ตอนที่126 ผู้อำนวยการ

จ้าวเฉียนไม่ถือโทษโกรธเคืองคำกล่าวของหวานหลินใดๆ ก็เป็นฝ่ายเขาที่จ่ายเงิน ถ้าไม่บ่นอะไรหน่อยคงแปลก?

“ฮ่าฮ่า…คุณหวานพูดก็ไม่ถูกสักทีเดียวนะครับ แต่ในระยะยาวผมว่ากลับเป็นฮวาหยิน กรุ๊ปมากกว่าที่ได้รับชัยชนะไป นักลงทุนระยะยาวมักจะทำเงินได้มากกว่า นักลงทุนระยะสั้นแบบผม ผมก็แค่บริษัทเล็กๆแห่งหนึ่ง คุณหวานคงไม่สนใจแค่แตงโมสองสามลูกในมือผมแน่นอน ถือซะว่าทำบุญทำทานให้เด็กตาดำๆ จริงไหมครับ?”

หวานหลินระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่นอย่างชอบอกชอบใจ ทัศนคติของเขาที่มีต่อจ้าวเฉียนดีขึ้นไม่ใช่น้อย ไอ้เด็กคนนี้มีหัวทางธุรกิจอย่างไม่ต้องสงสัย

“ฉันไม่อยากยุ่งเรื่องของพวกหนุ่มสาวมากเกินควรหรอกนะ แต่ขอเตือนอะไรไว้สักอย่าง ลูกสาวของหวานหลินคนนี้ไม่ใช่ของเล่น จะคิดหรือทำอะไรใช้สติอย่าใช้อารมณ์ ฉันรู้สึกว่านายเป็นคนฉลาดไม่เบา พูดเท่านี้ก็คงเข้าใจแล้วจริงไหม? เอาล่ะ หวานเจียง พ่อขอไปทักทายเพื่อนเก่าสักหน่อย ตามสบายเลย”

หวานหลินยิ้มกล่าว

“คุณหวานค่อยๆเดินนะครับ”

จ้าวเฉียนเอ่ยตอบอย่างนอบน้อม

พอพ่อของเธอเดินจากไป หวานเจียงก็หยิกจ้าวเฉียนไปทีหนึ่ง

จ้าวเฉียนสะดุ้งเล็กน้อย เหลือบมองไปทางหวานเจียงเจือแววงุนงง

“หยิกฉันทำไมเนี่ย?”

“ทำไม? ก็แค่อยากหยิก ไม่ได้รึไง? ไปทางนั้นเถอะ เดี๋ยวพานายไปเจอเพื่อนอีกคน”

พอหลังพูดจบ หวานเจียงก็เดินนำออกไปก่อน ปล่อยให้จ้าวเฉียนเดินติดตามไปอย่างใกล้ชิด

“ผู้อำนวยการชาง ไม่ได้พบกันซะนาน”

พอชางอี้เห็นว่าเป็นหวานเจียง จึงรีบตอบกลับไปทันทีว่า

“ฮ่าฮ่า…ไม่ได้เจอคุณหวานตั้งนานจริงค่ะ แล้วทำอะไรมา? ถึงได้สวยวันสวยคืนแบบนี้?”

หวานเจียงคลี่ยิ้มบางกล่าวตอบไปว่า

“ผู้อำนวยการชางยังปากหวานเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ได้ข่าวแล้วช่วงนี้ผู้อำนวยการชางช่วงนี้ฟิตร่างกายอยู่หนิ ดูท่าน่าจะเป็นความจริง หุ่นดีมากค่ะ เล่นเอาฉันอิจฉาเลย โอ้ใช่แล้ว ฉันมีเพื่อนจะแนะนำให้รู้จัก ผู้อำนวยการชาง เขาคนนี้มีชื่อว่าจ้าวเฉียน เป็นประธานบริษัทเฉียนเต๋อ และเป็นผู้ถือครองลิขสิทธิ์นิยายเรื่อง‘ล้ำฟ้าย่ำสวรรค์’อย่างเต็มรูปแบบ”

พอชางอี้ได้ยินแบบนั้นท่าทางการแสดงออกของเขาดูจริงจังขึ้นทันตา รีบวางแก้วไวน์ในมือและยื่นออกไปจับมือกับจ้าวเฉียนทันที

“ปรากฏว่าคุณนี่เองที่มอบโอกาสสรรสร้างซีรีย์เรื่องนี้อยู่เบื้องหลัง! ฉันไม่คิดเลยว่าคุณจะอายุน้อยขนาดนี้ แต่เดิมยังหลงคิดไปว่าคุณน่าจะเป็นผู้เจนจัดในวงการบันเทิง แต่นี่เกินคาดจริงๆ ฉายแววตั้งแต่หนุ่มเลยนะคะ”

ชางอี้กล่าวชื่นชม

จ้าวเฉียนยิ้มพลางโบกมือปัด กล่าวตอบด้วยท่าทีแสนนอบน้อมว่า

“ผู้อำนวยการชางชมเกินไปแล้วครับ ผมก็แค่โชคดีเฉยๆที่ชอบอ่านนิยายมาตั้งแต่เด็ก พอมีเงินก้อนหนึ่งเลยคิดว่า ถ้าจะลงทุนกับอะไรสักอย่าง ก็ควรลงทุนกับสิ่งที่เรารู้จักนี่แหละ แล้วช่วงนี้ผู้จัดการชางกำลังดูแลโปรเจคหนังเรื่องไหนอยู่เหรอครับ ว่างๆถ้ามาแชร์ประสบการณ์ให้ผมบ้างคงจะดีไม่น้อยเลย”

ชางอี้เป็นสาววัยสามสิบต้น ด้วยประสบการณ์ในแวดวงบันเทิงของเธอ ย่อมดูคนออกว่าอีกฝ่ายคิดเห็นยังไง และเธอรู้ดีว่าที่จ้าวเฉียนเข้าหาด้วยความจริงใจ ดังนั้นเธอเองย่อมจริงใจตอบเช่นกัน

ในฐานะที่ชางอี้อยู่ในวงการนี้มานานแล้ว เธอเองก็อยากลองอะไรในเส้นทางใหม่ๆเช่นกัน

“ฮ่าฮ่า…ช่วงนี้ว่างอยู่ค่ะ ถ้าประธานจ้าวมีโปรเจคดีๆมาใหม่ อย่าลืมชวนฉันไปดินเนอร์ด้วยกันสักมื้อนะคะ”

จ้าวเฉียนรีบยิ้มตอบทันทัว่า

“ผู้อำนวยการชางเป็นคนสุภาพจริงๆนะครับ ถ้าวันไหนเรามีเวลาว่างตรงกัน ลองหาโอกาสนั่งคุยกันสักครั้งจะดีมากเลยครับ ได้ข่าวว่าก่อนจะมาเป็นผู้อำนวยการสร้างหนัง เคยเป็นผู้กำกับสาวดาวรุ่งมาก่อน ด้วยความสามารถและประสบการณ์ของผู้อำนวยการชาง หวังว่าพวกเราจะมีโอกาสร่วมงานกันนะครับ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ”

จากนั้นจ้าวเฉียนก็หยิบนามบัตรพิเศษของตัวเองออกมา และมอบให้ชางอี้ไปโดยกล่าวเสริมไปว่า

“อันที่จริง วันไหนที่ผู้อำนวยการชางสะดวกออกมา อย่าลืมโทรหาผมนะครับ ผมจะนัดเวลาและสถานที่ให้ทันทีเลย”

ชางอี้รับนามบัตรของเขาขึ้นมาดู ทันใดนั้นเธอก็สะดุ้งโหย่วทันทีด้วยความตกใจ

จ้าวเฉียนมักจะพพกนามบัตรไว้สองชนิดอยู่เสมอ หนึ่งคือนามบัตรของบริษัทเกมฟางนี่ ภายในนั้นจะระบุถึงตัวตนของเขาในฐานะพนักงานของบริษัททั่วไป และอีกแบบหนึ่งคือนามบัตรพิเศษที่เขาเป็นคนทำขึ้นมาเองโดยเฉพาะ และแบบที่เขามอบให้กับชางอี้คือแบบพิเศษ

นามบัตรส่วนตัวของจ้าวเฉียนเองคิดว่ามันจะมีโปรไฟล์ยอดเยี่ยมขนาดไหน? นามบัตรชนิดนี้มีความพิเศษตั้งแต่ตัวบัตรแล้ว ตัวบัตรทำจากทองคำขาวบริสุทธิ์ และแต่ละใบจะมีรหัสคิวอาร์โค้ดที่แตกต่างกัน

ผู้ที่ได้รับนามบัตรทองคำขาวนี้จะสามารถใช้มือถือตัวเองสแกนเข้าไปในAPPพิเศษที่จ้าวเฉียนจัดทำขึ้นมาเองโดยเฉพาะได้ และจะทำการบันทึกทันทีว่า รหัสนามบัตรนี้ใครเป็นผู้ถือครอง

หากคิดว่านี่เป็นเพียงระบบฟังก์ชั่นสุดแสนธรรมดา คุณคิดผิด

ระบบจะเข้าตรวจสอบข้อมูลโทรศัพธ์มือถือของผู้ที่สแกนโค้ดดังกล่าวโดยอัตโนมัติ เพื่อดึงเอาข้อมูลบัตรประชาชนของบุคคลนั้นๆมา กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ จ้าวเฉียนต้องการทราบว่าบุคคลที่เขามอบนามบัตรพิเศษให้ เป็นใครและมีภูมิหลังยังไง

นอกเหนือจากฟังก์ชั่นสุดล้ำนี้แล้ว นามบัตรที่ทำมาจากทองคำขาวบริสุทธิ์ยังสวยงามอย่างมากเมื่อนำออกมาสู่สายตาสาธารณะ ใครก็ตามที่ได้รับนามบัตรพิเศษของจ้าวเฉียนไป ล้วนต้องคิดว่าจ้าวเฉียนไม่ใช่บุคคลธรรมดาทั่วไป และยังเป็นบุคคลที่ทรงอำนาจอย่างยิ่ง ใครๆก็อยากร่วมมือกับคนแบบนี้

ชางอี้รีบเก็บนามบัตรพิเศษของจ้าวเฉียนลงทันที เพราะว่าบรรดาเพื่อนร่วมงานของเธอจะมาเห็นเข้า และเข้ามาตีสนิทกับจ้าวเฉียนแทน

แม้แต่นามบัตรยังทำมาจากทองคำขาวอันมีมูลค่าหาประเมินไม่แบบนี้ นี่แสดงให้เห็นแล้วว่าหนุ่มหล่อตรงหน้าเธอทรงอิทธิพลเพียงใด อย่างน้อยที่สุด เรื่องเงินทุนสำหรับโปรเจคทำภาพยนตร์ย่อมไม่ขาดมือแน่นอน ดังนั้นเมื่อไหร่ก็ตามที่เขาเปิดโปรเจคใหม่ขึ้นมา เธอจะต้องไม่พลาดอย่างแน่นอน

“ประธานจ้าว ดิฉันภูมิใจจริงๆที่ได้รู้จักคุณ ช่วงสามวันนี้ดิฉันว่างค่ะ ถ้าประธานจ้าวสะดวกวันไหนนัดมาได้เลยค่ะ!”

ชางอี้ยิ้มกล่าวพร้อมน้ำเสียงที่ดูอ่อนน้อมขึ้นหลายส่วน แม้แต่สรรพนามเรียกแทนตัวเองยังดูสุภาพขึ้นทันตาเห็น

แค่พินิจจากนามบัตรทองคำขาวบริสุทธิ์ มันก็สามารถบอกอะไรได้หลายอย่างแล้วสำหรับภูมิหลังของหนุ่มหล่อผู้นี้

จ้าวเฉียนพยักหน้าและยิ้มตอบไปว่า

“งั้นผมจะจองห้องอาหารที่โรงแรมตงไห่เวลาบ่ายสามโมงของวันอังคาร พอผู้อำนวยการชางมาถึงก็แจ้งชื่อกับพนักงานได้เลย เดี๋ยวพวกเขาจะพาคุณขึ้นไปชั้นบนสุดเอง”

พอชางอี้ได้ยินคำว่าชั้นบนสุดของโรงแรมตงไห่ เธอก็ยิง่ประหลาดใจเป็นเท่าตัว และมั่นใจยิ่งกว่าเดิมทันทีว่า จ้าวเฉียนต้องไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปอย่างแน่นอน แค่ค่าอาหารทั่วไปในโรงแรมตงไห่ต่อมื้อก็เพียงพอสำหรับเลี้ยงชีพในเมืองใหญ่ตั้งปีหนึ่งเต็มๆ แล้วนี่…เป็นถึงชั้นบนสุดของโรงแรมตงไห่ แค่ค่าเปิดห้องเธอก็ไม่กล้าจินตนาการแล้ว

“ฮ่าฮ่า…ประธานจ้าวใจดีมากเลยค่ะ แล้วถ้าดิฉันพาผู้ช่วยไปด้วยสักสองคนจะได้ไหม เพื่อคุยเรื่องแนวทางในอนาคตกันไปเลย หวังว่าประธานจ้าวจะไม่รังเกียจใช่ไหม?”

ชางอี้เอ่ยถามอย่างถ่อมตัว

จ้าวเฉียนส่ายหัวกล่าวตอบไปว่า

“เรื่องแค่นี้เองครับ แถมดีซะกว่า ยิ่งคนเยอะยิ่งสนุกครับ ถือซะว่าเป็นการเพิ่มสีสันให้มื้ออาหาร ฮ่าฮ่า…ผมไม่รบกวนผู้อำนวยการชางแล้วดีกว่า เชิญพักผ่อนตามสบายเลยครับ”

“โอเคค่ะ ประธานจ้าว คุณหวาน ขอให้สนุกกับงานวันนี้นะคะ”

ชางอี้โบกมือส่งทั้งสองออกไปพร้อมท่าทีสุภาพยิ่งยวด

จ้าวเฉียนและหวานเจียงเดินแยกออกไปหยิบไวน์ในแต่ละโซนมา พร้อมยกขึ้นจิบกันเล็กน้อย

หวานเจียงเดินแบมือมาแต่ไกล ตรงมาหยุดตรงหน้าจ้าวเฉียน เอ่ยถามขึ้นว่า

“ขอนามบัตรหน่อย”

จ้าวเฉียนขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยถามไปว่า

“ยังไม่รู้จักฉันอีกรึไง ถึงได้ขอนามบัตร?”

“อย่ามาพูดไร้สาระ! เอามาให้ฉันเดี๋ยวนี้เลย!”

หวานเจียงคำรามสั่งในทันใด

จ้าวเฉียนยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ และหยิบนามบัตรธรรมดาออกมาให้หวานเจียง เธอเก็บใบนั้นใส่กระเป๋าถือทันที และแบมือขึ้นตรงหน้าจ้าวเฉียนอีกครั้ง

“ฉันต้องการนามบัตรแบบเดียวกับที่ผู้อำนวยการชางได้”

“โอ้ว…นามบัตรแบบนั้นใบละตั้ง30,000หยวนเชียวนะ จะหยิบให้คนอื่นง่ายๆได้ยังไง?”

ทันทีที่ได้ยินแบบนั้น หวานเจียงรู้สึกไม่พอใจอย่างมากและกล่าวขึ้นว่า

“นี่นายหมายความว่ายังไง? จะบอกว่าให้ความสำคัญกับเธอมากกว่าฉันงั้นเหรอ? นี่คิดจะดูถูกกันรึเปล่า?”

จ้าวเฉียนกล่าวตอบแบบส่งๆไปว่า

“ไม่ได้หมายความแบบนั้น ก็เธอรู้จักฉันดีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องปิดปังแสร้งทำเป็นคนจน แล้วจะเอานามบัตรแบบนั้นไปทำไม?”

หวานเจียงไม่ได้สนใจฟังคำอธิบายใดๆของเขาทั้งสิ้น เธอยื่นมือไปคว้านามบัตรทองคำขาวในกระเป๋าชุดสูทจ้าวเฉียน และยัดใส่กระเป๋าถือของเธอโดยตรง

ในเวลานั้นเอง หวานหลินก็พาหยางเฉิงและชายชราอีกสองสามคนตรงเข้ามาหา สีหน้าของเขามืดมนเล็กน้อย คิดว่าลูกสาวของเขามีปัญหากับชายหนุ้มที่พามาด้วย

“เสี่ยวเจียง เกิดอะไรขึ้น? เจ้าหนุ่มนี่ทำอะไรลูกรึเปล่า?”

หวานเจียงกระจางในทันทีว่าพ่อกำลังเข้าใจผิด เธอกล่าวตอบทันทีว่า

“ไม่มีอะไรค่ะ แค่หนูแกล้งเขานิดหน่อย”

ในเวลานั้นเองหวานเฉินก็เหลือบมองจ้าวเฉียนเล็กน้อย ก่อนจะแอ่ยถามลูกสาวตัวเองต่ออีกครั้งว่า

“เสี่ยวเจียง ยังมีเรื่องอะไรเกี่ยวกับเจ้าหนุ่มคนนี้ที่ยังไม่ได้บอกพ่ออีกไหม?”

หวานเจียงหันไปเห็นหยางเฉิงที่ยืนอยู่ด้านหลัง พลันเข้าใจเรื่องทั้งหมดโดยเร็ว เธอรีบอธิบายทันทีว่า

“พวกเราเป็นแค่เพื่อนกันจริงๆค่ะ ลุงหยาง ลุงเองก็น่าจะทราบดีนะคะว่าหนูคิดยังไงกับหยางหมิง หนูไม่อยากแต่งงานกับเขาจริงๆ หนูเองก็บอกไปตั้งนานแล้ว ก็เลยให้จ้าวเฉียนมาช่วยกันไว้เท่านั้น…”

หยางเฉิงไม่มีหน้าไปตำหนิหวานเจียงต่อหน้าพ่อของเธอได้ ดังนั้นเขาจึงมุ่งเป้าไปที่จ้าวเฉียนแทน

“เจ้าหนุ่ม นายคือคนที่ลุกขึ้นต่อสู้กับตระกูลหยางของฉันใช่ไหม?”

หยางเฉิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสุดหมองหม่น

จ้าวเฉียนแสยะยิ้มเชิดขึ้นบนมุมปาก เขาไม่มีท่าทีประหม่าแม้แต่น้อยแม้จะยืนอยู่ต่อหน้าหยางเฉิง แถมยังแสร้งตอบไปอย่างไร้เดียงสาไปว่า

“ผมไม่เห็นเข้าใจในสิ่งที่คุณหยางพูดมาเลย ทำไมผมต้องลุกขึ้นสู้กับคุณด้วย?”

“อย่าคิดว่าฉันไม่รู้ถึงความขับข้องใจระหว่างนายกับหยางหมิงลูกชายฉัน ในฐานะคนเป็นพ่อ ฉันจะเพิกเฉยได้ยังไง? อย่าคิดจะทำเรื่องเสียหายไปถึงเฟยอวี่ กรุ๊ปเชียว ฉันคิดว่านายเป็นคนฉลาดนะ คงเข้าใจดีว่าอะไรควรหรือไม่ควร นี่คือเช็คมูลค่าหนึ่งล้านรับไป คงรู้ใช่ไหมว่าควรประพฤติตัวอย่างไรในอนาคต?”

ตอนที่หยางเฉิงพูดจบ เขาก็เซ็นเช็คมูลค่าหนึ่งล้านหยวนและยัดในกระเป๋าเสื้อสูทของจ้าวเฉียน พร้อมท่าทีแสนหยิ่งผยอง

บรรดาชายชราที่อยู่ด้านหลังหยางเฉิงต่างแสยะยิ้มอย่างดูถูกดูแคลน ในความคิดของพวกเขา แค่เศษเงินจำนวนหนึ่งล้านจะต้องทำให้จ้าวเฉียนตาลุกวาวอย่างมากเป็นแน่