หลังจากนั้น เขาก็เดินกลับเข้าไปในบ้าน
“คุณพ่อ ทำไมคุณพ่อยังไม่ลุกขึ้นอีก?”
หลังจากผ่านไปนาน เย่กวงมองไปที่เย่เทียน
เย่เทียนพ่นลมอย่างเย็นชา “ขาของพ่อชาไปแล้ว ไอ้ลูกกตัญญู ยังไม่รีบไปช่วยพยุงพ่ออีก!”
เย่กวงกล่าวด้วยสีหน้าโศกเศร้า “คุณพ่อ ขาของผมก็ชาเหมือนกัน”
“คนไม่เอาถ่าน!”
เย่เทียนด่าแช่ง แล้วเหลือบมองเย่ชิว และถามอย่างเย็นชา “ขาของหลานชาเหมือนกันเหรอ?”
เย่ชิวกล่าวด้วยสีหน้าเจ็บปวด “คุณปู่ ขาของผมหักไปแล้ว!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สมาชิกของตระกูลเย่ก็พูดอะไรไม่ออก
“ทำไมพวกคุณตระกูลหลันยังไม่ลุกขึ้นอีกล่ะ? คิดจะคุกเข่าไปจนถึงตอนเช้าเลยเหรอ?”
เย่เทียนมองไปที่หลันเจิ้นและคนอื่น ๆ และอดไม่ได้ที่จะถาม
หลันเจิ้นพ่นลมออกมาอย่างเย็นชา “ฮึ่ม มีเพียงขาของพวกคุณเท่านั้นที่มีสิทธิ์ชาได้เหรอ? แล้วขาของพวกเราไม่มีสิทธิ์ชาเหรอ?”
ชั่วขณะหนึ่ง คนตระกูลเย่และตระกูลหลานแอบหลั่งน้ำตาอย่างเงียบงันอยู่ในใจ
หลังจากผ่านไปเป็นเวลานาน คนตระกูลเย่และตระกูลหลันก็ยืนขึ้นด้วยขาที่สั่นเทา
“คุณพ่อ ตอนนี้พวกเราควรทำยังไงดี?”
เย่กวงเอ่ยปากถาม
เย่เทียนจ้องมองเขาแวบหนึ่งและกล่าวว่า “ยังไม่รีบกลับอีก หรือจะอยู่ต่อให้อับอายผู้คน?”
ครืนๆ!
หลังจากกล่าวจบ คนตระกูลเย่ก็ขับรถออกไป
“ไอ้ลูกอกตัญญู ยังไม่รีบกลับไปกับพ่ออีก!”
โจวยี่นวดขาที่ชาของตนเอง และจ้องเขม็งไปที่โจวห้าว
สีหน้าของโจวห้าวเต็มไปด้วยเศร้า แล้วเขาก็เดินตามโจวยี่กลับไป
เมื่อเห็นเช่นนั้น หลันจื่อรีบเดินตามไปเช่นกัน
โจวห้าวขมวดคิ้วและถามว่า “คุณตามผมมาทำไม? ผมเคยบอกคุณแล้วว่าผมจะหย่ากับคุณไม่ใช่เหรอ?!”
หลันจื่อกล่าวด้วยสีหน้าอ้อนวอน “โจวห้าว ขอร้องคุณได้โปรดอย่าหย่ากับฉันเลย!”
“ไสหัวออกไป!”
โจวห้าวใช้มือผลักหลันจื่ออย่างแรง จนเธอล้มลงไปบนพื้น
หลังจากนั้นโจวห้าวก็เดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง
“โจวห้าว! ขอร้องคุณได้โปรดอย่าทิ้งฉัน!”
เมื่อเห็นโจวห้าวเดินจากไป หลันจื่อร้องไห้เสียงดัง
“ลูกอย่าร้องไห้อีกเลย พวกเรากลับกันเถอะ!”
หลันเฟิงเดินเข้าไปและถอนหายใจ
“คุณพ่อ ฉันจะหย่าแล้ว!”
หลันจื่อร้องไห้เสียงดัง
เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ หลันเจิ้นกล่าวทั้งน้ำตา “มันเป็นเวรกรรมอะไร!”
……
ขณะเดียวกัน ครอบครัวของเย่เมิ่งเหยียนกำลังนั่งอยู่ในรถฮัมเมอร์
หลายครั้งที่เย่เมิ่งเหยียนอยากจะพูดอะไรแต่ก็ไม่กล้าพูดออกมา
หยางเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ที่รัก ถ้าคุณมีเรื่องอะไรก็พูดออกมาตามตรงเถอะ!”
เย่เมิ่งเหยียนสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และถามว่า “หยางเฟิง คุณเป็นแม่ทัพเทพมรณะใช่ไหม?”
หลังจากถาม เย่เมิ่งเหยียนจ้องเขม็งไปที่หยางเฟิง
หลันซินและเย่ไห่ก็มองหยางเฟิงเช่นกัน
สิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนี้ ทำให้พวกเขาอยากรู้สถานะตัวตนของหยางเฟิงเป็นอย่างมาก
นักรบที่ยิ่งใหญ่ รถถังนับร้อยคัน เฮลิคอปเตอร์นับพันลำ…
ปรากฏตัวยิ่งใหญ่อลังการขนาดนี้ จะเป็นลูกเขยของตระกูลเย่ได้อย่างไร?
เมื่อเผชิญกับความอยากรู้อยากเห็นของเย่เมิ่งเหยียนและคนอื่น ๆ หยางเฟิงถามกลับด้วยรอยยิ้มว่า “คุณคาดหวังให้ผมเป็นแม่ทัพเทพมรณะเหรอ?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เย่เมิ่งเหยียนรู้สึกตกตะลึง
ตนเองคาดหวังให้หยางเฟิงเป็นแม่ทัพเทพมรณะเหรอ?
คำถามนี้ดังก้องอยู่ในสมองของเธอ
ถ้าเป็นเช่นนั้นหยางเฟิงก็จะอยู่เหนือผู้คน ชื่อเสียงสั่นสะท้านเกรียงไกรไปทั่วโลก
เธอเป็นเพียงคุณหนูใหญ่ที่ไม่มีความสำคัญของตระกูลเย่เท่านั้น
เมื่อถึงเวลานั้น ตนเองจะคู่ควรกับหยางเฟิงเหรอ?
เมื่อคิดถึงคำถามนี้ เย่เมิ่งเหยียนรู้สึกกระสับกระส่าย
เย่เมิ่งเหยียนก้มศีรษะลงและกล่าวว่า “ฉันไม่รู้!”
เมื่อได้ยินคำตอบของเย่เมิ่งเหยียนแล้ว หยางเฟิงหัวเราะเบา ๆ และกล่าวว่า “ผมไม่ใช่แม่ทัพเทพมรณะหรอก!”
อ้อ?
เย่เมิ่งเหยียนตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง และกล่าวด้วยความไม่อยากจะเชื่อ “เป็นไปได้อย่างไร? การปรากฏตัวที่ทรงพลังพลานุภาพขนาดนั้น แม้แต่เศรษฐีหม่าตงก็เคารพคุณ แล้วยังมีเสือขาวอีกด้วย…”
เย่เมิ่งเหยียนไม่สามารถพูดต่อไปได้อีก ทุกอย่างนี้มันสามารถพิสูจน์ให้เห็นว่าหยางเฟิงเป็นแม่ทัพเทพมรณะ!