพวกเราคงจะต้องทำให้ที่นี่ราบเป็นหน้ากลองแล้ว!” เฮยเมี่ยนมองไปยังศาลาที่สั่นระริก พลังของเขาและเย่เทียนเฉินปะทะกัน ใช้ความสามารถโจมตีใส่กัน ไม่ยอมถอยให้แก่กัน แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก เกรงว่าอีกไม่กี่นาทีศาลาแห่งนี้ก็คงพังแน่นอน

“วางใจเถอะ เดี๋ยวก็ออกแรงเต็มกำลังซะ ศาลาแห่งนี้ไม่พังหรอก เพราะแกเอาชนะฉันไม่ได้!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

เฮยเมี่ยนขมวดคิ้ว คิดไม่ถึงว่าไอ้หนูเย่เทียนเฉินนี่จะดูถูกตนเช่นนี้ ต่อให้ท่าทางของอีกฝ่ายจะทำให้แปลกใจ แต่จนกระทั่งตอนนี้ทั้งสองก็เรียกได้ว่าเสมอกันเท่านั้น เย่เทียนเฉินถึงกับกล้าพูดแบบนี้ออกมา จะเป็นการไม่เห็นเขาเฮยเมี่ยนอยู่ในสายตาเกินไปหรือเปล่า?

“ในเมื่อไอ้หนูอย่างแกเชื่อมั่นในตัวเองแบบนี้ ฉันก็จะทำลายมือขวาของแกซะ!” เฮยเมี่ยนพูดอย่างดุดัน

“มาเถอะ!” เย่เทียนเฉินตะโกนออกมา!

จนถึงตอนนี้เย่เทียนเฉินยังคงยั่วยุเฮยเมี่ยนอยู่ เขาจงใจทำ เพราะต้องการให้เฮยเมี่ยนลงมือเต็มกำลัง เย่เทียนเฉินอยากจะเห็นสักหน่อยว่า ขุนพลระดับทัพฟ้าแข็งแกร่งขนาดไหน ถ้าหากแข็งแกร่งมากพอเขาก็คิดจะไปฝ่าด่านของขุนพลระดับฟ้าสักหน่อย จะต้องสนุกแน่นอน ถ้าหากไม่แข็งแกร่งมากพอเขาก็ไม่จำเป็นต้องไปเล่น

“อ๊าก!”

เฮยเมี่ยนและเย่เทียนเฉินดูเหมือนจะตะโกนออกมาพร้อมกัน ในขณะที่เย่เทียนเฉินกำลังพูดก็กางเขตแดนปิดกั้นออกมาแล้ว เพราะไม่อยากให้คนนอกมาเห็น และไม่ต้องการให้ศาลาแห่งนี้พังลง

ในเวลาเพียงชั่วพริบตา เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะตกใจจนหน้าซีด เนื่องจากเฮยเมี่ยนตะโกนออกมาครั้งหนึ่ง ขาทั้งสองของเขาก็เหยียบแผ่นหินใต้เท้าจนสลายเป็นผง กล้ามเนื้อที่มือขวาบวมเป่งออกมา เส้นเลือดสีเขียวปรากฏขึ้น มีไอพลังงานที่แข็งแกร่งไหลทะลักโจมตีออกมา ทำให้ผู้คนตกตะลึงมากจริงๆ ความสามารถของเฮยเมี่ยนที่เป็นขุนพลประดับฟ้าแข็งแกร่งมาก พลังภายในก็แข็งแกร่งถึงขนาดนี้เชียวหรือ

เย่เทียนเฉินย่อมไม่กล้าลำพองใจ ในชั่วพริบตาพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันของตนก็พุ่งทะยานขึ้นไปจนถึงขีดสุด ทำการดวลเป็นครั้งสุดท้ายกับเฮยเมี่ยน

แค่การงัดข้อเล็กๆ เท่านั้น ในสายตาของคนทั่วไปนั้นธรรมดาจนไม่อาจธรรมดาไปมากกว่านี้ได้ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้ายอดฝีมือระดับสูงอย่างเย่เทียนเฉินและเฮยเมี่ยน การประลองที่ธรรมดาที่สุดแบบนี้กลับสามารถสะท้อนให้เห็นถึงพลังการต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาได้ หากไม่ใช่ว่าเย่เทียนเฉินกางเขตแดนปิดกั้นออกมาค้ำยันศาลาเล็กๆ อย่างนี้เอาไว้ และรักษาสมดุล เกรงว่าคงระเบิดจนกลายเป็นฝุ่นไปนานแล้ว

ปัง!

หลังจากเสียงดังสนั่น ในศาลาเล็กๆ ก็เต็มไปด้วยเศษฝุ่น เย่เทียนเฉินและเฮยเมี่ยนคุกเข่าครึ่งหนึ่งอยู่บนพื้น รอจนกระทั่งฝุ่นควันหายไป พวกเขาทั้งสองต่างก็จ้องมองอีกฝ่าย พบว่าทั้งสองนั่งคุกเข่าครึ่งนึงอยู่บนพื้น มือขวาและมือขวายังคงจับกันอยู่ ส่วนเก้าอี้หินที่พวกเขานั่งก็กลายเป็นเศษหินไปนานแล้ว โต๊ะหินที่มือทั้งสองวางเอาไว้ก็แตกเป็นสี่ห้าส่วน แต่มือของทั้งสองยังคงจับกันอยุ่ รักษาท่าทางดั้งเดิมเอาไว้ได้

บริเวณฝ่ามือขวาของเย่เทียนเฉินมีเลือดไหลออกมา เหมือนกับถูกไอพลังอันมหาศาลบาดอย่างไรอย่างนั้น ส่วนมือขวาของเฮยเมี่ยนไม่มีการเสียหายใดๆ เลย แต่หากมองให้ละเอียดจะพบว่าบิดงอไปเล็กน้อย ทั้งสองเพิ่งจะใช้พลังเต็มที่ นำพลังการต่อสู้ทั้งหมดรวบรวมเอาไว้ที่มือขวา แล้วทำการดวลกันครั้งใหญ่อย่างที่คนนอกไม่อาจสัมผัสได้

“สองวัน สองวันเท่านั้น ฉันจะรีบกลับมา ในเมื่อฉันตอบรับคำของท่านหยางแล้ว ก็จะต้องทำให้ได้!” เย่เทียนเฉินพูดกับเฮยเมี่ยนด้วยรอยยิ้ม

“ทางที่ดีแกก็รักษาคำพูดหน่อยเถอะ!” เฮยเมี่ยนมองเย่เทียนเฉินก็พูดขึ้น

“ขอบคุณมาก!” เย่เทียนเฉินยิ้มแล้วคลายมือออก!

เมื่อเห็นเงาหลังของเย่เทียนเฉินกำลังเดินจากไป เฮยเมี่ยนก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ในใจเต็มไปด้วยความประหลาดใจ การดวลของเขากับเย่เทียนเฉิน บางทีอาจจะเรียกได้ว่า หากมียอดฝีมือระดับสูงอยู่ด้วยก็ไม่แน่ว่าจะมองผลแพ้ชนะออก เพราะหลังจากที่เย่เทียนเฉินและเฮยเมี่ยนระเบิดพลังที่แข็งแกร่งที่สุดของตนออกมา ก็ยืนอยู่กับที่โดยไม่เคลื่อนไหว

“ให้ตายเถอะ ท่าทางต้องฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเพิ่มซะแล้ว เฮยเมี่ยนแข็งแกร่งมากจริงๆ ดูท่าหากมีโอกาสฉันจะต้องไปเล่นฝ่าด่านขุนพลระดับทัพฟ้าสักหน่อยแล้ว ถือโอกาสฝึกฝนกายเนื้อของตัวเองไปด้วย!” เย่เทียนเฉินเดินไปพลางมองไปยังอาการบาดเจ็บบริเวณง่ามนิ้วที่ถูกบดขยี้ในมือขวาของตน อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวแล้วพูดขึ้นมา ตอนนี้กล้ามเนื้อไม่อาจรับพลังที่มากเกินไปได้จริงๆ ต่อให้ตนเองสามารถทะลวงไปยังขอบเขตจักรพรรดิได้ ก็ไม่กล้าไปลองมั่วๆ แน่

ส่วนเฮยเมี่ยนก็มองเย่เทียนเฉินแล้วใช้มือซ้ายบิดข้อมือขวาของตนเล็กน้อย จากนั้นจึงเดินไปนั่งในรถจี๊ปทหารแล้วขับออกไป เหลือไว้เพียงพื้นหินที่แหลกเป็นผุยผง มีเพียงตำแหน่งที่เย่เทียนเฉินและเฮยเมี่ยนวางมือเท่านั้นที่ยังสมบูรณ์ไม่เสียหาย รอยประทับตอนที่เฮยเมี่ยนวางมือ ค่อยๆ เลื่อนไปทางซ้ายเล็กน้อย เลื่อนไปเล็กน้อยเท่านั้น หากไม่มองให้ดีก็คงมองไม่ออก…

………….