บทที่ 293: ราชทูตทั้ง 12 (1)

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

บทที่ 293: ราชทูตทั้ง 12 (1)

ฟึ่บ… แผนที่ค่อย ๆ คลี่ตัวออกกลางอากาศ เผยให้เห็นรายชื่อของชาติต่าง ๆ ที่อยู่ล้อมรอบจีนและชื่อของข้าราชการศักดินาทั้งหมดที่ยมโลกได้ส่งออกไป

ฉินเย่อ้าปากค้างและเดินไปหามันช้า ๆ เขาไล่นิ้วไปตามหน้ากระดาษ นี่คือผลจากความรุ่งโรจน์ที่คงอยู่มายาวนานกว่าพันปีของยมโลก แต่พวกเขาทั้งหมดกลับกลายเป็นข้าราชการศักดินาที่พยายามจะก้าวข้ามยมโลก !

มันคงไม่เป็นไรหากทั้งหมดนี่เป็นเพียงดินแดนที่เคยถูกอ้างสิทธิ์โดยยมโลกแห่งเก่า แต่สิ่งที่เขากลัวมากที่สุดก็คือการที่ดินแดนพวกนี้ถูกปกครองโดยข้าราชการศักดินาที่มีกองกำลังที่แข็งแกร่งอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาจนเขาไม่สามารถต่อต้านได้… เขาไม่ต้องการให้ยมโลกกลายเป็นสิ่งล่อตาล่อใจของคนเหล่านั้น เขาจะปล่อยให้ยมโลกดึงดูดความต้องการของคนเหล่านี้ไม่ได้เด็ดขาด !

“พวกเขาทั้งหมด… ยังมีชีวิตอยู่ในโลกใต้พิภพของตนเองอย่างนั้นหรือ ?” แม้แต่โนบูนางะก็อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงเมื่อเห็นรายชื่อทั้งหมด

คนทั้งหมดตกตะลึงเป็นอย่างมาก มันมีเขตแดนจำนวนมากที่ถูกทำเครื่องหมายด้วยสีแดงอยู่รอบจีน และแต่ละแห่งก็เป็นเหมือนตัวแทนของข้าราชการศักดินาทั้ง 12 ตน นอกจากนี้พวกเขาทั้งหมด… ต่างเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงแพร่สะพัดไปทั่วทุกมุมของชาติโดยรอบ

ทั้งหมดคือชื่อบุคคลในตำนานและนักรบผู้ยิ่งใหญ่ที่เคยมีชีวิตอยู่เมื่อร้อยปีก่อน แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับมุมมองที่ว่าเหล่าตำนานพวกนี้อาจกลายเป็นศัตรูกับพวกเขา เหล่าผู้นำของยมโลกต่างเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย

“เมื่อครั้งที่ข้าได้ยินว่าแผ่นดินจีนเคยมีรัฐบริวาร 11 รัฐและหนึ่งกองกำลังรักษาการณ์พิเศษ พวกเขาไม่ได้มีตำนานเป็นของตัวเอง ไม่สิ ข้าควรจะพูดว่านิทานพื้นบ้านและตำนานของพวกเขานั้นไม่เพียงพอที่จะทำให้เงื่อนไขในการก่อตั้งยมโลกของพวกเขาเองเป็นจริงได้” อาร์ทิสมองดูรายชื่อทั้งหมดด้วยความรู้สึกมากมายและเอ่ยต่อ “ดังนั้น ทางจีนจึงส่งข้าราชการศักดินาทั้ง 11 และกองกำลังรักษาการณ์พิเศษไปยังดินแดนเหล่านี้ ตั้งแต่นั้นมาพวกเขาก็ถูกเรียกว่าราชทูตทั้ง 12”

“ราชทูต ?” ฉินเย่มองรายชื่อทั้งหมดด้วยสายตาเหลือเชื่อ แต่ละคนล้วนเป็นบุคคลที่เขาชื่นชมทั้งสิ้น

อาร์ทิสละสายตาและเอ่ยด้วยเสียงที่จริงจัง “คำว่า ‘ราชทูต’ ทำให้เราได้เข้าใจถึงความยิ่งใหญ่และอิทธิพลของยมโลกแห่งเก่า มันแทบจะเหมือนกับว่าทั่วทั้งทวีปตะวันออกนั้นเป็นรัฐบริวารของยมโลก และมันก็ไม่มีผู้ใดสามารถหลบหนีจากเงื้อมมือของเราได้ พวกเราเคยยิ่งใหญ่และมีอำนาจเหนือหลายชาติ”

ฉินเย่ละสายตาออกจากรายชื่อทั้งหมดและถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน

น่าเสียดายที่ตอนนี้ราชทูตทั้ง 12 ได้มองกลับมาที่จีนไม่เหมือนกับเมื่อก่อนอีกต่อไป จากทั้ง 12… ใครบ้างที่ยังคงซื่อสัตย์ และใครบ้างที่ทรยศ ?

“ท่านถังหมิง หรือที่รู้จักกันในนามโจวกงจิน !” เขาอ่านรายชื่อแรกและครวญครางออกมาอย่างอดไม่ได้ “ไม่คิดเลยว่าเขาจะยังมีชีวิต… ชื่อที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้… ยังมีชีวิตและเดินไปมาอยู่ในโลกใต้พิภพ !” [1]

เหลือเชื่อ… นี่มันเหลือเชื่อมาก ความสำเร็จของชายผู้นี้ถูกลดทอนลงในละครเรื่องสามก๊ก หากอิงตามประวัติศาสตร์ กองกำลังหลักที่ช่วยทำลายโจโฉไม่ใช่จูกัดเหลียงแต่เป็นจิวยี่ ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ของเขาทำให้เกิดอาณาจักรหวู่ตะวันออก ! ไม่เหมือนกับภาพของเขาในสามก๊ก เขาไม่ใช่ชายผู้น่าสงสาร และเขาก็ไม่เคยเป็นคู่ต่อสู้กับจูกัดเหลียง และความตายของเขาก็ไม่ได้เกิดจากสาเหตุเดียวกัน หากกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ นิยายอิงประวัติศาสตร์เพียงต้องการวาดภาพให้จูกัดเหลียงเป็นตำนานที่ได้ร้อยคะแนนเต็มในกิจการภายในและ 80 คะแนนในงานบริหาร และขั้นบันไดที่ดีที่สุดในเรื่องย่อมต้องตกเป็นของจิวยี่ไปโดยปริยาย

หากปราศจากจิวยี่ จะมีใครได้รู้เกี่ยวกับความโง่ของทหาร 800,000 นายบนเรือที่ถูกผูกท้ายเรือติดกันบ้าง ? หากไม่มีจิวยี่ พวกเขาจะคิดกลอุบายการทำให้ตัวเองบาดเจ็บเพื่อที่จะเรียกความเชื่อใจจากศัตรูได้อย่างนั้นเหรอ ? [2] ทหาร 30,000 นายจะสามารถได้รับชัยชนะการจากต่อสู้กับหาร 800,000 นายในศึกที่ผาแดงได้อย่างไร ? [3]

ภาพที่ต้องเผชิญหน้ากับบุคคลในตำนานพวกนี้ทำให้ฉินเย่ขนลุกไปหมด โนบูนางะยังคงนิ่งเงียบ แต่ถึงกระนั้นดวงตาของเขากลับลุกโชนด้วยความมุ่งมั่นและความปรารถนาที่จะต่อสู้

“ท่านฉิน” ทันใดนั้นเองเขาก็ก้าวเท้าออกมา ประสานกำปั้นและเอ่ยกับฉินเย่อย่างเคารพ “หากโจวกงจินผู้นี้ตั้งตัวเป็นกบฏกับท่าน… ช่วยให้ข้าได้รับเกียรติทำศึกกับเขาด้วยเถิด !”

ฉินเย่ไม่ได้ตอบออกไปทันที เขารู้ดีว่าสามก๊กนั้นได้รับความนิยมมากเพียงใดในญี่ปุ่น มันยังสามารถเรียนรู้ประวัติศาสตร์ผ่านอนิเมชั่นญี่ปุ่นได้ด้วย ! ในแง่นี้ การเผชิญหน้าระหว่างราชาปีศาจแห่งสวรรค์ชั้นที่ 6 และจิวยี่จะต้องเป็นการต่อสู้ที่น่าเหลือเชื่ออย่างแน่นอน !

“เขาอาจจะไม่ได้คิดจะก่อกบฏก็ได้…” ฉินเย่ลูบตาของตัวเองและพึมพำออกมา “จิวยี่… เห้อ~… ช่างมันเถอะ ข้าเองก็ไม่แน่ใจเช่นกัน ไม่มีใครสามารถบอกได้อะไรทั้งนั้น เพราะสุดท้ายแล้ว… จักรวรรดิหวู่ตะวันออกและยมโลกแห่งเก่าไม่ได้มีอยู่อีกต่อไป ผู้ใดจะสามารถบอกได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ?”

พวกเขาจะสามารถคาดหวังความเมตตาจากวิญญาณร้ายที่มีอายุมานานกว่าพันปีได้มากสักเพียงใดเชียว ?

ต่อให้เป็นจิวยี่เองก็คงไม่สามารถข่มกลั้นความกระหายและปรารถนาภายในใจได้

“เข้าใจแล้ว” โนบูนางะก้าวถอยหลังไปอีกครั้ง ทว่าดวงตาของเขายังคงลุกโชนด้วยความมุ่งมั่น “แต่หากเขาตั้งตนเป็นกบฏ ได้โปรด… ปล่อยให้ข้าได้จัดการเขา !”

จิวยี่นั้นแข็งแกร่งกว่าโทกูงาวะ อิเอยาซุ หรือทาเกดะ ชิงเง็ง พยัคฆ์แห่งคาอิเสียอีก

นี่คือคู่ต่อสู้ที่เขา โอดะโนบูนางะใฝ่ฝันถึง !

ฉินเย่ชี้ไปที่แผนที่และเอ่ยต่อ “ท่านถังหมิงเคยก่อตั้งอาณาจักรที่ชื่อว่าอาณาจักรล้านช้าง ซึ่งประชากรส่วนใหญ่นั้นเป็นชาวลาว ในปีที่สองของจักรพรรดิหย่งเล่อแห่งราชวงศ์หมิง อาณาจักรล้านช้างนั้นได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการจากจีนในยุคสมัยนั้น และมันก็เป็นช่วงเวลาที่กลุ่มชาติพันธุ์หลักกลุ่มแรกของจีน กลุ่มลาวลุ่ม ปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกอีกด้วย… มันไม่ใช่สถานที่ที่สามารถมองข้ามได้” [4]

ไม่มีใครตอบ ทว่าแววตาของตนทั้งหมดกลับเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม อาณาจักรล้านช้างอาจจะไม่ได้สร้างชื่อให้เป็นที่รู้จักในช่วงไม่นานมานี้ แต่เมื่อนำมาอยู่กับชื่อของโจวกงจิน พวกเขายังคงสร้างกระแสในหมู่คนจำนวนมากได้อย่างไม่ต้องสงสัย !

ยิ่งกว่านั้น เขาไม่สามารถมองโลกใต้พิภพด้วยมุมมองของแดนมนุษย์ได้ ยกตัวอย่างเช่น ถึงแม้ว่าฮินดูสถานในแดนมนุษย์ถูกจู่โจมอยู่หลายครั้งในประวัติศาสตร์ แต่พวกเขาก็ยังคงเป็นหนึ่งในโลกใต้พิภพที่แข็งแกร่งและสูงส่งที่สุดในโลกในตอนนี้

นี่คือพลังของความศรัทธาและความเชื่อ

ฉินเย่ข่มคลื่นความรู้สึกภายในใจของเขาและมองไปยังจุดสีแดง “เจ้าศักดินาแห่งจักรวรรดิเขมร… กั๋วจื่ออี้… หนึ่งในสองแม่ทัพที่สร้างชื่อเสียงจากกบฏอันชื่อ ด้วยความสำเร็จมากมาย มันไม่น่าประหลาดใจเลยที่เขาจะถูกแต่งตั้งให้เป็นกษัตริย์ของที่นั่น… ข้าจะพูดความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยก็แล้วกัน ข้าอยากให้พวกเจ้าทุกตนคิดและวิเคราะห์ว่าใครในนี้อาจเป็นศัตรูของเรา และใคร—…”

เขาสูดหายใจเข้าช้า ๆ และเอ่ยต่อด้วยดวงตาที่เป็นประกาย “ใครที่จะสวามิภักดิ์ต่อยมโลกอีกครั้งหลังจากที่ได้รู้ข่าวเกี่ยวกับการก่อตั้งของยมโลกแห่งใหม่ !”

มันจะต้องมีบ้างสักตนสิ…

มันจะต้องมีคนที่เต็มใจจะสวามิภักดิ์ต่อเรา ! เด็กหนุ่มไม่เชื่อว่ารายชื่อทั้งหมดนี้จะมีความคิดเหมือนกับจักรพรรดิหวู่แห่งซ่ง ต่อให้มันจะมีแค่คนหรือสองคน กองกำลังของยมโลกก็จะแข็งแกร่งขึ้นมากอย่างไม่น่าเชื่ออยู่ดี !

“ท่านฉิน ข้าขอเวลาสักครู่” ทันใดนั้นเอง ซูตงเซวี่ยก็ลุกพรวดขึ้น โค้งคำนับอย่างเคารพก่อนจะเดินออกจากโถงเสริมและกลับมาอีกครั้งหลังจากผ่านไป 15 นาทีพร้อมกับชายสองคน

“พวกเขาคือ ?” ฉินเย่รู้สึกว่าเขาค่อนข้างคุ้นหน้าชายทั้งสอง พวกเขาน่าจะอยู่ในวัย 80 ปี และได้เสียชีวิตลงด้วยวัยชรา คนหนึ่งสูง ในขณะที่อีกคนหนึ่งค่อนข้างเตี้ย ทันทีที่พวกเขาเห็นฉินเย่ ชายทั้งสองก็รีบโค้งคำนับเด็กหนุ่มด้วยความเคารพทันที

“ท่านนี้คือนักประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงในมณฑลอันฮุ่ยและได้รับหน้าที่เป็นวิทยากรที่ปรึกษาให้กับสถานีโทรทัศน์หลายแห่งของจีนในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ในขณะที่ท่านนี้คือศาสตราจารย์ของภาควิชาประวัติศาสตร์ในมหาวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดในมณฑลอันฮุ่ย มหาวิทยาลัยอันฮุ่ย ความสำเร็จและเกียรติยศในด้านประวัติศาสตร์ของเขานั้นแทบจะไม่มีใครเทียบได้ในยุคของเขา” ซูตงเซวี่ยอธิบายอย่างใจเย็น อาจเป็นเพราะบุคคลที่นางพูดถึงไม่ได้หน้าตาดีก็เป็นได้ “ทางด้านซ้ายนี้คือศาสตราจารย์หลี่เจิ้งเชา ในขณะที่ทางด้านขวาคือศาสตราจารย์อันฮ่วย ข้าสังเกตเห็นประวัติของพวกเขาและจำมันเอาไว้ นายท่าน ท่านคิดว่า—…”

“ทำได้ดีมาก” ฉินเย่พยักหน้า ยมโลกยังขาดผู้มีพรสวรรค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีพรสวรรค์ระดับสูงอย่างชายทั้งสองที่ยืนอยู่ตรงหน้าของเขาตอนนี้

เขาพึงพอใจเป็นอย่างมากที่ซูตงเซวี่ยทำหน้าที่ของตนอย่างกระตือรือร้นในฐานะของผู้ตรวจสอบอดีตกรรม พรสวรรค์และทักษะซึ่งไม่จำเป็นที่จะต้องติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด อันที่จริง ผู้มีพรสวรรค์ส่วนใหญ่ที่ถูกมองว่าเป็นเช่นนั้นก็เพราะพวกเขาผ่านการฝึกฝนมาอย่างหนักตลอดหลายปี ในแง่นี้ ซูตงเซวี่ยควรค่าแก่ความเชื่อในเรื่องความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของนางอย่างเห็นได้ชัด นางได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่านางสามารถรับผิดชอบได้มากกว่านี้

ในทางกลับกัน บรรดาผู้ที่มีความพึงพอใจในตัวเองจะไม่มีทางได้เข้ามาอยู่ในความสนใจของฉินเย่ เด็กหนุ่มเต็มใจที่จะตัดผู้มีพรสวรรค์ออกไปพอ ๆ กับที่เขาเต็มใจที่จะออกไปตามหาผู้มีพรสวรรค์จากชาติอื่น หลังจากใช้ชีวิตมานานขนาดนี้ ความสัมพันธ์นั้นแทบจะไม่มีความหมายกับเขาเลยสักนิด

“ศาสตราจารย์หลี่ ศาสตราจารย์อัน เชิญ ไม่มีอะไรให้ต้องพูดมาก พวกเราเพียงแค่ต้องการจะรู้ว่าจากมุมมองทางประวัติศาสตร์แล้วนิสัยของบุคคลเหล่านี้เป็นอย่างไร ผู้ใดมีความเป็นไปได้ที่จะเดินทางกลับมายังบ้านเกิดและยอมสวามิภักดิ์ต่อเราอีกครั้ง และใคร… มีความเป็นไปได้ที่จะทรยศเราในอีกครึ่งปีข้างหน้า”

“รับทราบ” ศาสตราจารย์ทั้งสองปรับระดับแว่นตาของตนและเดินไปที่แผนที่ทันที เมื่อพวกเขาได้เห็นรายชื่อทั้งหมด ลมหายใจของพวกเขาก็ถี่ขึ้น และสายตาทั้งสองคู่ก็มองไปยังจุดแดงทั้งหมดบนแผนที่ราวกับเห็นผี

เวลานี้ ภายในโถงเสริมถูกปกคลุมด้วยเสียงลมหายใจที่ถี่รัวของศาสตราจารย์ทั้งสอง พวกเขาอุทานออกมาโดยไม่รู้ตัว

“เป็นไปได้อย่างไร…”

“ชายผู้นี้… ยังมีชีวิตอยู่ในยมโลกอย่างนั้นหรือ ?”

“ขุนพลผู้โด่งดัง… เทพแห่งสงครามผู้มีชื่อเสียงอยู่ในประวัติศาสตร์ราวกับดวงดาวที่เปล่งประกาย… เขายังมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร ?”

“พระเจ้า… หากเราได้ความช่วยเหลือจากเขา ไม่สิ… หากหนึ่งในรายชื่อพวกนี้ยอมสวามิภักด์กับเรา มันจะช่วยเหลือยมโลกในตอนนี้ได้มากทีเดียว !”

ไม่มีใครเอ่ยแทรกหรือขัดจังหวะพวกเขาขณะที่ทั้งสองวิเคราะห์ประวัติบุคคลทั้งหมดและนึกถึงความรู้ที่สั่งสมอยู่ในหัว หลังจากผ่านไปประมาณสิบนาทีเต็ม ทั้งสองก็หันกลับมามองด้วยแววตาที่แดงก่ำ เสียงที่เอ่ยออกมาสั่นเทาเล็กน้อย “นายท่าน… นี่มัน… นี่มันน่าเหลือเชื่อมากจริง ๆ…”

ศาสตราจารย์หลี่เอ่ยเสียงสั่นไม่แพ้กัน “บุคคลเหล่านี้… ทั้งหมดล้วนมีพรสวรรค์และคุณสมบัติเพียงพอที่จะครองโลก ! แม้ว่าการทำสงครามในสมัยใหม่ในอาณาจักรมนุษย์นั้นจะค่อนข้างแตกต่างออกไป แต่… จากสิ่งที่เราสามารถรับรู้ได้จากประกาศของท่านก่อนหน้านี้ การต่อสู้ในโลกใต้พิภพส่วนใหญ่ยังคงเกิดขึ้นโดยปราศจากอาวุธปืน หากเป็นในกรณีนั้น พวกเขาเหล่านี้… จะต้องเป็นแม่ทัพที่สามารถพลิกกระแสสงครามได้ด้วยตัวของพวกเขาเอง ! หากเพียงแค่หนึ่งในนั้นยอมเข้าร่วมกับยมโลกแห่งใหม่ มันก็จะช่วยส่งเสริมกองกำลังของเราอย่างมาก !”

ศาสตราจารย์อันดันแว่นสายตาของตนขึ้นอีกครั้งด้วยท่าทีตื่นเต้น “แน่นอน จำนวนประชากรในยมโลกนั้นมีมากกว่าแดนมนุษย์มาก แต่… ตราบใดที่ท่านสามารถทำให้พวกเขาร่วมมือกับเราได้ เราก็จะสามารถก้าวไปข้างหน้าได้อย่างสบาย ๆ! กองกำลังทหารของพวกเขาจะแข็งแกร่งขึ้นอย่างก้าวกระโดด ! แต่ข้าไม่กล้าพูดนักว่าพวกเขาจะมีอิทธิพลต่อการเมืองมากเพียงใด เพราะการเมืองในสมัยใหม่และอดีตนั้นแตกต่างกันมาก”

“ไม่เป็นไร เจ้าพูดมาเถอะ” ฉินเย่โบกมืออย่างไม่ใส่ใจนัก

“รับทราบ” ชายทั้งสองกลืนน้ำลายอย่างตื่นเต้น การได้มาวิเคราะห์เกี่ยวกับเหล่าบุคคลผู้มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์เหล่านี้ทำให้ศาสตราจารย์ทั้งสองตื่นเต้นเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมื่อราชทูตทั้ง 12 นี้ยังคงมีชีวิตอยู่ อันฮ่วนชี้ไปที่ชื่อของกั๋วจื่ออี้และเอ่ยต่อ “เรามาเริ่มจากศักดินาและอำนาจของพวกเขากันก่อน สิ่งหนึ่งที่ข้าสังเกตเห็นก็คือข้าราชการศักดินาแต่ละตนดูเหมือนจะได้รับหน้าที่ให้ปกครองดินแดนในลักษณะที่จงใจส่งเดช ยกตัวอย่างเช่น เวียดนามนั้นควรจะถูกมอบให้กับผู้ที่เหมาะสมกับมันที่สุดอย่างหม่าหยวน ซึ่งรู้จักกันในนามหม่าฝูโปว หนึ่งในขุนศึกผู้ยิ่งใหญ่ในสมัยราชวงศ์ฮั่น” [5]

“แม้แต่เขาฝูโปวในกุ้ยหลินก็ยังถูกตั้งตามชื่อของเขา นอกจากนี้… เขายังเป็นผู้คิดค้นต้นแบบการจำลองสงครามแซนด์บ็อกซ์ในสมัยใหม่อีกด้วย หม่าหยวนเป็นที่รู้จักอย่างดีในเรื่องการจำลองภูมิประเทศของสนามรบโดยการใช้กองเมล็ดข้าวเป็นจุดสังเกต หากพูดกันตามจริง นี่คือครั้งแรกที่ได้มีการบันทึกว่ามีการใช้แผนที่แบบ 3D ในสนามรบ”

“และไม่เพียงเท่านั้น ความสำเร็จในการพิชิตดินแดนของเขาในสมัยนั้นยังนำเขาไปสู่เจียวจื่อ หรือเวียดนามเหนือ ที่ซึ่งเขาได้ทำการสังหารกลุ่มกบฏจำนวนมากจนสามารถปราบปรามการก่อจลาจลทั้งหมดลงได้ หลังจากรักษาความมั่นคงของดินแดนเหล่านั้นได้ ท่านก็ได้สร้างเสาทองแดงสองเสาและปักลงบนพรมแกนใหม่เพื่อเป็นสัญลักษณ์ให้กับประชาชนและคำเตือนสำหรับพวกกบฏ โดยทั้งสองเสามีข้อความสลักเอาไว้ว่า “เมื่อใดที่เสาทองแดงพลังทลาย เมื่อนั้นจะเป็นวันล่มสลายของเจียวจื่อ” ด้วยข้อความที่สลักเอาไว้ ไม่มีชาวเวียดนามคนใดกล้าทำลายเสาดังกล่าว พวกเขาทำได้เพียงปาหินใส่มันขณะที่เดินผ่านเท่านั้น หินพวกนั้นกองกันมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเวลาผ่านไปจนก่อเป็นเนินเขาขนาดเล็กที่รู้จักกันในชื่อเขาฝูโปวที่เราเห็นกันมาจนถึงทุกวันนี้ ดังนั้นมันจึงเหมาะสมที่สุดที่เขาจะได้รับหน้าที่ให้เป็นกษัตริย์แห่งเจียวจื่อ ไม่มีผู้ใดกล้าคิดต่อต้านเขาแน่นอน”

อาร์ทิสที่ได้ยินเช่นนั้นจึงเอ่ยว่า “หากเป็นเช่นนั้น ดินแดนนั้นจะถือว่าเป็นเจียวจื่อของหม่าฝูโปวหรือว่ามันยังคงเป็นรัฐบริวารของยมโลกดังเดิม ?”

ชายทั้งสองเงียบไป

อาร์ทิสที่เห็นเช่นนั้นก็ส่งเสียงฮึดฮัด “มันเป็นเพราะเหตุผลนี้เองที่เราไม่สามารถปล่อยให้เขากลับไปที่เจียวจื่อได้ และมันก็เป็นเหตุผลด้วยว่าทำไมชายที่ถูกแต่งตั้งให้เป็นกษัตริย์แห่งเจียวจื่อถึงเป็นเกาฉางกง เจ้าชายแห่งหลานหลิง”

“พูดต่อเถอะ” ฉินเย่ไม่ได้สนใจการพูดคุยดังกล่าวนัก เขานั่งลงด้วยแววตาที่เป็นประกาย “ข้าอยากจะได้ยินว่าราชทูตทั้ง 12 นี้ได้สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองอย่างไรในช่วงเวลาของตัวเอง ที่สำคัญกว่านั้น ข้ายังอยากรู้ด้วยว่า… จะมีสักกี่คนที่ยังมีใจให้พวกเราบ้าง !”

[1] ตัวละครในสามก๊กที่จะถูกแนะนำเพิ่มเติมภายหลัง

[2] กลยุทธ์ทุกข์กาย กลยุทธ์ข้อที่ 34 ใน 36 กลยุทธ์ในสามก๊ก

[3] สงครามที่มีความสำคัญที่สุดสงครามหนึ่งในยุคปลายราชวงศ์ฮั่นในรัชสมัยของพระเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของยุคสามก๊กในเวลาต่อมา

[4] ล้านช้างคืออีกชื่อหนึ่งของอาณาจักรลาวในช่วงปีค.ศ. 1353 – ค.ศ.1707

[5] ขุนศึกและขุนนางในช่วงราชวงศ์ตะวันออกและเป็นพระบิดาของ จักรพรรดินีหม่า