จิ๋งจิ่วคิดถึงเรื่องก่อนหน้านี้
ฟางจิ่งเทียนเป็นเจ้าแห่งยอดเขาซีไหลของชิงซาน ตามหลักแล้วย่อมสมควรเป็นห่วงเขา แต่การที่ถามถึงสภาวะของเขาต่อหน้าคนมากมายขนาดนั้น นี่มันหมายความว่าอย่างไร?
บนโลกมีเรื่องราวมากมาย ดูคล้ายยากเข้าใจ แต่ความจริงแล้วล้วนแต่สามารถคำนวณออกมาได้ อย่างน้อยที่สุดก็พอจะประมาณได้ เพียงแต่การทำแบบนั้นมันจะเหนื่อยมาก
จิ๋งจิ่วไม่คิดว่านี่จะเป็นเรื่องใหญ่ จึงไม่ยอมเปลืองแรงไปนั่งคิด ขณะเตรียมจะไม่คิดถึงเรื่องนี้ เขาพลันมองไปที่ใบหน้าของกู้ชิง ก่อนจะคิดถึงคำพูดที่พูดกับเจ้าล่าเยวี่ยเมื่อในอดีตขึ้นมา
เขาให้เด็กหนุ่มแซ่หยวนเข้าไปรอในห้อง จากนั้นเล่าเรื่องนี้ให้กู้ชิงฟังตั้งแต่ต้นจนจบรอบหนึ่ง
กู้ชิงเพิ่งจะรู้เป็นครั้งแรกว่าฟางจิ่งเทียนเคยพยายามสังหารจิ๋งจิ่วถึงสองครั้ง สีหน้าตกตะลึงจนกลายเป็นสีขาว พลางกล่าวว่า “ท่านได้แจ้งเจ้าสำนักหรือไม่ขอรับ?”
ฟางจิ่งเทียนเป็นเจ้าแห่งยอดเขาซีไหล สถานะภายในสำนักชิงซานสูงส่ง มีเพียงเจ้าสำนักและกฎแห่งกระบี่หยวนฉีจิงเท่านั้นถึงจะลงโทษเขาได้
จิ๋งจิ่วกล่าว “ไม่มีหลักฐาน กระทั่งลั่วไหวหนานเขาก็ไม่มีทางฆ่า นับประสาอะไรกับศิษย์ตัวเอง”
กู้ชิงครุ่นคิดในใจ แล้วท่านมาบอกข้าเรื่องพวกนี้ เพราะอยากจะให้ข้าทำอะไร?
จิ๋งจิ่วกล่าว “เรียบเรียงเรื่องราวเหล่านี้ จากนั้นคาดการณ์ออกมาว่าเขาอาจจะทำอะไร พวกเราควรจะตอบโต้อย่างไร”
ครั้นกล่าวจบ เขาก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้อง เด็กหนุ่มแซ่หยวนยังรออยู่ด้านใน
กู้ชิงรู้ว่าเขามีเรื่องจะคุยกับเด็กหนุ่มแซ่หยวน จึงมิได้ใส่ใจอะไร เพียงแต่เมื่อคิดถึงภารกิจที่อาจารย์มอบหมายให้กับตน จึงอดรู้สึกปวดหัวขึ้นมาไม่ได้
……
……
เด็กหนุ่มแซ่หยวนจากไปแล้ว
จิ๋งจิ่วเดินมาริมหน้าต่าง ทอดมองออกไปด้านนอกสวน
เขามองไปทางเมืองไป๋เฉิง ดูวัดแห่งนั้น
เขามองไปทางทิศใต้ ไม่รู้ว่าศิษย์พี่อยู่ที่ใด
……
……
เมืองจวี้เยว่
หมอกอันหนาวเย็นทางเหนือค่อยๆ กระจายตัว เมืองที่แต่เดิมคึกคักอย่างมากเมืองนี้กลับมามีชีวิตชีวามากขึ้นกว่าเดิม ร้านอาหารเหลาสุราต่างๆ คลาคล่ำไปด้วยลูกค้า ทุกที่ล้วนแต่เต็มไปด้วยควันที่ลอยออกมาจากการลวกเนื้อ
ภายในห้องส่วนตัวของเหลาสุราแห่งหนึ่ง บนโต๊ะมีหม้อไฟตั้งอยู่ ภายในหม้อมีน้ำแกงสีแดงและสีขาวกำลังเดือดปุดๆ อาหารที่ลวกอยู่ในน้ำแกงมีอยู่เจ็ดแปดอย่าง
ชายชราเตี้ยผอมขยี้จมูกตัวเอง รู้สึกเกิดความเบื่อหน่าย กล่าวว่า “กินเยอะๆ ไม่เบื่อหรือไง?”
ชายหนุ่มกล่าว “ใส่วัตถุดิบที่ไม่เหมือนกัน รสชาติก็ไม่เหมือนกัน บนโลกมีวัตถุดิบนับพันนับหมื่น รสชาติร้อยแปดพันเก้า แล้วจะเบื่อได้อย่างไร?”
ชายชราเตี้ยผอมคีบผักปวยเล้งขึ้นมาจากในน้ำแกงสีขาว กินลงไปพร้อมกับน้ำจิ้มงาและเต้าหู้ที่อยู่ในถ้วย พบว่ารสชาติไม่เลว
ไม่รู้ว่าอาหารร้อนเกินไปหรือว่าเมื่อครู่ขยี้แรงเกินไป จมูกของเขาแปรเปลี่ยนเป็นแดงขึ้น กล่าววาจาเสียงอู้อี้ไม่ชัดเจน “หลังจากนี้เจ้าจะทำอะไร?”
ชายหนุ่มกล่าว “ข้าว่าจะไปดูเด็กที่ชื่อเสี่ยวหมิงนั่นหน่อย”
ชายชราเตี้ยผอมสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย กล่าวว่า “เจ้าคิดจะให้เขามาแย่งรากฐานที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของข้าจริงๆ อย่างนั้นหรือ?”
ชานหนุ่มกล่าว “เด็กที่อยู่ในสำนักเสวียนอินตอนนี้ชื่อซูจึเย่? ข้าชอบชื่อนี้ทีเดียว ไม่มีทางเข้าข้างใครแน่นอน ใครชนะก็ให้เป็นผู้สืบทอดของเจ้า ดีหรือเปล่า?”
ชายชราเตี้ยผอมแค่นหัวเราะ กล่าวว่า “เจ้าคิดว่าแผนชั่วของตัวเองมันยอดเยี่ยมมากใช่หรือเปล่า เลยตั้งชื่อให้ตัวเองว่าอินซาน?”
ชายหนุ่มเองก็มิได้รู้สึกโกรธ เขากล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าเป็นปรมาจารย์รุ่นสามของสำนักเสวียนอิน ความจริงใช้ชื่อนี้ก็เหมาะมากเหมือนกัน ถ้าไงข้าให้เจ้าใช้ดีไหม?”
ชายชราเตี้ยผอมกลุ้มใจ กล่าวค่อนแคะว่า “เจ้าหนุ่มที่ชื่อจิ๋งจิ่วนั่นยังมีชีวิตอยู่ เจ้าคงผิดหวังมากสินะ?”
ชายหนุุ่มมิได้สนใจเขา ก่อนจะคีบเอาสมองหมูจากในน้ำแกงสีแดงขึ้นมาอย่างระมัดระวัง จากนั้นวางลงในชามที่เต็มไปด้วยต้นหอมซอยน้ำมันงาและกระเทียมสับ
ชายชราเตี้ยผอมเกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย กล่าวว่า “แล้วสมองหมูก็ไม่อร่อยเท่าสมองคนด้วย”
ชายหนุ่มคิดในใจว่าตนเองนั่นช่างโง่จริงๆ ตอนนั้นทำไมถึงมองไม่ออกนะว่าจิ๋งจิ่วมิใช่เขา?
……
……
วันที่สอง ศิษย์ของสำนักต่างๆ ที่เข้าร่วมการประลองวิถีพรตต่างแยกย้ายกันกลับไปยังสำนักของตัวเอง
ช่วงเวลารุ่งเช้า ไป๋เจ่ามายังเรือนพำนักของสำนักชิงซาน
ไม่ว่าจะเป็นผู้ดูแลที่ทำความสะอาดสวนอยู่ คนงานรับจ้าง หรือว่าศิษย์ชิงซานที่กำลังฝึกกระบี่ ทุกคนต่างเปิดทางให้นางอย่างรู้งาน
เด็กหนุ่มแซ่หยวนลังเลเล็กน้อย คิดในใจว่าตัวเองควรทำอะไรเสียหน่อยหรือไม่
กู้ชิงลากเขาออกไป ครุ่นคิดในใจว่าเรื่องของผู้ใหญ่ ไหนเลยต้องให้พวกเรามาเป็นกังวล
แต่แน่นอนว่าหากเจ้าจะแอบทำอะไรนิดหน่อยข้าก็มิได้ว่าอะไร แต่เวลานี้ฟ้าสว่างขนาดนี้ เจ้าไม่เห็นหรืออย่างไร?
อีกฝั่งของกำแพงสวนเหมือนมีเสียงดังลอดออกมา
เด็กหนุ่มแซ่หยวนเอาหูแนบไป เพียงแค่ได้ยินการเรียกขานก็รู้สึกร้อนใจแล้ว เขากล่าวว่า “นางควรจะเรียกอาจารย์อาจิ๋ง แต่กลับเรียกศิษย์พี่จิ๋ง นี่มันหมายความว่าอย่างไร?”
……
……
“เดิมทีข้าควรจะดีใจ”
ไป๋เจ่ากล่าวเสียงเบาๆ “ข้ามีชีวิตรอดกลับมา ยิ่งไปกว่านั้นเหมือนแค่หลับไปตื่นหนึ่งก็สามารถฟื้นฟูจินตันที่แตกให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ เผลอๆ อีกเพียงไม่กี่ปี ข้าอาจจะเลี้ยงมันจนกลายเป็นจิตทารก แต่เพราะเหตุใดข้าจึงไม่ค่อยมีความสุขเลย?”
จิ๋งจิ่วไม่เข้าใจจริงๆ จึงกล่าวถามว่า “เพราะเหตุใด?”
“ข้าคิดไม่ถึงว่าในตอนที่ตื่นขึ้นมาจากการเข้าสมาธิ หมอกจะสลายไปแล้ว”
ไป๋เจ่ากล่าว “หากข้าตื่นขึ้นมาเร็วกว่านี้สักหนึ่งปี ไม่สิ ต่อให้ตื่นขึ้นมาเร็วกว่านั้นไม่กี่สิบวัน เช่นนั้นมันคงจะดีไม่น้อย”
จิ๋งจิ่วยังคงไม่เข้าใจ กล่าวถามว่า “หมายความว่าอย่างไร?”
ไป๋เจ่ากล่าวเสียงเบาๆ “ทุกอย่างคล้ายหยุดอยู่ในเวลาเมื่อหกปีก่อน หากข้าสามารถตื่นขึ้นมาล่วงหน้าวันนึง ข้าก็จะได้รู้จักเจ้าเยอะขึ้นอีกหน่อย แบบนั้นมันคงจะดีไม่น้อย”
ไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดอะไรที่เลิศเลอ ก็เผยความในออกมาจนหมด
จิ๋งจิ่วเข้าใจแล้ว ในใจครุ่นคิดว่าเรื่องนี้มันค่อนข้างยุ่งยาก จึงกล่าวว่า “หนทางสู่สวรรค์นั้นยาวไกล หากมีวาสนา ยังไงก็ต้องได้พบกันอีก”
นี่คือการปฏิเสธ หรือพูดอีกอย่างคือหลบหลีก ยิ่งไปกว่านั้นสำหรับคนฉลาดอย่างพวกเขาแล้ว นี่มิใช่การอ้อมค้อม
ไป๋เจ่ามองเขาอย่างตกตะลึง
หมอกอันหนาวเย็นถอยไปแล้ว ทุ่งกว้างที่อยู่นอกเมืองไป๋เฉิงมิได้หนาวเย็นเหมือนเมื่อปลายปีก่อนอีก แต่ความจริงลมที่พัดมายังคงหนาวเย็นอยู่
เส้นผมที่อยู่ข้างหูนางพลิ้วไหว คล้ายดอกไม้สีขาวที่สั่วไหวอยู่ท่ามกลางสายลม ดูบอบบางยิ่งนัก
ในขณะที่จิ๋งจิ่วเตรียมจะพูดอะไร นางยื่นมือรวบเส้นผมไปทัดไว้ด้านหลังหู ก่อนกล่าวเสียงเบาๆ ว่า “ใช่ อีกไม่นานพวกเราก็จะได้พบกันอีก”
จิ๋งจิ่วครุ่นคิดในใจ นี่มันหมายความว่าอะไรอีก?
“ศิษย์พี่ลั่วตายแล้ว แต่ความจริงของเรื่องนี้ข้าจะต้องบอกท่านพ่อท่านแม่อย่างแน่นอน”
ไป๋เจ่าเปลี่ยนประเด็นอย่างเป็นธรรมชาติ
จิ๋งจิ่วกล่าว “แน่นอน”
ไป๋เจ่าคิดถึงเรื่องเรื่องหนึ่ง ยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “ดูเหมือนความสัมพันธ์ของเจ้ากับหลิ่สือซุ่ยจะดีจริงๆ ด้วย ไม่เหมือนกับในข่าวลือเลย”
จิ๋งจิ่วคิดในใจ ความสัมพันธ์ของเจ้ากับถงเหยียนก็ดีเช่นกัน เพียงแต่เจ้าไม่รู้ความจริงทั้งหมดของเรื่องนี้ จึงไม่สะดวกจะบอกเจ้า
ประตูหน้าถูกเคาะดังขึ้น เสียงของกู้ชิงดังขึ้นจากด้านนอก “อาจารย์ ถงหลูจากสำนักกระบี่ซีไห่ขอเข้าพบขอรับ”
……
……
ถงหลูจ้องมองดวงตาของจิ๋งจิ่วพลางกล่าว “ข้าจะสู้กับเจ้า เอาไว้เจ้ากลับไปชิงซานพักผ่อนเรียบร้อยแล้ว ให้ส่งจดหมายกระบี่มาหาข้า”
จิ๋งจิ่วกล่าว “เพราะเหตุใด?”
ถงหลูกล่าว “เพราะหลิ่วสือซุ่ยฆ่าลั่วไหวหนาน”
กล่าวจบประโยคนี้ เขาก็มองดูไป๋เจ่า ในสายตาเต็มไปด้วยความผิดหวัง มิได้กล่าวกระไร สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินออกไป
จิ๋งจิ่วกล่าว “เขารู้แล้ว”
“ถูกต้อง ไม่อย่างนั้นเขาน่าจะขอบคุณพวกเราที่ทำให้ศิษย์พี่ใหญ่ได้มีชีวิตอยู่ต่ออีกสามปี”
ไป๋เจ่าชาญฉลาด ย่อมต้องรู้ว่าที่เขาพูดมันหมายถึงเรื่องใด “ข้าเพียงแต่ไม่เข้าใจ ในเมื่อเขารู้แล้วว่าเรื่องที่ศิษย์พี่ใหญ่เล่ามิใช่เรื่องจริง เหตุใดเขายังรู้สึกโกรธเช่นนี้อยู่”
จิ๋งจิ่วกล่าว “เพราะในเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง ลั่วไหวหนานทำผิดต่อพวกเรา แต่กลับมิได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขา เพราะสุดท้ายแล้วชีวิตเขาก็เป็นลั่วไหวหนานที่ช่วยเหลือเอาไว้”
ไป๋เจ่ากล่าว “เหตุใดศิษย์พี่ใหญ่จึงบอกความจริงกับเขา?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ความจริงใจ?”
“ถ้าเป็นเมื่อก่อนข้าก็คงจะคิดเช่นนี้ แต่ตอนนี้ข้าไม่รู้แล้วว่าแท้ที่จริงศิษย์พี่ใหญ่เป็นคนแบบไหนกันแน่”
ครั้นกล่าวจบ ไป๋เจ่าก็นิ่งเงียบไป
สายลมยามเช้าพัดปอยผมข้างหูของนางจนยุ่งเหยิงอีกครั้ง
จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน”
เขาเคยเจอลั่วไหวหนานเพียงครั้งเดียว
โดยมีพายุหิมะคั่นกลางเอาไว้ ห่างกันหลายร้อยจ้าง
……
……
“อาจารย์อากลับมาแล้ว!”
“อาจารย์อาคนไหน?”
“อาจารย์อาเล็ก!”
“อาจารย์อาจิ๋งจิ่ว?”
“ใช่!”
ภายใต้แสงอาทิตย์ยามเที่ยง ธารสี่เจี้ยนถูกส่องจนเป็นสีขาว มิคล้ายแส้สีทองอีก หากแต่คล้ายเข็มขัดหยก
ภายในหอที่อยู่ริมธาร มีเสียงอุทานตกใจดังขึ้นมา
ศิษย์ขั้นล้างกระบี่สิบกว่าคนไม่สามารถนั่งเฉยได้อีก ต่างมาออกันอยู่ริมหน้าต่าง มองดูเรือกระบี่ที่ค่อยๆ บินลงมาจากบนท้องฟ้า
…………………………..