ตอนที่ 4 ใครกันแน่ที่เป็นปีศาจ

เกิดใหม่เป็นสาวน้อยชนบท [特工狂妃:农妇山权有点田

บทที่ 4 ใครกันแน่ที่เป็นปีศาจ

หลังแม่เจิ้นพูดทุกอย่างในใจออกมาทั้งหมด นางก็รู้สึกโล่งอกเป็นอย่างมาก

หลายปีที่ผ่านมากลายเป็นนางเองที่คิดผิดมาโดยตลอด ทว่าในตอนนี้กลับกลายเป็นว่านางสามารถพูดทุกสิ่งออกมาได้อย่างสบายใจ

เมื่อได้ยินคำพูดอันเด็ดเดี่ยวจากปากของผู้เป็นมารดา ซูหวานหว่านได้แต่สรรเสริญเยินยอแม่ของตนอยู่ในใจ

‘ท่านแม่ สุดยอดไปเลย! ข้าจะอยู่ข้าง ๆ ท่านเอง!!’

ซูต้าเฉียงจ้องเขม็งไปที่ภรรยาของตน ร่างกายของเขาแข็งทื่อราวกับถูกฟ้าผ่า เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงบีบเค้น “นี่เจ้า..! เจ้าไม่สบายรึเปล่า พูดจาอะไรไร้สาระ”

แม่เจิ้นยิ้มอย่างเย็นชา “ข้าไม่ได้ป่วย ข้าสบายดีมาก! คนที่ป่วยคือท่านต่างหาก! ท่านตาบอดหรืออย่างไรกันที่ไม่เห็นว่าชีวิตของลูกและเมียตอนนี้เป็นอย่างไร หูหนวกหรือไงที่ไม่ได้ยินที่ผู้อื่นต่อว่าครอบครัวของเราน่ะ!”

ซูหวานหว่านกล่าวชื่นชมท่านแม่ของนางในใจอีกครั้ง ‘ท่านแม่กำลังมีอำนาจเหนือเขา พูดให้เขาสำนึกไปจนถึงก้นบึ้งของหัวใจไปเลย!’

ซูต้าเฉียงอ้าปากเหวอตกใจมองกลับไปยังแม่เจิ้น เขาไม่เข้าใจเอาเสียเลยว่าเหตุใดภรรยาของเขาถึงได้เกรี้ยวกราดถึงเพียงนี้

ไม่รอให้อะไรยืดเยื้อไปกว่านี้ แม่เจิ้นจึงรีบเอ่ยต่อ “ซูต้าเฉียง ข้าจะให้โอกาสสุดท้ายกับท่านตรงนี้ ท่านเลือกได้หรือไม่ว่าจะทำอย่างไรต่อจากนี้” แม่เจิ้นพูดอย่างเด็ดขาด นางกำชายเสื้อของนางเอาไว้แน่นด้วยความกังวลใจ

ซูหวานหว่านคว้ามือผู้เป็นแม่มาจับอย่างอ่อนโยนและให้กำลังใจนางอย่างเงียบ ๆ ในตอนนี้แม่เจิ้นต้องใช้ความกล้าหาญมากในการพูดแต่ละคำออกมา สังคมในโลกนี้ช่างไม่ยุติธรรมสำหรับพวกผู้หญิงอย่างนางเอาเสียเลย ไม่ว่าจะเป็นการหย่าร้างหรือถูกถอนหมั้น ผู้หญิงจะเป็นฝ่ายเสียหายและโดนมองว่าเป็นคนไม่ดีเสมอ

“ขะ..ข้า… บ้าเอ้ย! เจ้าพูดอย่างนั้นออกมาได้อย่างไร ที่ผ่านมาก็มีแต่วันเวลาดี ๆ เจ้ามันเป็นปีศาจ!” ซูต้าเฉียงโพล่งออกมาโดยไม่เข้าใจสถานการณ์ “ทั้ง ๆ ที่ท่านแม่กำลังป่วยอยู่แต่เจ้ายังไม่เข้าใจ เจ้าไม่สนใจใยดีท่านแม่ของข้าเลยรึ เจ้ายังมาเอะอะโวยวายไร้สาระใส่ข้าอยู่อีก!”

“เฮอะ! มีแต่วันเวลาดี ๆ งั้นหรือ ในเมื่อท่านว่าข้าเป็นปีศาจ…งั้นข้าก็จะเป็นปีศาจให้ท่านดู จิ่นเฉียง หวานหว่าน พวกเจ้าไปเก็บของแล้วเรียกจิ่นหมิงและเสี่ยวเหยี่ยนไปด้วย ไปสิ ไปได้แล้ว!”

แม่เจิ้นผิดหวังในตัวสามีของตนมาก คนที่นางใช้ชีวิตด้วยกันมาหลายปีเป็นคนเช่นนี้เองรึ เวลานี้หัวใจของนางราวกับถูกเคลือบด้วยน้ำแข็ง มันด้านชาจนแทบไม่หลงเหลือความรู้สึกใดอีก

ซูจิ่นเฉียงที่ยืนฟังอยู่นิ่งเงียบไม่ปริปากเอ่ยคำใด เขาเดินกลับไปที่ห้องของตนเพื่อเก็บของตามที่ผู้เป็นแม่สั่ง เห็นได้ชัดว่ามารดาของเขา นางไม่อาลัยอาวรณ์ผู้เป็นพ่อเลยแม้แต่น้อย

ซูหวานหว่านแตะมือของแม่เจิ้น แล้วเรียกให้ซูจิ่นหมิงและซูเสี่ยวเหยี่ยนเข้ามา

“จะ…เจ้า…เจ้ากำลังจะทำบ้าอะไรน่ะ!” ผู้เป็นพ่อเอ่ยอย่างร้อนรน

เมื่อซูต้าเฉียงเห็นว่าภรรยาและลูก ๆ เริ่มเก็บข้าวของ ภายในใจเขาก็ยิ่งรู้สึกร้อนรนรีบวิ่งไปห้ามซูจิ่นเฉียง ทว่าซูจิ่นเฉียงที่สูงเกือบจะเท่าเขาแล้วในตอนนี้กลับสะบัดมือผู้เป็นพ่อออกอย่างไม่ใยดี เมื่อซูหวานหว่านเห็นเช่นนั้น นางก็รีบหมุนตัวหลบพ่อของตนอย่างรวดเร็ว เพื่อนางจะไม่ให้พ่อได้โดนตัวนางเด็ดขาด

แม่เจิ้นตั้งหน้าตั้งตาเก็บเสื้อผ้าโดยไม่สนใจสามีของตนเลยแม้แต่น้อย

ซูต้าเฉียงได้แต่ยืนโง่อยู่อย่างนั้น โดยที่เขาไม่รู้เลยว่าควรทำอย่างไรต่อไปดี

ในที่สุดห่อผ้าเล็ก ๆ จำนวนหนึ่งก็ได้จัดเตรียมไว้พร้อมเรียบร้อยแล้ว

ซูหวานหว่านหยิบห่อผ้าเล็ก ๆ ขึ้นมาถือไว้ นางตัดสินใจจะให้โอกาสผู้เป็นพ่ออีกครั้ง และครั้งนี้จะเป็นโอกาสครั้งสุดท้ายของซูต้าเฉียง “นี่ท่านยังไม่เข้าใจอีกหรือ?”

“เข้าใจ…ข้าต้องเข้าใจอะไร?”

“ท่านลองคิดว่าใครกันที่จะเป็นคนอยู่กับท่านไปตลอดชีวิต!” ใบหน้างดงามของหญิงสาวเต็มไปด้วยความจริงจัง “ท่านแม่ของท่านน่ะหรือที่จะเป็นคนอยู่กับท่านไปทั้งชีวิต หรือว่าจะเป็นพี่ชายทั้งสองคนของท่านกัน”

ซูต้าเฉียงชะงักไป เขาไม่เคยนึกถึงมาก่อนเลย

“หากตอนนี้ท่านยังไม่เข้าใจมัน ท่านก็ลองคิดดูดี ๆ แล้วกัน ท่านแม่ ท่านพี่ น้อง ๆ ไปกันเถอะ”

ซูหวานหว่านพูดพลางส่ายหัวก่อนจะหันไปโอบแม่เจิ้นแล้วพานางออกจากห้องไป

“อย่าเพิ่ง…อะ…พวกเจ้าจะไปไหนกัน!” ซูต้าเฉียงถามและจับแขนของภรรยาแน่น สีหน้าฉายแววความกังวล

“ปล่อย!” ใบหน้าของแม่เจิ้นเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา นางสะบัดมือของสามีออก “ข้าไม่มีอะไรจะพูดกับท่าน ส่วนหนังสือหย่าข้าจะเขียนจดหมายส่งมาให้ท่านในวันพรุ่งนี้”

“ไม่…ไม่ได้นะ… ขะ…ข้า…ยัง…” น้ำเสียงของซูต้าเฉียงเต็มไปด้วยความกังวล ความคิดในหัวของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย เหตุใดภรรยาของเขาถึงได้จากเขาไป ทำไมทุกอย่างถึงได้กลายเป็นแบบนี้!!

“ไปกันเถอะท่านแม่” เสียงของซูจิ่นเฉียงดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ

แม่เจิ้นไม่สามารถสะบัดแขนให้หลุดออกจากการเกาะกุมของสามีได้ ซูจิ่นเฉียงตัดสินใจวางห่อผ้าลงแล้วมาช่วยผู้เป็นแม่ เขาดึงมือซูต้าเฉียงออกอย่างแรง ก่อนตวัดสายตาไปมองผู้เป็นพ่ออีกครั้งด้วยสายตาเย็นชา ซูจิ่นเฉียงกุมมือแม่ของตนแน่นก่อนจะพาทั้งครอบครัวเดินออกมาจากห้องเล็ก ๆ นั้น

ก่อนจะจากไป ทั้ง 5 คนได้หยิบห่อผ้าเล็ก ๆ จากนั้นทั้งห้าก็เดินออกจากห้องไปโดยไม่มีใครหันหลังกลับมามองซูต้าเฉียงอีกเลย

ซูต้าเฉียงที่ตั้งใจจะวิ่งตามครอบครัวของตนไปสะดุดเข้ากับอะไรบางอย่าง เขาล้มลงไปกองกับพื้น จึงได้แต่กัดฟันแน่นด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะสบถออกมาดัง ๆ ด้วยความขัดใจ

แม่เจิ้นและลูก ๆ ของนางได้ออกจากบ้านตระกูลซูและเดินไปตามทางทิศตะวันตกของหมู่บ้าน

“ท่านแม่ นี่ท่านกำลังพาเราไปที่ไหนกัน?” ซูเสี่ยวเหยี่ยนเด็กหญิงผู้ขี้กลัวเอ่ยถามแม่ของนาง

“ท่านแม่ นี่เราไม่ได้อยู่ที่บ้านนั้นแล้วใช่หรือไม่” ซูจิ่นหมิงมองไปที่แม่เจิ้นด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความกลัวและความปราถนาอย่างแรงกล้า

แม่เจิ้นหยุดเดิน นางยกมือขึ้นซับน้ำตาของตัวเองก่อนจะหันไปตอบลูกน้อยทั้งสองด้วยเสียงสั่นเครือ “ใช่จ้ะ…เราจะไม่กลับไปอีกแล้ว ตอนนี้เราต้องเดินทางไปยังเรือนพักพิงทางทิศตะวันตก จากนี้ไปที่นั่นจะเป็นบ้านของพวกเรา”

เรือนพักพิงตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของหมู่บ้าน โอบล้อมไปด้วยภูเขาสูงใหญ่ ด้านหลังภูเขามีแม่น้ำสายเล็ก ๆ ไหลผ่าน โดยรวมแล้วที่ตั้งทางภูมิศาตร์ของที่นี่ก็นับว่าไม่เลว ถือเป็นทำเลที่ตั้งที่ดีเยี่ยมในการเริ่มต้นชีวิตใหม่

ส่วนเหตุผลที่เรียกว่าเรือนพักพิงนั้นมาจากที่นั่นเป็นสถานที่ที่มีหญิงสาวที่ยังไม่ได้แต่งงาน หญิงสาวที่ถือพรหมจรรย์ แม่ม่ายลูกติดหรือแม้กระทั่งหญิงสาวที่ถูกหย่าอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก

โดยพวกชาวบ้านมีความเชื่อว่าสถานที่แห่งนั้นเป็นที่อัปมงคล ทำให้ไม่มีใครกล้าสร้างบ้านเรือนใกล้ ๆ อีกทั้งยังพากันย้ายบ้านออกไปให้ห่างไกลจากพื้นที่ตรงนั้น

“ท่านแม่ ทำดีแล้วหล่ะ พวกเราจะไม่เป็นไรหากได้อยู่ที่นี่” ซูหวานหว่านเอ่ยขึ้นเพื่อให้กำลังใจแม่ของตนและน้อง ๆ

ซูหวานหว่านชื่นชมในความเด็ดขาดของผู้เป็นแม่ นางไม่คิดมาก่อนเลยว่าแม่ของนางจะโมโหและระเบิดอารมณ์โกรธออกมาได้มากเพียงนี้

เหตุใดถึงอดกลั้นมาถึงตอนนี้ได้นะ?

ถ้าท่านแม่ของนางแข็งแกร่งแบบนี้ตั้งแต่แรก ซูหวานหว่านเจ้าของร่างนี้คงไม่ถูกพวกคนบ้านใหญ่รังแกและฆ่าตายหรอก!

ซูหวานหว่านรู้สึกลังเลอยู่เล็กน้อยเมื่อหญิงสาวนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา นางจะกลายเป็นซูหวานหว่านได้อย่างไรกันถ้าเกิดเจ้าร่างเดิมไม่ตายลง

จริงไหม…?

“แม่ก็แค่…เฮ้อ แม่ขอโทษด้วยจริง ๆ สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้น แม่ขอโทษสำหรับอนาคตของพวกเจ้าด้วย” แม่เจิ้นร้องไห้ออกมาอีกครั้ง แม้ว่านางจะออกจากตระกูลซูมาแล้วก็ตาม แต่เรื่องของอนาคตก็เป็นเรื่องน่ากังวลมากเช่นกัน

นางรู้ว่าตระกูลซูนั้นเป็นอย่างไร และนั่นทำให้นางกลัวมากว่าจะเกิดปัญหาขึ้นภายในอนาคต ยิ่งไปกว่านั้น มันจะทำให้เด็ก ๆ เสื่อมเสียไปกับนางด้วย

“ท่านแม่ นี่ท่านกำลังกังวลเรื่องชื่อเสียงในอนาคตงั้นหรือ?” ซูหวานหว่านส่งยิ้มบาง ๆ กลับไป หญิงสาวพูดเหมือนกับรู้ว่าแม่ของตนกำลังคิดอะไรอยู่

“แม่หุนหันพลันแล่นไปหน่อย”

เมื่อแม่เจิ้นหันกลับไปมองยังทิศที่ตั้งของบ้านตระกูลซูในทางที่จากมา ก็ไม่เห็นวี่แววของซูต้าเฉียงผู้เป็นสามีตามมาแต่อย่างใด เมื่อเห็นดังนั้นความหวังสุดท้ายของนางก็พลันแตกสลาย…

“ไม่หุนหันพลันแล่นเลยท่านแม่ ท่านทำดีมากแล้ว ไม่ต้องกังวลไป พี่ใหญ่กับข้าอยู่นี่ด้วยทั้งคน ข้าน่ะทำงานหนัก ๆ ได้ ส่วนพี่ใหญ่ก็ทั้งเก่ง ทั้งฉลาด อีกทั้งเขายังเตรียบสอบบัณฑิตอยู่อีก ท่านแม่ท่านน่ะอยู่เฉย ๆ แล้วรอเป็นฮูหยินตามที่ฝันไว้ได้เลย!”

ผู้เป็นแม่เม้มปากและหยักหน้าให้กับลูกสาว นางหันกลับไปและเดินทางต่อไปยังเรือนพักพิงด้วยกันกับเด็ก ๆ

“ท่านแม่ บอกข้าได้หรือไม่ว่าเหตุใดถึงตัดสินใจที่จะออกมาจากบ้านหลังนั้น?” ซูหวานหว่านยังคงสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้

เห็นได้ชัดแล้วว่าความคิดเกี่ยวกับเรื่องการแยกครอบครัวของแม่เจิ้นได้มาจากสิ่งที่ลูกสาวได้พูดไว้ ทว่านางก็อดเป็นห่วงซูต้าเฉียงไม่ได้เลย

แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ผลที่ออกมา…อื้ม…มันเยี่ยมมากเลยล่ะ!

แม่เจิ้นรู้สึกลังเลและหยุดเดินอีกครั้ง นางหันไปพูดกับซูหวานหว่านและซูจิ่นเฉียงด้วยท่าทางเคร่งขรึมจริงจัง “ตัวแม่นั้นอ่อนแอมาตลอดชีวิต ทำให้พี่ ๆ น้อง ๆ ของเจ้าไม่มีโอกาสที่จะใช้ชีวิตที่ดีกว่านี้ แม่ยอมถอยให้พวกเขาตลอด แต่ใครมันจะไปคิดล่ะว่าพวกเขาจะใช้ความอดทนของแม่มารังแกพวกลูก ๆ ได้อย่างไม่น่าให้อภัย”

“จิ่นเชาเกือบจะพลาดการสอบ ส่วนเจ้าหวานหว่าน ชื่อเสียงก็ต้องมาพังลงเพราะโดนถอนหมั้น ไหนจะจิ่นหมิงกับเสี่ยวเหยี่ยนอีก…”

น้ำตาของผู้เป็นแม่หลั่งไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย หลายปีที่ผ่านมานี้นางคิดผิดมาโดยตลอด หากไม่ใช่เพราะเหมี่ยวอี้เซิงมาถอนหมั้นในวันนี้ นางคงตัดสินใจแบบนี้ไม่ได้!

ส่วนคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นลุงแท้ ๆ ของซูหวานหว่านกลับเพิกเฉยต่อหญิงสาวเพียงเพราะเงินแค่ 5 เหรียญ พวกเขาไม่กลัวเลยหรือว่าเรื่องนี้มันจะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของซูหวานหว่านอย่างไรบ้าง

ซูต้าเฉียงที่เป็นถึงพ่อของลูก ๆ แต่กลับนึกถึงแต่พ่อและแม่ของเขาเท่านั้น เขาไม่คิดจะนึกถึงและสนใจใยดีลูกเมียของตัวเองบ้างเลยหรือ?

ผลพวงของเรื่องนี้กระทบต่อลูกชายและลูกสาวคนโตของนางอย่างใหญ่หลวง ดังนั้นนางจะไม่มีวันปล่อยให้คนตระกูลซูมาทำร้ายลูก ๆ ของนางได้อีกเป็นอันขาด!

‘ถึงแม้ว่าใคร ๆ จะพากันพูดว่าอิสตรีเป็นเพศที่อ่อนแอ แต่ไม่ใช่กับนางผู้นี้…คนเป็นแม่น่ะแข็งแกร่งที่สุดแล้ว!’