ตอนที่ 291 สหายสนิท

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

เฉิงเจียคุยจ้ออยู่นาน โจวเสาจิ่นก็ไม่ได้ตอบกลับเลยสักครั้ง

นางอดเงยหน้าขึ้นมาไม่ได้

กลับเห็นสีหน้าของโจวเสาจิ่นประหนึ่งกำลังขบคิดอะไรบางอย่างอยู่ตรงนั้นอย่างเหม่อลอย

เฉิงเจียไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง ตบไหล่ของโจวเสาจิ่นอย่างแรงไปฉาดหนึ่ง พร้อมกับบุ้ยปากกล่าวว่า “นี่! เจ้าเป็นอะไรไป ข้านับเจ้าเป็นสหายที่สนิทสนมและไว้ใจที่สุดของข้า เรื่องต่างๆ ที่ข้าไม่แม้แต่จะเล่าให้ท่านแม่ของข้าฟังล้วนเล่าให้เจ้าฟังทั้งหมด ไม่อยากจะเชื่อว่าเจ้าจะฟังอย่างใจลอย เจ้าช่างไม่สนใจกันเกินไปแล้ว!”

โจวเสาจิ่นถึงได้สติคืนกลับมา รีบกล่าวขอโทษอย่างรู้สึกผิดว่า “ขอโทษๆ! เป็นข้าที่ไม่ดีเอง พอข้าได้ฟังเจ้าเล่าว่าหลี่จิ้งดีกับเจ้าอย่างไรบ้างแล้ว รู้สึกอิจฉายิ่ง ก็เลยใจลอยไปสักหน่อย”

เฉิงเจียได้ยินแล้ว ก็เม้มปากหัวเราะขึ้นมา

ตัดสินใจยอมให้อภัยโจวเสาจิ่น

นัยน์ตาของนางมีความเขินอายสายหนึ่งวาบผ่าน กล่าวเสียงเบาว่า “เสาจิ่น เจ้าเป็นน้องสาวที่ดีที่สุดของข้า ข้าขอถามเจ้าสักหน่อย เจ้าคิดว่าพี่ชายจิ้งผู้นี้ไว้ใจได้หรือไม่”

โจวเสาจิ่นเอ่ยถามอย่างประหลาดใจว่า “เจ้าไม่เชื่อใจเขาหรือ ในเมื่อเจ้าไม่เชื่อใจเขา แล้วเหตุใดยังต้องลองใจเขาอีกเล่า”

เฉิงเจียบ่นอุบอิบว่า “ก็เพราะไม่รู้ว่าเขาจริงใจหรือเสแสร้งกันแน่ ดังนั้นข้าจึงอยากจะลองใจเขาดูสักหน่อย!”

โจวเสาจิ่นไม่เข้าใจ

นอกจากบิดากับพี่สาวแล้ว นางเชื่อใจท่านน้าฉือเพียงผู้เดียว

เฉิงเจียก็ไม่ได้คาดหวังให้นางมาเข้าใจแต่อย่างใด เอ่ยขึ้นอย่างกระวนกระวายว่า “ถ้าหากเขาเพียงลวงหลอกให้ข้าไปช่วยพูดกับท่านย่าให้เขาเท่านั้นจะทำอย่างไร ไม่ว่าอย่างไรข้าก็กลายเป็นที่ตลกขบขันของเมืองจินหลิงไปแล้ว จึงไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้สักเท่าใด แต่พอข้าคิดว่าตนเองจะถูกหลอกลวงขึ้นมา ในใจของข้าก็รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวไปจนถึงกระดูก…ทั้งยังรู้สึกลังเลไม่กล้าเดินหน้า…ตกลงข้าควรจะไปคุยกับท่านย่าหรือไม่ หากไปพูดกับท่านย่า จะบอกนางอย่างไรดี ข้าคงไม่อาจโพล่งทุกอย่างออกไปอย่างตรงไปตรงมาประหนึ่งเทเมล็ดถั่วลงในบ้องไม้ไผ่[1] เหมือนที่คุยกับเจ้าหรอกกระมัง”

นางพรูลมหายใจยาวออกมาครั้งหนึ่ง ลุกขึ้นแล้วเดินวนไปวนมาอยู่ภายในห้อง

โจวเสาจิ่นมองตาปริบๆ จู่ๆ ก็หวนนึกถึงชีวิตในชาติก่อนของตนเองขึ้นมา

ตอนที่เฉิงลู่บอกว่าชอบนาง นางก็เคยรู้สึกว้าวุ่นใจเช่นนี้เหมือนกัน

แต่เห็นได้ว่าตอนนั้นนางมิได้เชื่อในสิ่งที่เฉิงลู่พูดออกมา เพียงแต่ถูกล่อลวงให้หลงไปกับภาพลวงตาจอมปลอมที่ตนสร้างขึ้นมาเองก็เท่านั้น

เรื่องที่ต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะตัดสินใจได้ ความทุกข์ระทมที่ต้องนอนคิดจนนอนไม่หลับนั้นบัดนี้เมื่อนึกขึ้นมาแล้วก็ยังคงทำให้นางเต็มไปด้วยความหวาดกลัวอยู่

อย่างไรก็ตาม ความชอกช้ำของชาติที่แล้วเหล่านั้นนางควรจะจดจำได้อย่างชัดเจนเสมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ถึงจะถูก แต่เหตุใดหลังจากย้อนกลับมามีชีวิตใหม่ได้เพียงหนึ่งถึงสองปี นางถึงกับต้องรื้อฟื้นความทรงจำจึงจะนึกออกเล่า…

หรือว่าจะเป็นเพราะระยะนี้นางมีชีวิตอย่างสุขสบายมากเกินไป จนอยากจะลืมเรื่องราวเหล่านั้นไปทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจกันนะ

โจวเสาจิ่นขมวดคิ้วมุ่น

ทว่าถูกเฉิงเจียที่พลิกตัวกลับมาเห็นเข้าพอดี

เฉิงเจียบ่นอย่างไม่พอใจว่า “เสาจิ่น เจ้าขบคิดอะไรอีกแล้ว ไม่ว่าเรื่องอะไรข้าล้วนเล่าให้เจ้าฟังทุกอย่าง แต่เจ้ากลับทำตัวเป็นปริศนา เรื่องอะไรก็มักเก็บงำไว้ในใจ หากเจ้ายังทำตัวเช่นนี้กับข้าอีก วันหลังข้าจะไม่สนเจ้าแล้ว! มีความลับอะไรก็จะไม่บอกเจ้าอีกต่อไป”

โจวเสาจิ่นรีบตั้งสติ เอ่ยขึ้นว่า “มิใช่ว่าเจ้าถามข้าว่าควรทำอย่างไรหรอกหรือ ข้าก็กำลังช่วยเจ้าคิดอยู่อย่างไรเล่า!”

เฉิงเจียได้ยินแล้ว ทั้งดีใจและประหลาดใจ รีบลุกขึ้นมานั่ง จับมือของนางเอาไว้พลางกล่าวขึ้นว่า “น้องสาวคนดี เจ้ารีบบอกข้ามา ว่าตกลงข้าควรจะเชื่อพี่ชายจิ้งหรือไม่”

ดูจากเหตุการณ์ในชาติก่อนแล้ว หลี่จิ้งผู้นี้ค่อนข้างเชื่อถือได้

แต่เหตุการณ์ในชีวิตนี้เปลี่ยนแปลงไปมากถึงเพียงนี้ โจวเสาจิ่นจึงไม่กล้าตบอกรับประกันเช่นกันว่าเขาจะเป็นคู่หมายที่ดีของเฉิงเจีย

ระหว่างที่ลนลานอยู่นั้นก็บังเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา โจวเสาจิ่นเสนอว่า “หรือไม่ เจ้าก็ทดสอบเขาอีกสักครั้ง ไม่อย่างนั้นจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาจริงใจหรือไม่”

ใครจะรู้ว่าเฉิงเจียกลับเอ่ยออกมาอย่างเอียงอายว่า “ถ้าหากเขาเคืองโกรธขึ้นมาจะทำอย่างไร”

“อ่า!” โจวเสาจิ่นเบิกดวงตาโพลง

เฉิงเจียหน้าแดงขึ้นมาอย่างฉับพลัน กล่าวว่า “เจ้า…เจ้าเพิ่งจะพูดไปหยกๆ ว่าถ้าข้าเชื่อใจเขา ยังจะต้องทดสอบเขาไปอีกทำไมอยู่เลย หากข้าทดสอบเขาต่อไป จะมิใช่เป็นการบอกเขาหรอกหรือว่าข้าไม่เชื่อใจเขา…”

โจวเสาจิ่นลูบหน้าผาก กล่าวขึ้นว่า “เจ้าก็ไม่ต้องให้เขารู้ตัวก็ได้นี่นา!”

เฉิงเจียซักถามต่อว่า “แล้วข้าต้องทำอย่างไรถึงไม่ทำให้เขารู้ตัวได้”

โจวเสาจิ่นคิดแล้วคิดอีก กล่าวขึ้นว่า “หรือไม่ เจ้าก็ลองกลับคำพูดดู บอกว่าเรื่องคราวก่อนไม่นับ ให้เขามาพบกันใหม่อีกครั้ง”

เฉิงเจียผลักนางแรงๆ ไปทีหนึ่ง กล่าวอย่างโมโหว่า “นี่มันแผนการอะไรของเจ้า ข้าจะกลับคำพูดได้อย่างไร!”

โจวเสาจิ่นยิ้มอย่างกระดากอาย ทว่าในใจกลับนึกถึงเฉิงฉือ

เวลาอยู่ต่อหน้าท่านน้าฉือนางมักจะพูดอะไรตามที่ใจคิด ไม่รู้ว่าเคยกระทำเรื่องอะไรที่กลับคำพูดอย่างกะทันหันเช่นนี้บ้างหรือไม่ แต่ดูเหมือนว่าท่านน้าฉือจะไม่เคยโกรธนางอย่างจริงจังมาก่อนเลยสักครั้ง…อย่างเช่นตอนที่นางไปวางเพลิงที่จวนห้า ท่านน้าฉือก็ปกป้องนางไว้

เวลานั้นเฉิงฉือเพิ่งจะเคยเจอนางเพียงสองครั้งเท่านั้น…

โจวเสาจิ่นใจเต้นตึกตักดั่งกลองที่ถูกตีระรัว

ตั้งแต่เด็กจนโต ทุกคนต่างชมว่านางเป็นเด็กดีมีหน้าตางดงามและอยู่ในโอวาทผู้หนึ่ง ต่อมาเมื่อนางโตขึ้น ความคิดความอ่านก็ค่อยๆ มีเพิ่มมากขึ้น ถึงแม้ว่าสายตาที่ทุกคนมองนางจะเต็มไปด้วยความประทับใจในความงาม ทว่าน้อยนักที่คนจะเอ่ยชมนางซ้ำอีก

ตอนนั้นนางเพิ่งจะย้อนกลับมามีชีวิตใหม่ได้ไม่นาน ไม่ได้เก็บเนื้อเก็บตัวมากเหมือนชาติก่อน ท่านน้าฉือเองก็คิดเหมือนกันว่านาง…ดีมากหรือไม่นะ?

คิดถึงตรงนี้ นางรู้สึกราวกับว่าหัวใจถูกอาบไปด้วยน้ำผึ้งหวานละมุนก็ไม่ปาน…ยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

เฉิงเจียเอ่ยถามอย่างฉงนว่า “เจ้ายิ้มอะไร”

“เปล่าๆ!” โจวเสาจิ่นโบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน รู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่ควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่อยู่

เฉิงเจียบ่นพึมพำเบาๆ อยู่ตรงนั้น นางเองก็ไม่ยินไม่ค่อยชัดว่าเฉิงเจียพึมพำอะไรไปบ้าง แล้วก็ไม่มีอารมณ์ไปซักถามเฉิงเจียว่านางบ่นอะไรอยู่เช่นเดียวกัน

ต่อให้ท่านน้าฉือจะชอบนาง ก็เป็นเพราะนางเป็นคนรุ่นหลานที่ไปขอความโปรดปรานจากเขาผู้หนึ่งก็เท่านั้น จะช้าหรือเร็วเขาต้องแต่งงานสร้างครอบครัวอยู่ดี

เนื่องด้วยเหตุผลนี้ หลายวันมานี้ไม่รู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวมีความสุขมากเพียงไร ตกเงินรางวัลให้ข้ารับใช้ที่อยู่ข้างกายคนละสองเหลี่ยงไปซื้อของขนมขบเคี้ยว แม้แต่นางก็ยังได้รับลิ่มทองมาสองก้อนด้วย

ถึงเวลานั้นเมื่อน้าสะใภ้คนใหม่แต่งเข้ามาแล้ว ท่านน้าฉือไหนเลยจะยังปฏิบัติกับนางเป็นอย่างดีเฉกเช่นตอนนี้อีก

ครั้นความคิดนี้แล่นผ่านเข้ามาในหัว นางราวกับถูกควักหัวใจออกมา ปวดร้าวไปถึงขั้วหัวใจ

โจวเสาจิ่นอดเอามือกุมหน้าอกไม่ได้

นางรู้สึกเช่นนี้ได้อย่างไร

เมื่อท่านน้าฉือแต่งงานไป ย่อมต้องปฏิบัติกับภรรยาของเขาเป็นอย่างดี นี่…มิใช่สิ่งที่สมควรแล้วหรอกหรือ

ญาติใกล้ชิดกับญาติห่างๆ นั้นมีความแตกต่างกันอยู่ นางเป็นเพียงญาติห่างๆ ที่มาอาศัยอยู่ในจวนก็เท่านั้น

ท่านน้าฉือแต่งงานไปแล้ว มีคนที่ต้องใส่ใจแล้ว จึงเป็นธรรมดาที่จะเหินห่างจากนางออกไป

ก็เหมือนกับชาติที่แล้ว ต่อให้พี่ชายเก้าจะดีกับนางมากเพียงใด แต่เมื่อมีภรรยาและบุตรของตัวเองแล้วก็ย่อมยกภรรยาและบุตรมาเป็นที่หนึ่งในใจ

นี่นับเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ

แต่เหตุใดเพียงนางนึกถึงว่าเรื่องต่างๆ ที่ท่านน้าฉือเคยดีกับนางจะถูกริบกลับไปมอบให้ผู้อื่นแทน ก็รู้สึกเจ็บปวดใจจนอยากจะตายไปเสียให้ได้เช่นนี้

หรือว่าจะเป็นเพราะว่าช่วงนี้ท่านน้าฉือกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวปฏิบัติกับนางประหนึ่งนางเป็นคนในครอบครัวจริงๆ นางจึงเริ่มได้คืบจะเอาศอก ยิ่งเรียกร้องมากยิ่งขึ้น และยิ่งรู้สึกไม่พอใจมากยิ่งขึ้นกันนะ

นางกลายเป็นคนไม่รู้จักสำนึกในบุญคุณคนตั้งแต่เมื่อไร

สายตาของโจวเสาจิ่นเริ่มพร่ามัว ดวงหน้าอาบไปด้วยน้ำตา

เฉิงเจียกระโดดตัวโหยงขึ้นมาในทันที ร้องถามเสียงดังอย่างตระหนกตกใจว่า “เสาจิ่น เจ้าเป็นอะไร ข้าไม่ได้จะโทษเจ้าจริงๆ เสียหน่อย เจ้าร้องไห้ทำไม”

นางร้องไห้อย่างนั้นหรือ

โจวเสาจิ่นลูบดวงตา มือเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา ดวงตาราวกับถูกแทงจนปวดไปหมด น้ำตาไหลพรากลงมาอย่างห้ามไม่อยู่

“ขะ…ข้าไม่ได้ร้องไห้สักหน่อย!” นางพึมพำกล่าว

“เจ้าไปหลอกผีเถอะ!” ขณะที่เฉิงเจียกล่าว ก็หยิบผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งออกมายัดใส่มือของนาง แสร้งทำเป็นไม่แยแสเพื่อกลบเกลื่อนความกังวลใจของตัวเอง กล่าวเสียงดุว่า “รีบเช็ดน้ำตาเสีย เจ้ายังจะใช้หลังมือเช็ดน้ำตาอีก กิริยามารยาทที่พวกมามาอบรมสั่งสอนมาหายไปไหนหมดแล้ว ข้ายังไม่ร้องไห้เลย เจ้าจะร้องไปทำไม”

เฉิงเจียเรียกชุนหว่านสาวใช้ของนางเข้ามาปรนนิบัตินางล้างหน้าล้างตา

นางปล่อยให้ชุนหว่านจัดการไปอย่างเซื่องซึม รู้สึกเหน็บหนาวอยู่ในใจ ชั่วขณะนั้นไม่มีอารมณ์จะทำอะไรทั้งนั้น

หลังจากนั้นเฉิงเจียพูดอะไรไปบ้างนั้น นางสะลึมสะลือจำอะไรไม่ค่อยได้สักเท่าไร รู้เพียงว่าเฉิงเจียรั้งให้นางอยู่รับประทานมื้อเย็นด้วย นางไม่รู้สึกอยากอาหารเลยสักนิด จึงปฏิเสธเฉิงเจียไปอย่างหนักแน่น เดินโซซัดโซเซกลับไปที่เรือนฝูชุ่ย ตอนที่เดินขึ้นเรือนนั้นไม่รู้ว่าไปชนกับวงกบของประตูได้อย่างไร หน้าผากแดงเถือกเป็นปื้นใหญ่เลยทีเดียว

จู่ๆ นางก็ขาอ่อนทรุดตัวล้มลงไป

อย่างไรก็เป็นเช่นนี้ไปแล้ว ไม่ว่านางจะทำอย่างไร จะเร็วจะช้าท่านน้าฉือก็ต้องแต่งงานมีภรรยาและให้กำเนิดบุตรอยู่ดี จะเร็วจะช้าฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็จะได้มีความสุขกับการเลี้ยงหลานในช่วงบั้นปลายของชีวิต ไม่นานทุกคนก็จะลืมนาง…แล้วนางจะไปทำให้ผู้อื่นรังเกียจอีกทำไม!

โจวเสาจิ่นเอนกายนอนลงบนเตียงอย่างห่อเหี่ยว สั่งชุนหว่านไปอย่างไร้ชีวิตชีวาว่า “เจ้าไปแจ้งฮูหยินผู้เฒ่าที ข้ารู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย จึงไม่ไปคารวะนางแล้ว พรุ่งนี้เช้าค่อยไปสวดพระธรรมเป็นเพื่อนนาง”

ชุนหว่านเอ่ยถามอย่างเป็นกังวลว่า “ต้องการให้เชิญท่านหมอมาตรวจชีพจรของท่านสักคนหรือไม่เจ้าคะ”

“มิใช่เพราะเจ็บไข้ได้ป่วยจนลุกจากเตียงไม่ได้ จะตรวจชีพจรไปทำไม” โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างเซื่องซึม “เจ้าอย่าลืมว่า ในบ้านมีผู้อาวุโสอยู่ด้วยผู้หนึ่ง สิ่งที่คนชราต้องการหลีกเลี่ยงมากที่สุดก็คือเรื่องนี้ ต่อไปอย่าได้เอ่ยคำพูดเช่นนี้อีก เข้าใจหรือไม่”

ชุนหว่านขานรับ “เจ้าค่ะ” ทว่ากลับรู้สึกเป็นกังวลมากยิ่งขึ้น

อุปนิสัยของคุณหนูรองทั้งนุ่มนวลและอ่อนโยน ทุกคนต่างชื่นชอบนางเป็นอย่างยิ่ง

นางไปเจอผู้ใดก็มักจะยิ้มน้อยๆ ให้อย่างอ่อนหวาน ไม่เคยมีท่าทางหงอยเหงาเศร้าซึมดังเช่นตอนนี้มาก่อนเลยสักครั้ง

ไม่รู้ว่าคุณหนูเจียพูดอะไรกับคุณหนูรองบ้าง

ชุนหว่านครุ่นคิดอยู่ในใจ ขณะเดินไปรายงานฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่เรือนหลัก

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกำลังจะรับมื้อเย็นกับเฉิงฉือ ครั้นได้ยินว่าโจวเสาจิ่นกลับมาแล้ว จึงเลื่อนมื้อเย็นออกไป หมายจะรอให้โจวเสาจิ่นมาคารวะยามเย็นเพื่อสอบถามนางว่ารับมื้อเย็นมาแล้วหรือยัง อยากจะกินด้วยกันหรือไม่ คิดไม่ถึงว่าชุนหว่านจะมาแจ้งว่าโจวเสาจิ่นรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย จึงนอนพักผ่อนไปก่อนเสียแล้ว

เฉิงฉือไม่รอให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ซักถามก็กล่าวขึ้นก่อนว่า “คุณหนูเจียพูดอะไรกับคุณหนูรองของพวกเจ้ามาใช่หรือไม่”

ชุนหว่านยังไม่ทันได้ตอบ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็เอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจว่า “มิใช่ว่าเสาจิ่นไปเรือนเจียซู่หรอกหรือ ไฉนถึงไปข้องเกี่ยวกับหลานเจียได้เล่า”

เฉิงฉือกล่าว “ดูเหมือนว่าว่าหลานเจียกับพี่สะใภ้หลูจะมีปากเสียงกันด้วยเรื่องอะไรบางอย่างกันอีกแล้ว พี่สะใภ้หลูมาเชิญเสาจิ่นไปเกลี้ยกล่อมนางขอรับ”

แต่ก็ไม่น่าจะถึงกับต้องพาโจวเสาจิ่นออกจากเรือนเจียซู่ไปที่เรือนหรูอี้นี่นา

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยังรู้สึกข้องใจอยู่เล็กน้อย แต่ชุนหว่านกล่าวขึ้นมาก่อนว่า “ข้าก็ไม่ทราบเจ้าค่ะ พอคุณหนูรองเดินเข้าเรือนหรูอี้ไป คุณหนูเจียก็ไล่พวกข้าออกไปทั้งหมด รั้งให้คุณหนูรองอยู่คุยด้วยเพียงคนเดียวเท่านั้น ตอนที่คุณหนูรองออกมาจากห้องนัยน์ตาแดงก่ำ คล้ายกับว่าร้องไห้มา พวกบ่าวก็ไม่อาจซักถามอะไรมากเจ้าค่ะ…”

“กลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยังไม่ทันขบคิดให้ถ้วนถี่ ความเคลือบแคลงใจเหล่านั้นก็อันตรธานหายไป ลุกขึ้นมากล่าวกับเฉิงฉือว่า “ไปกัน พวกเราไปดูเสาจิ่นสักหน่อย! ก่อนหน้านี้ข้ายังกังวลว่าอาสะใภ้กวนของเจ้าจะพูดอะไรกับเสาจิ่น ทำให้เด็กคนนั้นต้องเสียใจ นึกไม่ถึงว่าอาสะใภ้กวนของเจ้าไม่ได้พูดอะไร แต่หลานเจียกลับ…เฮ้อ…”

ทว่าเฉิงฉือกลับกล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านแม่ มิใช่ว่าท่านพูดอยู่บ่อยๆ หรอกหรือว่า เด็กสาวนั้นอารมณ์แปรปรวน ประเดี๋ยวก็เหมือนลมประเดี๋ยวก็เหมือนฝน ในเมื่อนางรู้สึกไม่สบายใจ ท่านก็ปล่อยให้นางพักผ่อนอย่างสงบคนเดียวสักครู่หนึ่งจะดีกว่า ถ้าหากท่านไปเยี่ยม นอกจากนางจะต้องล้างหน้าล้างตาและแต่งตัวใหม่เพื่อต้อนรับท่านแล้ว ยังต้องฝืนทำตัวให้สดใสขณะสนทนากับท่านอีกด้วย”

“จริงด้วย!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะ แล้วนั่งลงไปใหม่อีกครั้ง กล่าวกับชุนหว่านว่า “เจ้ากลับไปบอกคุณหนูรองของพวกเจ้าว่า ให้นางพักผ่อนดีๆ หากพรุ่งนี้ยังรู้สึกเหนื่อยล้าอยู่ ก็ไม่ต้องมาสวดพระธรรมเป็นเพื่อนข้า วันพรุ่งนี้ข้าต้องไปเป็นแขกที่ตระกูลกู้ จะไม่พานางไปด้วยก็แล้วกัน”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวช่างใจดีจริงๆ!

ชุนหว่านถอยออกไปอย่างซาบซึ้งใจ

………………………………………………………………….

[1] เทเมล็ดถั่วลงในบ้องไม้ไผ่ (竹筒子里倒豆子) เปรียบเปรยถึงคนที่พูดอย่างตรงไปตรงมา ไม่ปิดบังหรือเก็บคำพูดใดๆ เหมือนการเทเมล็ดถั่วลงในบ้องไม้ไผ่ เมล็ดถั่วเหล่านั้นจะไหลผ่านบ้องไม้ไผ่ออกไปทั้งหมด