บทที่ 30 ใครโหดเหี้ยมกว่ากัน? (3) Ink Stone_Romance
หลัวฮองเฮาเหมือนถูกเหยียบซ้ำรอยแผล หัวใจเจ็บแปลบ พลันยกมือขึ้นกดหน้าอกไว้
“เจ้าพูดอะไร?” ความเดือดดาลที่ตีขึ้นมาทำให้นางหายใจไม่ออก ครึ่งร่างพาดอยู่บนโต๊ะ ดวงตาอำมหิตจ้องเขม็งที่ ฉู่สวินหยาง “เรื่องระหว่างข้ากับฝ่าบาทมีที่ให้เด็กอย่างเจ้าสอดปากได้รึ? เจ้า…เจ้ามันอกตัญญู…เจ้ามันเนรคุณ!”
“เป็นผู้อาวุโสก็ควรมีจะท่าทางที่ผู้อาวุโสควรมี?” ฉู่สวินหยางเอ่ยเสียงเย็นเยียบ จ้องตอบแววตาแข็งกระด้างที่ไร้ความปราณีคู่นั้นอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะเบนสายตาหนี “หม่อมฉันจะบอกความจริงอีกอย่างให้ได้ฟังไว้ หม่อมฉันไม่เคยมองพระองค์เป็นผู้อาวุโสเลยสักครั้ง หากว่าพระองค์ไม่คิดระรานกันก็แล้วไปเถิด แต่นี่คิดรังแกกันถึงหน้าประตู…แล้วยังจะหวังให้หม่อมฉันทำคุณทดแทนความแค้นอีกรึ?”
ดวงตาของหลัวฮองเฮาเบิกกว้าง อ้าปากพะงาบๆ แต่ไม่มีเสียงหลุดออกมา
ความโกรธแค้นและเกลียดชังก่อนหน้านี้ ถูกกระแทกแตกกระจุย สลายไปอย่างไร้ร่องรอย
ฉู่สวินหยางถึงขนาดกล้าพูดจาเช่นนี้กับนาง? ไม่เห็นนางอยู่ในสายตาเลยสักนิด?
“เจ้า…เจ้าทำไมถึงกล้า?” หลัวฮองเฮาเอ่ยเสียงเครืออย่างไม่นึกฝัน นางอยากจะกรีดร้อง แต่จนใจที่เรี่ยวแรงหดหาย เสียงที่ออกมาจึงคล้ายเสียงครวญครางที่สิ้นหวัง
ฉู่สวินหยางทำเสียงหยันพลางยิ้มเย็น ไม่หันไปมองนางอีก
สตรีผู้นี้อยู่อย่างมีเกียรติมาชั่วชีวิต เคยแต่เหยียบย่ำผู้อื่นไว้ใต้เท้า ถึงเวลาให้นางได้ลิ้มรสชาติของการเป็นเศษดินให้ผู้อื่นกดขี่ดูบ้างแล้ว
หลัวฮองเฮาถูกกระตุ้นอารมณ์ หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างน่ากลัว เอนตัวอยู่อย่างนั้นพักใหญ่ กัดฟันไม่ยอมส่งเสียง ได้แต่ใช้สายตาอำมหิตทิ่มแทงนางไม่หยุดหย่อน
ฉู่สวินหยางทำเป็นมองไม่เห็น
รถลากเคลื่อนตัวไปอย่างไม่เร็วไม่ช้า ในที่สุดก็หยุดลงที่หน้าวังโซ่วคัง
หนีอันขุยก้าวมาเปิดม่านแล้วส่งมือยื่นให้ “ฮองเฮา ระวังนะพ่ะย่ะค่ะ!”
ตลอดทางที่หลัวฮองเฮานั่งร่วมทางมากับฉู่สวินหยางก็ข่มไฟโทสะเอาไว้เต็มท้อง เวลานี้จึงไม่อยากจะอยู่กับนางต่อแม้แต่เสี้ยววินาที รีบปีนลงรถอย่างว่องไว
ฉู่สวินหยางก็ปีนตามลงมาจากฝั่งด้านหลัง
กลุ่มคนเยื้องย่างผ่านโถงหลัก พอเข้าไปถึงเรือนด้านหลังถึงได้เห็นว่าบ่าวไพร่ทั้งหมดของวังโซ่วคังมารวมตัวอยู่ที่นี่แล้ว ผู้คนต่างยืนมุงอยู่หน้าประตูใหญ่ของเรือนหลังพากันชี้มือชี้ไม้
“มากองอะไรอยู่ตรงนี้? ยังไม่รีบหลีกทางให้ฮองเฮาอีก?” หนีอันขุยตวาดเสียงดุ
“ถวายพระพรฮองเฮา คารวะท่านหญิงเพคะ!” นางกำนัลทั้งขันทีต่างก็หลบไปด้านข้าง แล้วย่อกายทำความเคารพ
หลัวฮองเฮาทำหน้าตึงแล้วสาวเท้าเข้าไปด้านใน ทุกอย่างก็ยังดูปกติดี ทว่าหนีอันขุยกลับดึงชายแขนเสื้อนางด้วยความหวาดผวา ก่อนจะชี้นิ้วไปทางหออุ่นที่อยู่ด้านข้าง
หลัวฮองเฮามองตามไป ก็เห็นภาพร่างคนครึ่งหนึ่งที่นอนแข็งทื่อไม่ขยับเขยื้อนอยู่บนพื้น
นางพลันแน่นหน้าอก เร่งฝีเท้าเดินไปหา พอไปถึงหน้าประตูหออุ่นก็สะดุ้งถอยหลังกลับ เอ่ยอย่างไม่คาดฝันว่า
“นี่…นี่…มันเกิดอะไรขึ้น?”
บนพื้นด้านในหออุ่น มีร่างของแม่นมเหลียงกับไฉ่เยว่นอนแยกกันอยู่คนละทาง ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด เสื้อผ้ามีร่องรอยฉีกขาด ผมเผ้าถูกดึงจนยุ่งเหยิง แก้มและหลังมือมีรอยเล็บลึกตื้นต่างกันไป แต่ที่น่าแปลกที่สุด…
คือผิวหนังของคนทั้งสองล้วนมีจุดสีดำเขียวกระจายอยู่ทั่ว รอยเลือดที่ปากแผลก็เป็นสีดำ
เห็นได้ชัดว่า…
เป็นอาการของคนถูกพิษ
ไฉ่อวิ๋นนางกำนัลอีกคนเดินเข้ามาหา เพราะการตายของคนทั้งสองน่าสยดสยองยิ่งนัก นางจึงพยายามมองหลบไปด้านข้าง พลางเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ก่อนเกิดเรื่องแม่นมเหลียงกับไฉ่เยว่ไม่รู้ทะเลาะกันเรื่องอะไรอยู่ตรงนี้ ซ้ำยังลงไม้ลงมือ บ่าวพยายามห้ามแล้วก็ไม่ฟัง ถึงวิ่งออกไปขอความช่วยเหลือ สุดท้ายตอนที่กลับมาก็พบว่า…”
ไฉ่อวิ๋นเล่าพลางทำหน้าหวาดกลัว แล้วไม่พูดต่ออีก ส่วนเนื้อหาที่แม่นมเหลียงกับไฉ่เยว่โต้เถียงกันนั้น นางไม่สะดวกจะเล่า…
เหตุเพราะแม่นมเหลียงเจอหลักฐานว่าหลัวอวี่ก่วนซื้อตัวไฉ่เยว่ให้คอยใส่ไฟเบื้องพระพักตร์ไทเฮาเหลียง นางอาศัยตำแหน่งของตนตำหนิไฉ่เยว่ ทั้งยังขู่ว่าจะรายงานเรื่องนี้ให้หลัวฮองเฮาทราบ ไฉ่เยวี่ยร้อนใจ สองคนถึงได้ลงไม้ลงมือ
เดิมทีก็เป็นเรื่องระหว่างสตรีสองคนตีกันด้วยมือเปล่า แต่ใครจะคาดคิดว่าท้ายที่สุดต้องจบลงด้วยชีวิต ซ้ำยังเป็นชีวิตของทั้งสองฝ่ายอีกด้วย
“ดูท่าแล้ว คงจะถูกพิษ” หลี่รุ่ยเสียงเอ่ย ยกมือเรียกขันทีน้อยที่ติดตามมาอยู่ทางด้านหลัง สั่งว่า “ไปดูสิ!”
“ขอรับ!” ขันทีน้อยผู้นั้นรับคำแล้วพุ่งตัวไปทางหออุ่น
ฉู่สวินหยางตาไว สายตากวาดมองทีหนึ่งก็เห็นขวดกระเบื้องใบเล็กที่กลิ้งหล่นอยู่ด้านข้าง
ขวดใบนั้นแตกละเอียด ของเหลวด้านในหกออกมาบางส่วน แต่ถูกลมพัดจนแห้ง เหลือเพียงคราบบางๆ ทิ้งไว้บนพื้น และบนเศษขวดชิ้นที่ใหญ่ที่สุดยังพอมีของเหลวนอนก้นอยู่
ฉู่สวินหยางหันไปมองการตายของคนทั้งสองอีกครั้ง ก่อนจะสูดหายใจเย็นเยียบเข้าปอด ยื่นมือออกไปดึงขันทีน้อยไว้ ตวาดเสียงเย็นว่า “ไม่ต้องเข้าไป ทุกคนถอยออกไปให้หมด!”
ผู้คนล้วนถูกเสียงตะคอกของนางทำให้สับสนมึนงง
ฉู่สวินหยางไม่อธิบายความ เพียงหันไปกล่าวกับหลี่รุ่ยเสียงว่า “หัวหน้าหลี่ รบกวนเจ้าให้คนไปตามหมอหลวงมาที อีกอย่าง…เสด็จปู่ทางนั้นก็ให้ใครไปเชิญมาด้วยเถิด”
หลี่รุ่ยเสียงขมวดคิ้วเล็กน้อย คล้ายลังเลหลายส่วน
ทว่าหลัวฮองเฮากลับพิโรธหนัก ร้องเสียงลั่นด้วยสีหน้าเดือดดาลว่า “ที่นี่คือวังโซ่วคัง ก็แค่สาวใช้สองคนตายไปเท่านั้น เรื่องภายในตำหนักข้า ไม่ต้องให้เจ้ามาวุ่นวาย…”
“เสด็จย่าจะร้อนตัวไปไยเล่าเพคะ?” ฉู่สวินหยางเลิกคิ้ว ตัดบทนางอย่างเยือกเย็น
หลัวฮองเฮาชะงัก รีบตอบว่า “ร้อนตัวอะไรกัน?”
นางคิดจะออกฤทธิ์เดชอีกสักครั้ง ฉู่สวินหยางกลับเลื่อนสายตาหนี เอ่ยเสียงแข็งกับหลี่รุ่ยเสียงว่า “รบกวนขันทีหลี่ช่วยเรียกหมอหลวงมาด้วย จากนั้น…ข้าต้องการให้เสด็จปู่มาเป็นพยาน เพราะว่า…”
นางพูดไป สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชา ดวงตาสวยที่อัดแน่นด้วยความดุดันเคลื่อนไปมองสองศพที่อยู่ในหออุ่น กล่าวว่า “ข้าสงสัยว่าคนที่วางยาพิษท่านแม่ต้องอยู่ในที่แห่งนี้แน่”
หลัวฮองเฮาสะท้านเฮือก เท้าซวนเซไปด้านหลัง ดวงหน้าเขียวคล้ำ “เจ้าพูดจาเหลวไหล?”
“หม่อมฉันเหลวไหลหรือไม่ ให้หมอหลวงมาตรวจดูก็รู้แล้วเพคะ!” ฉู่สวินหยางตอกกลับไปอย่างดุเดือด
นางประกาศอย่างชัดเจนแล้ว หลี่รุ่นเสียงแม้อยากจะปิดเรื่องเงียบแต่ก็ทำไม่ได้ ลังเลอยู่สักพักก็ส่งสายตาให้กับขันทีน้อยที่ติดตามมาด้วย
ขันทีสองคนวิ่งแยกย้ายกันออกไป
หลัวฮองเฮาเดือดดาลจนระงับอารมณ์โทสะไม่ไหว สะบัดมือของหนีอันขุนออก แล้ววิ่งไปเบื้องหน้าฉู่สวินหยาง ร้องเสียงแหลมว่า “เจ้าคิดจะทำอะไรอีก? มาพูดจาเหลวไหลไร้สาระที่ตำหนักข้าทำไม? เรื่องของคนแซ่ฟางไม่เกี่ยวกับข้าสักหน่อย เจ้า…”
วินาทีนี้นางยิ่งเชื่อสุดใจว่าเด็กคนนี้คือคนวางอุบายใส่ร้ายนาง
ฉู่สวินหยางเบนสายตาไร้อารมณ์ไปมอง คร้านจะต่อปากต่อคำอีก
หลัวฮองเฮาข่มไฟโทสะไว้เต็มท้อง ตอนที่อีกฝ่ายไม่คิดจะแยแสนางนั้น นางเพิ่งค้นพบว่าตำแหน่งฮองเฮาของตนนั้นช่างไร้ประโยชน์ ไร้ซึ่งอำนาจสิ้นดี
“ฮองเฮา นั่งพักก่อนเถอะเพคะ!” ไฉ่อวิ๋นเดินเข้ามาเอ่ยเสียงเบา ประคองนางไปนั่งที่เก้าอี้ด้านนอก
ตำหนักบรรทมของฮ่องเต้ห่างจากที่นี่ไม่มากนัก ผ่านไปไม่นานฮ่องเต้ก็เสด็จมาถึง ดวงพักตร์ทะมึนตึงข้ามผ่านประตูเข้ามา
————————————-