ต่อให้อันหลินจะโอดครวญอย่างไร ในฐานะที่เป็นกัปตันในภารกิจของสรวงสวรรค์ ปัญหาของถังซีเหมิน เขาก็ต้องรับแทนอยู่ดี

“เฮ้อ…เวรกรรมแท้ๆ”

อันหลินส่ายหน้าถอนหายใจ ขี่ต้าไป๋ออกจากมณฑลอวี้มุ่งหน้าสู่มณฑลส่าน

ในศูนย์กักกันของหน่วยรบพิเศษแห่งหนึ่งของมณฑลส่าน เขาเจอตัวปัญหาที่ประกระบี่เขาหัวซานทั้งสองคน

แขนเสื้อของถังซีเหมินขาดรุ่งริ่ง ท่อนแขนและหน้าอกที่กำยำมีบาดแผลเป็นทาง

อู๋เฟิง ประมุขพรรคเขาหัวซานมีรอยแผลที่น่องและท่อนแขน เสื้อผ้าขาดกะรุ่งกะริ่ง หากเดินตามท้องถนนก็เป็นขอทานมืออาชีพดีๆ นี่เอง

ตามที่เจ้าหน้าที่คำนวณ วัฒนธรรมทางวัตถุและมรดกทางธรรมชาติที่ได้รับความเสียหายในการประกระบี่ครั้งนี้รวมทั้งสิ้นห้าหมื่นหินวิญญาณ ทั้งคู่ต้องรับผิดชอบร่วมกัน จึงต้องชดใช้คนละสองหมื่นห้าพันหินวิญญาณ

ถังซีเหมินไม่ได้พกเงินมากมายปานนั้น ในแหวนมิติมีเพียงสองหมื่นหินวิญญาณ อันหลินจึงต้องจ่ายเพิ่มห้าพันหินวิญญาณ จากนั้นพวกเขายังต้องถูกอบรมต่างๆ นานาอีกด้วย

ผู้ที่ทำหน้าที่อบรมทางความคิดอันแสนขมขื่นนี้ เป็นคนในหน่วยรบพิเศษของประเทศ

ไม่ใช่แค่ถังซีเหมินกับอู๋เฟิงที่ต้องฟัง แม้แต่อันหลินก็พลอยถูกอบรมไปด้วย

หลังวุ่นวายอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็ประกันตัวถังซีเหมินออกมาได้

ส่วนอู๋เฟิงน่ะเหรอ เขาไม่มีเงินมากขนาดนั้น ทำได้แค่นั่งสำนึกผิดที่ศูนย์กักกัน

เหล่าผู้อาวุโสในลัทธิเขาหัวซานโมโหไม่น้อยเลย ตัดสินใจจะให้ประมุขพรรคสำนึกผิดที่ศูนย์กักกันสักระยะหนึ่ง ค่อยเจรจาเรื่องประกันตัว

เวลาล่วงเลยมาถึงเย็นย่ำโดยไม่รู้ตัว

ชั่ววินาทีที่อันหลินออกจากศูนย์กักกัน ได้เห็นแสงอาทิตย์อีกครั้ง น้ำตาก็อาบหน้า ราวกับได้เกิดใหม่ อดป่าวกางแขนตะโกนก้องไม่ได้ว่า

“กัปตันบัดซบอะไรกัน!”

ถังซีเหมิน “…”

วันนี้อันหลินใช้ชีวิตได้หลากหลายยิ่งนัก ถูกหวงซานซานต่อว่าสามครั้ง เข้าศูนย์กักกันสองครั้ง ถูกอบรมอย่างละเอียดลึกซึ้งหนึ่งครั้ง เดินไปข้ามครึ่งประเทศจีน…

อืม หนึ่งวันที่เต็มอิ่มขนาดนี้ มันช่างซาบซึ้งใจจริงๆ!

“กัปตันอันหลิน เรื่องในวันนี้ข้าต้องขอโทษจริงๆ” ถังซีเมินโค้งตัวแสดงความขอโทษ

แม้เสื้อผ้าจะขาดรุ่งริ่งสิ้นดี แต่ยังเปี่ยมด้วยกิริยามารยาท ประหนึ่งคุณชายผู้งามสง่าในยุคโบราณ

อันหลินโบกมือปัดๆ “เป็นสิ่งที่ข้าควรทำ เพียงแต่ข้าสงสัยนิดหน่อยว่า ทำไมศิษย์พี่ไปเยี่ยมเพื่อนถึงได้กลายเป็นทะเลาะวิวาทเช่นนี้ล่ะ”

ถังซีเหมินขำอย่างกระอักกระอ่วน “ตอนแรกข้าอยากแลกเปลี่ยนประสบการณ์การบำเพ็ญเพียรกับสหายอู๋เฟิง ประลองกันง่ายๆ อืม…ตอนหลังสู้จนเกิดโทสะ หยุดไม่ลงแล้ว…”

อันหลินชะงักไปครู่หนึ่งแล้วนวดหว่างคิ้ว ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี

คุณชายที่ดูสง่าผ่าเผยอย่างถังซีเหมินเมื่อสู้แล้วจะหยุดไม่ลง มันชวนให้อิดหนาระอาใจ เสียดายที่ก่อนหน้านี้อันหลินคิดว่าศิษย์พี่คนนี้น่าเชื่อถือ หมดความกังวลใจ ท่าทางเขาจะตัดสินคนที่รูปลักษณ์เสียแล้ว

หลังถังซีเหมินคุยสัพเพเหระกับอันหลินครู่หนึ่ง ก็ขอตัวไปหาเพื่อนเก่าอีกคนของเขา

ทำเอาอันหลินตกใจจนต้องรีบกำชับศิษย์พี่ หวังว่าเขาจะยอมเป็นชายรูปหล่อคนหนึ่ง สืบสานวัฒนธรรมอันดีงามของสัตบุรุษตกลงกันด้วยวาจาหาใช่กำลังต่อไป

เมื่อเห็นศิษย์พี่จากไปแล้ว ในใจอันหลินยังคงวิตกกังวล ไม่รู้ว่าศิษย์พี่จะจำคำพูดของเขาได้ไหม

เถียนหลิงหลิงนั่งเล่นมือถือบนหลังต้าไป๋ น่องขาวสม่ำเสมอแกว่งไกวแผ่วเบาภายใต้แสงอาทิตย์ยามสายัณห์ แลดูผ่อนคลายสบายอกสบายใจ

“นักพรตจอมปลอม พี่ตงฟางได้ยินว่านายกลับมาแล้ว เลยถามนายว่าจะไปกินข้าวที่บ้านเธอไหม” นิ้วของเธอไถมือถือ จู่ๆ ก็โพล่งขึ้นมา

เมื่ออันหลินได้ยินคำพูดของเถียนหลิงหลิงก็สะดุ้งทันที ความสุขของแฟนคลับตัวยงแผ่ซ่านไปทั่วทั้งใจในพริบตา

จวบจนวันนี้ เสียงร้องอันไพเราะน่าฟังของตงฟางเสวี่ยยังคงวนเวียนอยู่ในโสตประสาทไม่เสื่อมคลาย

นี่คงจะเป็นในเรื่องร้ายๆ ย่อมมีเรื่องดีๆ ที่ว่ากันละมั้ง ไอดอลเชิญเราไปเป็นแขกที่บ้านเธอ หึหึ…

“ดูจากสีหน้านายแล้ว ตกลงสินะ”

เถียนหลิงหลิงเห็นอันหลินยิ้มเผล่อยู่ตรงนั้น ก็กลอกตาพูดอย่างไม่สบอารณ์อย่างอดไม่ได้

“ต้องตกลงอยู่แล้วสิ! ยากจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของเซียนหญิงจิ้งซินได้ ฉันต้องไปสิ” อันหลินตื่นจากภวังค์ พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

เถียนหลิงหลิงเบะปาก ไม่พูดอะไรอีก ขี่ต้าไป๋เหาะไปยังบ้านของตงฟางเสวี่ยกับอันหลิน

อันหลินดาวน์โหลดเพลงใหม่ที่ปล่อยออกมาในสองปีนี้ของตงฟางเสวี่ยลงมือถือหมดแล้ว ไล่ฟังทีละเพลงมาตลอดทาง ทุกเพลงล้วนแต่ไพเราะจับใจ เรียกได้ว่าฟังด้วยความลุ่มหลงมัวเมา

บ้านของตงฟางเสวี่ยเป็นคฤหาสน์วิวแม่น้ำ ทิวทัศน์ค่อนข้างน่าชม มองเห็นตึกสูงตั้งตระหง่าน แสงไฟสาดส่องอีกฟากของริมแม่น้ำผ่านช่องหน้าต่าง

ความศิวิไลซ์ของเมืองและความเงียบสงบของสวนหย่อมผสานกัน ให้ความรู้สึกเหมือนห่างไกลความอึกทึก และได้เห็นความคึกคัก

อันหลินกับเถียนหลิงหลิงขี่สุนัขเหาะมา ตงฟางเสวี่ยสวมเดรสยาวสีชายืนต้อนรับหน้าประตู

เธอมีเรือนร่างเพรียวระหง ผิวขาวดุจหิมะ นัยน์เนตรหยาดเยิ้มชวนฝันกำลังทอดมองชายหนุ่มบนเวหา ใบหน้ามีรอยยิ้มบางๆ ประดับอยู่

“สหายอันหลิน ไม่พบกันนานเลย” ตงฟางเสวี่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม

“เซียนหญิงจิ้งซิน ได้กินอาหารที่คุณทำ นับว่าเป็นเกียรติกับผมจริงๆ รสชาตินั่นผมคิดถึงตั้งสองปีเชียวนะ” อันหลินกระโดดลงจากต้าไป๋ ทักทายอย่างเบิกบานใจ

ตงฟางเสวี่ยป้องปากขำ “อาหารมื้อเดียวคิดถึงตั้งสองปีเชียวเหรอ อย่างอื่นไม่ว่า แต่สองปีนี้ฝีปากนายก้าวหน้าขึ้นเยอะเลยนะ”

“พี่ตงฟาง แค่ฝีปากน่ะไม่เท่าไร ความหน้าด้านของนักพรตจอมปลอมต่างหากที่สุดยอดของจริง” เถียนหลิงหลิงวิ่งเข้าไปคล้องแขนตงฟางเสวี่ยแล้วพูดยิ้มๆ

“ผมพูดความจริงนะ ท่องร้านอาหารเลิศรสในแดนจิ่วโจวตั้งมากมาย ก็ถือว่ามีประสบการณ์โชกโชนแล้ว ฝีมือการทำอาหารของคุณเป็นที่หนึ่งเหนือกุ๊กเซียนเหล่านั้น” อันหลินไม่สนใจการก่อกวนของเถียนหลิงหลิง พูดอย่างจริงจังตั้งใจ

กุ๊กเซียนเป็นอาชีพที่นิยมในแดนจิ่วโจวอย่างยิ่ง แต่ละคนต่างก็เป็นเศรษฐีที่สร้างรายได้ด้วยฝีมือ แต่ฝีมือของตงฟางเสวี่ย จากคนที่ชิมอาหารรสโอชาไปทั่วอย่างอันหลิน เธอเป็นที่หนึ่งจริงๆ

เพียงแต่ว่าวัตถุดิบชั้นสูงในโลกมีค่อนข้างน้อย น้อยนักที่จะมีนักพรตค้นพบมูลค่าของมัน หากไปแดนจิ่วโจว ตงฟางเสวี่ยคงหาเงินได้เป็นกอบเป็นกำแน่

อืม ตงฟางเสวี่ยเป็นแม่ครัวที่ถูกการร้องเพลงตัดอนาคต

ตงฟางเสวี่ยเห็นท่าทางเอาจริงเอาจังของอันหลินก็อดหัวเราะไม่ได้

ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่ แต่ถูกคนชมแบบนี้ ในใจเธอก็รู้สึกดีใจอยู่เหมือนกัน ชักชวนเถียนหลิงหลิงกับอันหลิงเข้าบ้าน โดยมีสุนัขตัวใหญ่ที่มีดวงตากลมกลึงตัวหนึ่งตามหลังมา

กลิ่นหอมกรุ่นของอาหารอบอวลทั่วห้อง ทำเอาอันหลินท้องร้องจ๊อกๆ ต้าไป๋ถึงกับน้ำลายไหล ท่าทางเหมือนหมาป่าหิวโซ

อาหารหลากหลายชนิดเต็มโต๊ะ แค่ภาพลักษณ์ของอาหารก็ทำให้ความอยากอาหารเพิ่มทวีแล้ว บางเมนูยังแผ่คลื่นพลังงานเบาบางอีกด้วย ดูแล้วน่าจะใช้วัตถุดิบที่เลอค่าไม่น้อยเลย

มองออกว่าตงฟางเสวี่ยทุ่มเทแรงใจกับอาหารมื้อนี้มากทีเดียว เมื่อคิดได้ดังนั้น อันหลินก็ล้วงยาสีเขียวเม็ดหนึ่งออกมายื่นให้เธอ

“สหายอันหลิน นี่นาย…” ตงฟางเสวี่ยพูดอย่างแปลกใจ

“ไม่พบกันนาน ย่อมต้องมอบของขวัญให้เพื่อนเก่ากันหน่อย นี่เป็นยาชิงเสิ่นคงความอ่อนเยาว์ มีสรรพคุณช่วยให้ขาวกระจ่างใสและคืนความเปล่งปลั่งให้ผิว หวังว่าคุณจะรับมันไว้” อันหลินพูดอย่างจริงใจ

“โธ่ ได้ยังไงกัน ไม่ต้องเกรงใจกันขนาดนี้หรอก!”

“ยาเม็ดนี้คุณต้องรับไว้ เป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่กันแล้ว อย่าปฏิเสธเลย!”

ด้วยเหตุนี้ ตงฟางเสวี่ยจึง ‘จำใจ’ รับยาเม็ดนี้ไว้ ใบหน้ามีรอยยิ้มบางๆ เห็นได้ชัดว่าพอใจกับยาเม็ดนี้อย่างยิ่ง

เถียนหลิงหลิงมองดูพร้อมกับมุมปากที่กระตุกยิกๆ แน่นอนว่าเธอนึกถึงเหตุการณ์ของพี่ซานซาน

ยาชนิดเดียวกันเปี๊ยบ คำพูดที่เหมือนกันเปี๊ยบ…

หน้าอันหลินด้านกว่านี้ได้อีกหรือเปล่า!

สามคนหนึ่งสุนัขจึงทานข้าวกันอย่างสบายอุราท่ามกลางบรรยากาศที่สุขสงบ