บทที่ 30 มีของดีแต่ไร้ค่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเทพ X
“เช้ง!”
ตุบ!
เจ้าเวหายกดาบในมือขึ้นฟันแต่ก็ถูกกำปั้นของซูเย่ปัดป้องได้ทันเวลา
“หืม?”
ซูเย่ถึงกับชะงักเล็กน้อย
ดาบไม่กระเด็นกลับไป?
ดูเหมือนอุปกรณ์ทองคำเหล่านี้น่าจะมีความแข็งแกร่งพอสมควร
เจ้าเวหาเบิกตาโตด้วยความตื่นตระหนกที่กระบวนท่าแรกของตนเองถูกปัดป้องเอาไว้ได้
แต่ไม่เป็นไร นี่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น!
ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ต้องเป็นผู้ชนะให้ได้!
กลุ่มคนดูโดยรอบอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้น
สมแล้วที่เป็นท่านเทพ X
ฝีมือช่างร้ายกาจ!
“ผลั่ก!”
ในระหว่างที่เจ้าเวหาเตรียมตัวจะโจมตีต่อเนื่อง
ซูเย่กลับเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและกระแทกหมัดใส่หน้าอกของเจ้าเวหา
ตัวคนลอยกระเด็นออกไปไกลก่อนจะตกกระแทกพื้นดินอย่างรุนแรง แล้วร่างของเจ้าเวหาก็ค่อยๆ เลือนรางหายไปในอากาศ
นิ่งเงียบ…
ไม่มีใครพูดอะไรออกมา…
ทุกคนได้แต่ยืนมองชายหนุ่มในชุดเกราะทองคำเลือนรางหายไปอย่างทำอะไรไม่ถูก
เจ้าเวหาเป็นถึงผู้เล่นอันดับสามในเกมนี้เชียวนะ!
ในมือของเขาคืออาวุธวิเศษ!
บนตัวของเขาคือชุดเกราะวิเศษ!
การต่อสู้ของเขามาจากคัมภีร์ฝึกยุทธ์ระดับสูง!
นับดูมูลค่าของวิเศษบนตัวเจ้าเวหาย่อมต้องมีหลายล้านหยวน!
แต่กลับมาถูกต่อยตายง่ายๆ อย่างนี้เนี่ยนะ?
กลุ่มคนดูถึงกับตกตะลึง
บางคนแสดงสีหน้าเหลือเชื่อ
ระหว่างที่เดินทางมาเพื่อดูการต่อสู้ครั้งนี้ ไม่มีใครคิดเลยว่าผลการต่อสู้จะลงเอยเช่นนี้
พวกเขาคิดว่าตนเองจะได้ดูการต่อสู้ที่ดุเดือด
พวกเขาคิดว่าตนเองจะได้ดูการต่อสู้ที่สูสี
พวกเขาคิดว่าตนเองจะได้ดูการต่อสู้ที่ไม่รู้ว่าใครจะเป็นผู้ชนะ
แต่ทุกอย่างกลับไม่เป็นไปตามที่คิด
เนิ่นนานหลังจากนั้น
เมื่อท่านเทพ X ขี่ตัวเฉิงหวงจากไป ทุกคนถึงกลับมาได้สติกันอีกครั้ง
“เชี่ย!”
“ท่านเทพ X นี่เทพสมชื่อจริงๆ ว่ะ!”
“ฉันคิดว่าเจ้าเวหามีของดีอยู่กับตัวมากถึงขนาดนี้ น่าจะขึ้นมาเป็นคู่ต่อสู้ได้อย่างสูสีแล้วแท้ๆ แต่ที่ไหนได้ ถึงมีของดีมากแค่ไหน แต่มันก็ยังไร้ประโยชน์อยู่ดีเมื่อมาเจอกับเทพ X !”
“ขนาดเจ้าเวหาใส่ชุดเกราะวิเศษยังถูกเทพ X ต่อยตายในหมัดเดียว แล้วถ้าเปลี่ยนเป็นพวกเราจะไปเหลืออะไรอ่ะ ทีนี้ยังจะมีใครอยากมีปัญหากับเทพ X อีกบ้างไหม?”
ทุกคนจับกลุ่มพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติ
“อ่อนหัดกันจริงๆ”
ซูเย่ถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่ายขณะขี่อยู่บนหลังตัวเฉิงหวง
อุตส่าห์ไม่ได้เข้ามาเล่นตั้งนาน นึกว่าจะมีอะไรน่าสนุกขึ้นบ้าง สุดท้ายก็น่าเบื่อเหมือนเดิม
ชายหนุ่มออกจากระบบโดยไม่ลังเล
เขาเก็บหมวก VR และนั่งโคจรพลังต่อไป
…
ในเว็บบอร์ดประจำเกม Fantasy Dream
ไม่กี่นาทีหลังจากที่ซูเย่ออกจากระบบ คลิปวิดีโอการต่อสู้ก็ได้ถูกโพสต์ลงในเว็บบอร์ด
ผู้ใช้งานทั้งเว็บบอร์ดล้วนตื่นตระหนก
เมื่อเห็นคลิปวิดีโอนั้น ผู้เล่นจำนวนมากที่ไม่ได้ไปรับชมการต่อสู้ด้วยตนเอง ก็ถึงกับตกตะลึงและมีความสุขในเวลาเดียวกัน
“ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน เจ้าเวหาก็สู้เทพ X ไม่ได้เหมือนเดิม…”
“ถ้าฉันเป็นเจ้าเวหา ฉันคงอายมากเลยว่ะ!”
“ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว เจ้าเวหาคงไม่ยอมแพ้แค่นี้หรอก น่าตลกจังนะ เขาคือตัวแทนของคนที่เก่งได้เพราะมีเงินซื้ออุปกรณ์เสริม สุดท้ายฝีมือก็ยังห่วยแตกเหมือนเดิม”
“ว่าแต่เขายังจะกลับมาสู้หน้าใครได้อีกไหมเนี่ย?”
“เก่งได้เพราะอุปกรณ์เสริมว่ะ 555”
“อย่าเอาความจริงมาล้อเล่นกันสิเฮ้ย!”
…
หลังจากที่พ่ายแพ้ให้แก่เทพ X เจ้าเวหาก็รู้สึกอับอายมากจริงๆ
เขาไม่รู้เลยว่าตนเองแพ้ได้อย่างไร
เขาทุ่มเงินเป็นจำนวนมากเพื่อให้ตนเองได้มายืนอยู่ในระดับเดียวกับเทพ X และเจ้าเวรกรรม เพื่อพยายามกู้หน้าจากความพ่ายแพ้ในอดีต
แต่ปรากฏว่า…เขาก็ยังต้องแพ้เหมือนเดิม
น่าเจ็บใจชะมัด
“เจ้าพวกนี้ไม่คิดจะไว้หน้ากันบ้างเลยหรือไง!”
เมื่อเห็นคอมเมนต์ล้อเลียนตนเองในเว็บบอร์ด เจ้าเวหาก็แทบจะร้องไห้ออกมาแล้ว
…
ในเวลาเดียวกันนี้
สุดท้าย บรรดาผู้เล่นที่บ่นเรื่องอาวุธวิเศษราคาแพง ก็ได้พบคำปลอบใจสำหรับตนเอง
“ดูเหมือนถึงจะพกของวิเศษเต็มตัว ก็ยังช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดีสินะ! ตอนนี้เจ้าเวหาคงรู้แล้วว่าไม่ควรไปหาเรื่องกับเทพ X เด็ดขาด พวกเราเก็บเงินที่จะเอาไปซื้ออาวุธทองคำพวกนั้นไปทำอย่างอื่นดีกว่า! อย่างน้อยเอาไปซื้อสกินสวยๆ ยังมีประโยชน์กว่าเลย!”
“พวกอุปกรณ์ที่ต้องซื้อด้วยเหรียญทองคริปตันไม่เห็นจะเจ๋งตรงไหน ก็แค่พกติดตัวไว้แล้วดูดีมากกว่าคนทั่วไปเล็กน้อยเท่านั้นแหละ”
“นั่นสิ ขนาดเทพ X ยังไม่ใช้ของพวกนั้นเลย ฉันดีใจชะมัดที่ไม่ได้หลงซื้อไปด้วย!”
“ที่นายไม่ซื้อเพราะนายไม่มีเงินต่างหาก!”
“ตอนนี้เกมเรามีแผนที่แค่ระดับ 40 ผู้เล่นกว่าครึ่งหนึ่งยังเล่นไปไม่ถึงไหน ในเกมมีไอเท็มมากมายที่ไม่มีขายในโหมดร้านค้า อย่างพวกสัตว์พาหนะ หยกปราณธรรมชาติ สมุนไพรระดับสูง อะไรพวกนั้นไง ถ้านายอยากสร้างชื่อให้เกมนี้ด้วยฝีมือของตัวเองล้วนๆ นายยังจะต้องกลัวอะไรอีก นอกจากตามหาไอเท็มพวกนั้นมาใช้งานได้แล้ว ยังเอาไปขายแลกเป็นเงินสดได้ด้วยนะ!”
“เกมนี้มีคนเล่นตั้งเยอะตั้งแยะ ใครทำอาชีพเก็บไอเท็มขายนี่บอกได้เลยว่ารวยเละ”
“โชคร้ายจังที่หนึ่งคนจะเปิดได้แค่หนึ่งไอดีเท่านั้น ไม่งั้นฉันจะเปิดหลายๆ ไอดีเอาไว้เก็บไอเท็มขายโดยเฉพาะเลย!”
…
คืนวันที่ห้า
วันอาทิตย์แรกของเทศกาลตรุษจีน
รายการค้นหาสุดยอดแพทย์แผนจีนรุ่นใหม่ตอนที่สองกำลังจะออกอากาศในไม่ช้า
ด้วยความร้อนแรงของเอพิโสดแรก หลายคนจึงตั้งหน้าตั้งตารอที่จะเห็นฝีมือของซูเย่ในเอพิโสดที่สอง
โดยเฉพาะบรรดาผู้คนที่เคยรับชมตัวอย่างตอนต่อไป พวกเขาต่างก็มานั่งเฝ้าอยู่หน้าจอด้วยความตื่นเต้น
คุณพ่อคุณแม่ของซูเย่ก็ไม่พลาดโอกาสนี้เช่นกัน พวกท่านมานั่งอยู่หน้าจอโทรทัศน์ในห้องนั่งเล่นเรียบร้อยแล้ว
หลี่เคอหมิงนั่งดูอยู่ที่บ้าน…
ฮั่วเหรินเชิงชงน้ำชาถ้วยใหม่และเดินไปเปิดโทรทัศน์
ในเวลาเดียวกันนี้
สองสาวฝาแฝดไป๋จือ เฉินเซียนเยว่ จางกงหมิง ซุนฉือ และจินฟานรวมไปถึงคนอื่นๆ ต่างก็รอรับชมรายการด้วยความตื่นเต้นเช่นกัน
ไม่เว้นแม้แต่หลี่มู่เสวี่ย
…
เมืองตี้ตู
ผู้กำกับจ้าวเหมียนเพิ่งจะประชุมเสร็จและพาทีมงานทุกคนมานั่งอยู่ในสตูดิโอเพื่อรับชมรายการแบบเรียลไทม์
“ตอนเปิดรายการเรตติ้งอยู่ที่เท่าไหร่?”
จ้าวเหมียนถามทันทีเมื่อบนหน้าจอแสดงฉากเปิดรายการตอนที่สอง…
“อยู่ที่ 0.8 ครับ!”
เสียงทีมงานตอบกลับมา “เทียบกับตอนเปิดรายการของอีพีที่แล้ว เรตติ้งสูงกว่าเดิมถึงสองเท่า”
“มันต้องอย่างนี้!”
จ้าวเหมียนยิ้มอย่างมีความสุข
รายการตอนที่หนึ่งจบลงด้วยเรตติ้ง 1.03 เปอร์เซ็นต์
ส่วนตอนที่สองเปิดรายการมาก็มีเรตติ้งดีกว่าตอนเปิดรายการครั้งที่แล้วถึงสองเท่า นี่คือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นได้ยากมาก!
จ้าวเหมียนสูดหายใจลึกและพูดว่า “ถ้าคืนนี้ได้เรตติ้งทะลุหนึ่งอีกครั้ง รายการของเราไปได้สวยแน่”
“จากความเข้มข้นของรายการตอนที่แล้ว มาถึงเรตติ้งเปิดรายการของตอนนี้ ผมว่าเราได้หนึ่งไม่ยากหรอก”
ชายอ้วนเดินเข้ามาพร้อมกับยิ้มกว้าง “แต่เป้าหมายของคุณคงไม่ได้หวังแค่หนึ่งเปอร์เซ็นต์เฉยๆ หรอกมั้ง?”
“ถ้าได้ 1.2 ก็คงดี”
ขณะนี้
บนหน้าจอโทรทัศน์กำลังฉายภาพของผู้เข้าแข่งขันทุกคนเดินออกจากโรงแรมเพื่อขึ้นรถบัสในตอนเช้า
เมื่อเห็นกลุ่มผู้เข้าแข่งขันถูกทีมงานหลอกให้มายังเรือนกระจกเพาะปลูกสมุนไพร ซึ่งอยู่ห่างไกลออกไปหลายร้อยกิโลเมตร บรรดาคนดูก็หัวเราะออกมาด้วยความชอบใจ
และเมื่อถึงตอนที่พิธีกรประกาศกฎกติกาการแข่งขันในรอบที่สอง
คนดูก็ถึงกับตกตะลึง
นอกจากตะลึงไปกับกติกาที่เข้มงวดเหล่านั้นแล้ว คนดูยังจำได้ว่าฉากการปะทะกันระหว่างหวังจี้เชากับซูเย่ในตัวอย่างรายการเมื่ออาทิตย์ก่อน ก็น่าจะมาจากช่วงใดช่วงหนึ่งระหว่างนี้นั่นเอง
แต่อย่างไรก็ตาม
ขณะที่ทุกคนเฝ้ารอฉากการปะทะกัน
หญิงสาวคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นบนหน้าจอ
“อาจารย์อา?”
“เธอรู้จักเขาด้วยเหรอ?”
“เด็กคนนี้ว่าไงนะ เธอบอกว่าเป็นเหลนของปรมาจารย์ฮั่วเหรินเชิงงั้นเหรอ?”
“โรคที่แม้แต่ฮั่วเหรินเชิงก็ยังรักษาไม่ได้ แต่ซูเย่กลับสามารถรักษาได้เนี่ยนะ? มันจะเป็นไปได้ยังไง?”
ในเว็บสตรีมมิ่ง บรรดาคนดูถึงกับต้องคอมเมนต์กันอย่างถล่มทลาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่พอจะรู้เรื่องราวในวงการแพทย์แผนจีนมาบ้าง ย่อมทราบดีว่าชื่อของปรมาจารย์ฮั่วมีอิทธิพลขนาดไหน
ส่วนคนที่ไม่รู้จัก ก็รีบนำชื่อของชายชราไปค้นหาในอินเทอร์เน็ต
เมื่อได้รับทราบแล้วว่าฮั่วเหรินเชิงเป็นใครมาจากไหนและมีสถานะใด
เกือบทุกคนที่รับชมการถ่ายทอดผ่านอินเทอร์เน็ตต่างก็ตกตะลึงสุดขีด
“เป็นไปได้ยังไง? ขนาดสุดยอดแพทย์แผนจีนชื่อดังยังรักษาไม่ได้? แต่ซูเย่กลับสามารถทำได้สำเร็จเนี่ยนะ?”
“เฮ้ย ที่แท้ก็เป็นปรมาจารย์แพทย์แผนจีนที่บอกว่าอยากจะรับซูเย่เป็นลูกศิษย์นี่เอง นึกว่าใครที่ไหนซะอีก!”
“แล้วตอนนี้ยังไม่เป็นลูกศิษย์อีกเหรอ? เด็กคนนี้เรียกเขาว่าอาจารย์อา ถ้าไม่ได้เป็นลูกศิษย์ปู่ทวดของเธอแล้วจะเรียกอย่างนี้ได้ไง?”
“อาจารย์อาอายุ 23 เนี่ยนะ ฉันล่ะอยากจะหัวเราะให้ฟันหลุด ฮ่าๆๆ ซูเย่ นายนี่มันน่าอิจฉาเหลือเกิน”
ผู้คนจำนวนมากตกตะลึงในข้อมูลส่วนนี้
และในเวลาเดียวกันนั้น
ก็เริ่มมีหลายคนตั้งคำถามขึ้นมาว่า
“ซูเย่เป็นแค่นักศึกษาจริงๆ เหรอ? ถ้าเขาสามารถรักษาโรคร้ายที่แม้แต่ปรมาจารย์ฮั่วยังทำไม่สำเร็จได้จริงๆ ป่านนี้คงได้ใบประกอบโรคศิลป์ไปนานแล้ว ทำไมถึงยังไม่เป็นหมอไปรักษาคนไข้คนอื่นๆ อีก?”
“เลิกพูดจาไร้สาระได้แล้ว พวกนายรู้หรือเปล่าว่าซูเย่มีบัตรสมาชิกของสมาคมแพทย์แผนจีนแล้วนะ!”
“การมีบัตรสมาชิกของสมาคมก็เทียบเท่ากับมีสถานะเป็นแพทย์แผนจีนคนหนึ่ง ถ้าเขาจะรักษาคนก็ทำได้ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว อย่าได้ปากเก่งกันให้มากนักเลย”
เมื่อมีคนตั้งคำถาม ก็ต้องมีคนออกหน้าโต้แย้งแทนซูเย่
หลังจากนั้น การตรวจสอบข้อมูลจึงเกิดขึ้น
ปรากฏว่าซูเย่มีสถานะเป็นสมาชิกของสมาคมแพทย์แผนจีนจริงๆ
นั่นทำให้เกิดอีกหนึ่งคำถามตามมา
ซูเย่เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนได้แค่หกเดือน ก็สอบได้บัตรสมาชิกแล้วหรือ?
นี่มัน…เก่งเกินมนุษย์มากไปแล้ว!
แต่ยิ่งรายการดำเนินต่อไป ทุกคนก็ต้องเบิกตาโตด้วยความเหลือเชื่อมากกว่าเดิม
คนดูยังไม่ทันหายตกตะลึงด้วยข้อมูลของฮั่วเสี่ยวเหอ
พวกเขาก็ต้องตกตะลึงด้วยการกระทำของซูเย่อีกครั้ง
ไม่มีใครคาดคิดเลยว่าชายหนุ่มจะลุกขึ้นยืนเรียกร้องความยุติธรรมให้แก่ผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ โดยการสารภาพว่าเขาเคยมาที่เรือนกระจกแห่งนี้มาแล้ว และอยากจะให้ทีมงานเปลี่ยนการแข่งขันไปเป็นรูปแบบอื่น
ฉากนี้
ทำให้คนดูอดสรรเสริญในความซื่อสัตย์ของซูเย่ไม่ได้
“คนอะไรจะจริงใจขนาดนี้!”
“ถ้าฉันเป็นซูเย่นะ ฉันไม่บอกความจริงเด็ดขาดอะ ทำไมเราจะต้องเรียกร้องความยุติธรรมให้คู่แข่งตัวเองด้วย!”
“ความจริงเขาไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้ ทีมงานตัดสินใจได้ถูกต้องแล้ว ถึงเขาจะมาเคยมาที่นี่ก่อนคนอื่น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะมีความรู้มากกว่าคนอื่นไม่ใช่หรือไง?”
นี่คือสิ่งที่หลายคนสงสัย
การกระทำของซูเย่ดึงดูดความสนใจของผู้คนได้จำนวนมาก
แม้แต่หลายคนที่เคยมีอคติต่อเขาก่อนหน้านี้ ก็เริ่มคิดเปลี่ยนใจมาเป็นแฟนคลับของเขาแล้ว
และไม่กี่วินาทีต่อมา
หวังจี้เชาก็ลุกขึ้นยืนและตั้งคำถามกับการตัดสินใจของทีมงาน
เมื่อเห็นพฤติกรรมของหวังจี้เชา กลุ่มคนดูก็ได้แต่ถอนหายใจ
“เฮ้อ หมอนี่ใจแคบเป็นบ้า”
แต่ทุกคนก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เพราะสิ่งที่หวังจี้เชาตั้งคำถามนั้น ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผลเสียทีเดียว
และเมื่อซูเย่เสนอการแข่งขันรูปแบบใหม่สำหรับตัวเองขึ้นมาโดยเฉพาะ
คนดูก็ต้องนิ่งอึ้งไปอีกครั้ง
วาดภาพ?
นี่คือข้อเสนอที่ยุติธรรมตรงไหนกัน?
กลุ่มคนดูยังไม่มีเวลาได้คิดอะไรมาก ภาพบนหน้าจอก็กำลังแสดงให้เห็นถึงการวาดภาพของซูเย่ที่รวดเร็วเสียจนสามารถวาดได้ครบ 500 รูปในเวลาเพียงสามชั่วโมงเท่านั้น
เมื่อเห็นเช่นนี้ บรรดาคนดูก็ถึงกับตกตะลึงสุดขีด
ยังไม่ต้องพูดถึงว่าคนเราจะเหนื่อยล้าขนาดไหนกับการวาดภาพต่อเนื่องโดยไม่หยุดพักถึงสามชั่วโมง และซูเย่ยังวาดออกมาได้หนึ่งรูปทุกๆ สองถึงสามนาที ซึ่งนี่ไม่ใช่เรื่องที่คนธรรมดาจะทำได้เด็ดขาด!
เว้นแต่จะเป็นนักวาดภาพที่มีประสบการณ์โชกโชนนั่นแหละ
ซูเย่สามารถทำได้อย่างไร?
เป็นไปได้หรือที่นอกจากเขาจะเก่งเรื่องบทกวีจีนโบราณ เก่งเรื่องสมุนไพรจีน เก่งด้านการเล่นพิณผีผา เขาก็ยังเก่งด้านการวาดภาพอีกด้วย?
มิหนำซ้ำ ยังเป็นการวาดภาพระดับสูง?
มันจะเป็นไปได้อย่างไร?!!
นี่มันบ้าไปแล้ว!!