คำพูดนั้นอ่อนโยนและอ่อนหวาน ความรักระหว่างชายและหญิงกลายเป็นหนามบางๆ ที่แทรกอยู่ในหัวใจของไป๋เสวี่ยฮุ่ย
นางได้ฟังคำพูดของเหลียนเหนียงและมองไปยังเหลียนเหนียง จนตอนนี้ก็มีโอกาสได้ดูการแต่งตัวของเอ้อร์เหนียงอย่างละเอียดแล้ว แน่นอนว่าต้องเป็นสินค้าจากร้านผ้าอี๋เจิน หากพูดถึงร้านผ้านั้นแล้ว มีเนื้อผ้าและรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของเมืองหลวง ราคาก็แพงตามวัตถุดิบของมัน ลูกค้าเกินครึ่งเป็นหญิงสาวในเมืองหลวง เสื้อผ้าของพวกนางส่วนใหญ่ก็มาจากที่นี่ แต่ว่า…ตัวนางเองแม้ว่าจะเป็นช่วงที่มีความสัมพันธ์กับอวิ๋นเสวียนฉั่งดีขนาดไหน อวิ๋นเสวียนฉั่งก็ไม่เคยพูดว่าจะเพิ่มเงินเพื่อให้ช่างตัดเสื้อรีบเร่งตัดมันในชั่วข้ามคืน
ในวัยเด็ก อวิ๋นเสวียนฉั่งเกิดมาในครอบครัวที่ยากจนเขามัธยัสถ์จนเกือบจะขี้เหนียวและเขาให้ความสำคัญกับเงินเป็นอย่างมาก ไป๋เสวี่ยฮุ่ยจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าตอนนี้เขาลุ่มหลงนังจิ้งจอกตัวนี้มากขนาดไหน…
มองกลับมาที่ตนเองที่พยายามรักษาตำแหน่งเรือนเอกไว้ให้ได้ ทั้งหมดเป็นเพราะต้องรักษาหน้าตาของน้องสาว ตอนนี้นายท่านบรรลุสิ่งที่ต้องการแล้วและก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งที่ต้องการแล้ว หากเหลียนเหนียงยังคงเป็นที่โปรดปรานไปตลอด ก็ยากที่จะรับประกันได้ว่านายท่านจะเปลี่ยนใจ ถึงเวลานั้นตนคงทนไม่ได้แน่ๆ ที่ต้องอยู่ภายใต้นังจิ้งจอกตัวนี้
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยมองเครื่องประดับบนหัวเหลียนเหนียงอีกครั้ง มันช่างบาดตาบาดใจนัก ต่างหูผีเสื้อนั่น สร้อยข้อมือปะการัง ที่ติดผมหินอ่อนสีขาว ปิ่นฝังอัญมณีรูปหัวใจ…อันไหนบ้างที่ไม่ได้มาจากทรัพย์สินส่วนตัวของนาง เดิมเป็นสินสมรสสำหรับลูกสาว ภายหลังถูกนายท่านและถงฮูหยินยึดไป เงินที่นางเก็บออมมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา มันก็เริ่มร่อยหรอลงเพราะนังจิ้งจอกนี่
หัวใจเหมือนถูกหินก้อนใหญ่บดทับลง ไป๋เสวี่ยฮุ่ยรู้สึกว่าตนเองไม่สามารถสวมหน้ากากได้อีกต่อไป แทบรอไม่ไหวที่จะฉีกกระชากเสื้อผ้าและเครื่องประดับของเหลียนเนียง หน้าอกของไป๋เสวี่ยฮุ่ยกระเพื่อมขึ้นลงสองสามครั้ง ล้วงมือเข้าไปในแขนเสื้อและหยิกตัวเองอย่างรุนแรงเพื่อให้ใจเย็นลง
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยไม่พอใจอวิ๋นหว่านชิ่นเป็นอย่างมาก ถึงจะรู้ล่วงหน้าแล้วว่าวันนี้นางจะมาที่นี่เพื่อพูดคุยเรื่องงานแต่ง แต่กลับมีเหลียนเหนียงคนนี้ตามมาอีก ในสายตาก็มองเห็นแต่เอ้อร์เหนียงคนนี้ จะเอาเวลาที่ไหนไปสนใจคนอื่นล่ะ ฟังชูซย่าที่ยืนอยู่หลังอวิ๋นหว่านชิ่น ตอบคำของเหลียนเหนียง “เอ้อร์เหนียงถูกเอาอกเอาใจมากจริงๆ แม้แต่คุณหนูใหญ่ที่กำลังจะแต่งเข้าวังในปีนี้ ยังไม่ได้ใส่เสื้อผ้าของร้านผ้าอี๋เจินเลย”
ใบหน้าของเหลียนเหนียงดูตื่นตระหนกและพูดเบาๆ “อนุภรรยาไม่กล้าเกินหน้าเกินตาคุณหนูใหญ่ เพียงแต่ เพียงแต่นายท่านต้องการซื้อให้อนุภรรยา อนุภรรยาไม่กล้า…”
ยังพูดไม่ทันจบ อวิ๋นหว่านชิ่นหันหัวไปทางชูซย่าแล้วพูดเล็กน้อย “เจ้าคนนี้นี่ อยากโดนตบมือหรือไง ใครอนุญาตให้เจ้าพูด ดูสิทำเอ้อร์เหนียงตกอกตกใจไปหมดแล้ว” พลางหันไปทางเหลียนเหนียง พูดด้วยท่าทีสบายใจว่า “ตอนนี้เอ้อร์เหนียงเป็นที่โปรดปรานที่สุดในตระกูล ถ้าอาจารย์อู้เต๋อพูดถูก รอให้ดอกไม้ฤดูใบไม้ผลิที่อบอุ่นเบ่งบาน ก็จะเป็นวีรสตรีของตระกูลอวิ๋นแล้ว เสื้อผ้างดงามและเครื่องประดับล้ำค่าพวกนี้จะอย่างไรกันเชียว สาวใช้ของข้าแค่พูดเรื่อยเปื่อยเท่านั้น เอ้อร์เหนียงอย่าได้ใส่ใจไปเลย”
เหลียนเหนียงถอนหายใจ ไป๋เสวี่ยฮุ่ยกลับขมวดคิ้ว อะไรคืออาจารย์อู้เต๋อ อะไรคือดอกไม้ฤดูใบไม้ผลิบาน อะไรคือวีรสตรีพลางมองไปยังอวิ๋นหว่านชิ่น
อวิ๋นหว่านชิ่นชำเลืองไปทางชูซย่า ชูซย่าจึงเอ่ยขึ้นมาว่า “ฮูหยินคงยังไม่รู้ หลวงจีนที่โด่งดั่งเรื่องทำนายจากวัดชานเมือง มาที่นี่เมื่อวานซืน ได้มาทำนายดวงชะตาของหญิงสาวหลังจวนเรือนด้านหลัง มีเพียงเอ้อร์เหนียงของพวกเราเท่านั้นที่มีบุญ หลวงจีนกล่าวว่าเอ้อร์เหนียงของเราจะคลอดลูกชาย สามปีอุ้มท้องสองคนนั้นไม่ใช่ปัญหา และยังตั้งท้องต้นปีอีกด้วย! เหล่าไท่ไท่ได้ยินดังนั้นก็ยินดีเป็นอย่างมาก ส่วนนายท่านยินดียิ่งกว่ามาก เรือนรองไม่ได้ให้กำเนิดบุตรมานานกว่าสิบปีแล้ว ตอนนี้ก็มีนายน้อยจิ่นจ้งเป็นทายาทเพียงคนเดียว นายท่านกับเหล่าไท่ไท่ก็ไม่สามารถมีทายาทได้ ถ้าเป็นจริงตามที่หลวงจีนพูด เอ้อร์เหนียงก็เป็นวีรสตรีไม่ใช่หรือ”
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยรู้สึกเหมือนมีอาวุธที่แหลมคมเฉือนเข้ามาที่หัวใจ เมื่อนึกย้อนไปถึงการแท้งบุตรในคืนที่ฝนตก ความเสียใจก็กลับมาอีกครั้ง เงยหน้าขึ้นมองอย่างเงียบๆ หญิงสาวที่นั่งตรงหน้า มีใบหน้าสีชมพูเลือดฝาด รูปร่างอิ่มเอิบจนเหมือนจะมีน้ำหยดออกมา เป็นที่รักของนายท่านขนาดนี้ ไม่จำเป็นต้องมีคำพูดจากหลวงจีน ไม่ช้าก็เร็วเดี๋ยวก็มีลูกชายอยู่ดี ความอึดอัดอั้นแน่นอยู่เต็มอก ทั้งความอิจฉาและความไม่ยินยอม ความเกลียดชังและความแค้นยิ่งเพิ่มทวีมากขึ้น ใบหน้าที่ซีดเซียวยิ้มออกมาเล็กน้อย “เช่นนี้นี่เอง ข้ามันไม่ได้เรื่อง นับจากวันนี้คงยากที่จะมีโอกาสที่จะแตกกิ่งก้านสาขาของตระกูลอวิ๋น ดูเหมือนว่าใบหน้าของเอ้อร์เหนียงจะมีความสุข จะต้องเป็นปีทองการคลอดบุตรอย่างแน่นอน จากนี้ไปก็จะต้องพึ่งพาเอ้อร์เหนียงแล้วล่ะ”
แม้ว่าเหลียนเหนียงจะมีน้ำเสียงที่ดูเขินอาย แต่ก็ยืดอกอย่างภูมิใจรับความรับผิดชอบที่สำคัญนี้อย่างไม่เกรงใจ “ขอบพระคุณสำหรับคำอวยพรของฮูหยิน วางใจอนุภรรยาอย่างข้าได้ ฮูหยินไม่ต้องกังวลไป”
ประโยค ‘ฮูหยินไม่ต้องกังวลไป’ ทำให้ไป๋เสวี่ยฮุ่ยมีท่าทางหนักแน่นมั่นคง ดวงตาและรอยยิ้มบนใบหน้าก็เพิ่มขึ้น
ไป๋ฮูหยินถูกขังอยู่หลายเดือน อารมณ์ก็หนักแน่นขึ้นไปทุกที อวิ๋นหว่านชิ่นเหล่มาทางนาง แต่นางก็ไม่ได้แสดงอาการอะไร ยิ่งทำให้รู้ว่านางมีความเกลียดชังมากยิ่งขึ้น
หลังจากพูดคุยกันอยู่สักพัก อวิ๋นหว่านชิ่นบอกไป๋เสวี่ยฮุ่ยเกี่ยวกับขั้นตอนและกระบวนการของวังหลวงที่มาต้อนรับนางในวันแต่งงาน และยังอธิบายสั้นๆ เกี่ยวกับกฎบางอย่างที่เฝิงมอมอสอนไว้
นี่เป็นโอกาสที่หาได้ยากสำหรับไป๋เสวี่ยฮุ่ยที่จะออกไปข้างนอก และมีโอกาสได้พบนายท่านอีกครั้ง อาจมีโอกาสได้พลิกฟื้นกลับมาก็ได้ นางต้องประพฤติตัวให้สง่างามและเหมาะสม นางจะต้องมีสมาธิและตั้งใจ อวิ๋นหว่านชิ่นไม่ได้อยากให้นางเป็นคนส่งออกเรือนอยู่แล้ว วันนี้ที่มาก็เพื่อให้นางได้ปะทะกับเหลียนเหนียงเท่านั้น อวิ๋นหว่านชิ่นเองก็พูดอย่างขอไปที พูดอย่างรวดเร็ว ไป๋เสวี่ยฮุ่ยฟังแล้วรู้สึกอลหม่าน แต่นางก็ทำได้แค่ตั้งใจฟังแล้วค่อยกลับมาย่อยเนื้อความที่นางต้องการสื่อในภายหลัง
เวลาเกือบเที่ยง ดวงอาทิตย์อยู่สูงขึ้น อวิ๋นหว่านชิ่นเหมือนจะเห็นอะไร แล้วหยุดเท้าลง “ไม่รู้ว่าที่ข้าพูดออกไปชัดเจนหรือไม่ มารดาฟังเข้าใจไหม “
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยพยักหน้า “ส่วนใหญ่ก็เข้าใจ ข้าจะกลับไปสรุปอีกที ถึงเวลานั้นข้าจะทำตามกฎระเบียบทุกอย่าง”
“เช่นนั้นก็ดี” อวิ๋นหว่านชิ่นพยักหน้า หันมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วยิ้ม “โอ้ ข้าพูดมาทั้งเช้าเลยหรือนี่ จริงด้วย ข้าได้ยินว่ามีวันเกิดของมารดาของเพื่อนร่วมงานบิดาคนนึง บิดาคงออกจากที่ทำงานก่อนเวลาเพื่อไปงานเลี้ยง เกรงว่าจะกลับมาเร็วๆ นี้ ในงานนี้จะต้องดื่มกันจนเมามายแน่ๆ หลังจากนั้นจะต้องไปที่หอสกาวจันทร์เหมือนเช่นปกติเป็นแน่ เอ้อร์เหนียงรีบไปที่นั่นก่อนเถอะ ตรงนี้ไม่มีอะไรแล้วล่ะ เดี๋ยวข้าพูดกับมารดาอีกสักพักก็จะไปแล้ว”
เหลียนเหนียงได้ยินว่าวันนี้นายท่านจะไปดื่มในงานวันเกิด กลับมาก่อนเวลา ลุกขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้ม “เอาล่ะ อนุภรรยาจะไปปรนนิบัติท่านก่อน” แล้วนางก็สังเกตเห็นท่าทางของไป๋ฮูหยินอย่างไม่ตั้งใจ รอยยิ้มบนหน้ายังไม่จางหาย “ถ้านายท่านกลับมาแล้วหาอนุภรรยาไม่เจอ เกรงว่าจะโมโห พาลพวกบ่าวไปอีก” พูดจบก็พาตงเจี่ยจากไป
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยมองไปที่เหลียนเหนียงอย่างรวดเร็ว พลันเหมือนเห็นตัวเองในวันวาน มือที่กำในแขนเสื้อก็คลายลง คลายแล้วก็บีบแน่น หากเหลียนเหนียงเป็นตนเองล่ะก็ นางก็จะกลายเป็นเช่นนางสวี่ซื่อน่ะสิ ไม่ ตนเองเทียบกับนางสวี่ซื่อไม่ได้ด้วยซ้ำ นางสวี่ซื่อแม้ว่าจะถูกนายท่านละเลย แต่เขาก็ไม่ได้ถูกทอดทิ้งให้อยู่ในกระท่อมเล็กๆ หลังหอบรรพบุรุษ แถมการกินอยู่ต่างกับอนุภรรยาโดยสิ้นเชิง
ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาในห้องนี้ นางเตือนตัวเองว่าวิธีเดียวที่ทำได้ตอนนี้ คือยอมลงก่อน และพยายามเจียมเนื้อเจียมตัว เวลาจะค่อยๆ ลดความโกรธของนายท่านและเหล่าไท่ไท่เอง พอมาอยู่ไปสักพัก ค่อยให้น้องสาวเข้ามาไกล่เกลี่ยให้ ถึงเวลานั้นอาจจะพลิกฟื้นกลับขึ้นมาก็ได้ แต่ตอนนี้ การปรากฎตัวของเอ้อร์เหนียงนี้ จะทำให้ความหวังนั้นเป็นไปได้อีกหรือไม่
เกรงว่าหากรอถึงวันนั้น เอ้อร์เหนียงคนนี้จะได้รับตำแหน่งไป
นางเดินทางมาเส้นทางอนุภรรยามาตลอด นางรู้ว่านางอนุภรรยาส่วนใหญ่ไม่เคยอยู่นิ่งสงบ แม้ว่าจะดูใสซื่อและไร้เดียงสา แต่พวกนางส่วนใหญ่มีแผนการของตัวเองทั้งนั้น โดยเฉพาะอนุภรรยาที่เป็นที่โปรดปราน พวกนี้ระวังและรอบคอบมาก หากท้องและเป็นบุตรชายละก็ ชีวิตดีจนไม่รู้จะดีอย่างไรแล้ว
แต่ถ้ารู้ว่า เอ้อร์เหนียงคนนี้จะเข้ามาทำลายโอกาสที่จะได้ฟื้นตัวกลับขึ้นไปแล้วอย่างไร ไป๋เสวี่ยฮุ่ยมองด้านหลังของเหลียนเหนียงที่ค่อยๆ เดินหายไป นัยน์ตาดูหม่นหมอง ขณะนี้ตนอยู่ที่นี่ จะออกไปก็ทำไม่ได้ จะลงมืออะไรก็ไม่ได้ จะทำอะไรกับเหลียนเหนียงได้บ้างเล่า
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยขบคิด ได้ยินเสียงของอวิ๋นหว่านชิ่นพูดทำลายความเงียบขึ้นมา “…ในวันแต่งงานมีแขกมาร่วมงานมากมาย มีสมาชิกราชวงศ์ที่มาร่วมแสดงความยินดีไม่ขาด นอกเหนือจากการจดจำกฎของวันแต่งงาน มารดายังต้องดูแลรูปโฉมตัวเองเล็กน้อย เสื้อผ้าเองก็ถึงเวลาผลัดเปลี่ยนแล้ว แต่หน้าตาก็ไม่สามารถหลอกใครได้ ข้าเห็นใบหน้าของมารดาซีดเซียวหมองคล้ำ เดินไม่กี่ก้าวก็แทบจะไม่ไหว”
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยกลับมาย้อนคิด หลังจากแท้งบุตรตอนนั้นการไหลเวียนโลหิตก็ติดขัดมาตลอด ถึงตอนนี้ยังคงมีเลือดไหลอยู่ แถมระดูก็มาไม่เป็นปกติ สีหน้าจะไปดูดีได้อย่างไรกันล่ะ ยังไม่ทันได้พูด ก็ได้ยินเสียงของอวิ๋นหว่านชิ่นพูดว่า “ชูซย่า ยังไม่เอาของมาอีก”