“ไม่นานเพียงแค่เดือนเศษๆเท่านั้น” เยี่ยจิ่งหานยิ้มเพียงแต่ว่ารอยยิ้มนั้นน้อยนิดไม่ได้มากมายเข่นเดียวกัน

เดือนเศษๆก่อนหน้านี้เขาตกหลุมพรางของเผ่าเพลิงฟ้าทำให้ถูกพิษและสูญเสียความสามารถในการเคลื่อนไหว สุดท้ายก็ถูกหญิงผู้นั้นลากเข้าไปในทุ่งหญ้า จากนั้น……

เมื่อนึกถึงคืนนั้น ความเย็นยะเยือกของเยี่ยจิ่งหานก็หนักอึ้งขึ้นมาบางส่วน

“ความสง่างามของเทพแห่งสงครามไม่ได้ลดน้อยลงกว่าปีนั้น การต่อสู้ในป่าหิมะได้สังหารผู้อาวุโสสิบหกคนของเผ่าเพลิงฟ้าอย่างต่อเนื่องซึ่งช่างร้ายกาจจริงๆ”

“ไม่ได้เก่งกาจเท่าเผ่าเพลิงฟ้าที่กระทำเรื่องน่าละอายที่ไม่สามารถให้ผู้ใดเห็นได้อยู่ลับหลัง”

คำพูดประโยคเดียวของเยี่ยจิ่งหานปิดกั้นซะสนิทเสียแล้วและบรรยากาศก็ตึงเครียดขึ้นทันที

ความเกลียดชังของทั้งสองมีมาช้านานนั้นคั่นกลางหลายสิบชั่วอายุคนแล้ว ใช่ว่าจะสามารถสลายหายไปได้ในชั่วข้ามคืน

เปลงเพลิงแห่งการต่อสู้กำลังจะบังเกิด

ในการต่อสู้ปะทะกันของยอดฝีมือเช่นนี้ คนอื่นๆรอบข้างนั้นไม่สามารถเข้าร่วมได้จึงทำได้เพียงถอยออกสองสามก้าวเพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดหายนะ

ในขณะที่สงครามกำลังจะเริ่มต้นขึ้น

บนท้องฟ้าก็ได้เกิดเงาสีแดงดังเปลวไฟประกายหนึ่งพุ่งลงมา

ผู้ที่มานั้นก็เป็นชายหนุ่ม เพียงแต่ว่าชายหนุ่มผู้นี้ต่างจากชายหนุ่มในชุดสีขาวท่าทางงดงามเมื่อครู่นี้

ชุดสีแดงดังเปลวไฟนั้นเผยให้เห็นหน้าอกอันแข็งแกร่ง ผมดำขลับอันอ่อนนุ่มปลิวไสวตามสายลมเหลือไว้เพียงสองเส้นอยู่หลังใบหู

หน้าตาของเขาช่างหล่อเหลายิ่งนัก เส้นผมดังมีดคม คิ้วราวกับภาพวาดหมึก ใบหน้าดังกลีบดอกเหมย ดวงตาสีอ่อนราวดอกเหมยแฝงด้วยความเกียจคร้านอยู่บ้าง มืออันเรียวยาวงดงามราวกับหยก ลักษณะท่าทางอันเบื่อหน่ายนั้นม้วนเส้นผมหลังใบหู

ทันทีที่เขาปรากฏตัวทุกคนก็หันมามองเขาโดยพร้อมเพรียงกัน

โดยเฉพาะลูกน้องของเยี่ยจิ่งหาน แต่ละคนเต็มไปด้วยความระมัดระวังตัวและตื่นเต้น

จอมมารขมวดคิ้วเล็กน้อยจากนั้นน้ำเสียงอันไพเราะเสนาะหูก็เปล่งออกมาอย่างกระจ่างชัด

“ข้าหลงทางอีกแล้วหรือ? ภูเขาพิศวิญญาณไปอย่างไร?”

เยี่ยจิ่งหาน “……”

ชายชุดขาว “……”

เหล่าทหารรักขา “……”

จอมมารกำลังล้อเลียนพวกเขาหรือ?

ภูเขาพิศวิญญาณเต็มไปด้วยเสียงแห่งการสังหารกัน เปลวไฟทะยานสู่บนท้องฟ้า ตามแสงไฟไปหาก็สามารถพบภูเขาพิศวิญญาณได้ คำถามนี้ก็ช่างโง่เขลายิ่งนัก

จอมมารกวาดตามองไปโดนรอบแต่ไม่พบร่างอันมีเสน่ห์นั้น จากนั้นมือที่ม้วนเส้นผมได้วางลงอย่างเบื่อหน่าย

เขาไร้ซึ่งความสนใจจากนั้นเหลือบมองเยี่ยจิ่งหานกับชายหนุามชุดขาวแล้วกล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “พวกเจ้าสู้กันต่อเถอะ

เหล่าผู้อารักขาตกตะลึง

จอมมารจากไปเช่นนี้แล้วหรือ?

หรือว่าเขาไม่ได้มาเพื่อหนุนผู้นำกองธงกล้วยไม้?

ไปได้ก็ดี

เพียงแค่จอมมารไม่เข้ามายุ่ง ความเป็นความตายระหว่างท่านอ๋องและเผ่าเพลิงฟ้าถึงจะสามารถปรากฏออกมาได้

จู่ๆชายหนุ่มชุดขาวก็ยิ้มอย่างอบอุ่น น้ำเสียงอันอบอุ่นนั้นผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกับแสงจันทรา

“จอมมาร เยี่ยจิ่งหานส่งกองกำลังไปโจมตีภูเขาพิศวิญญาณและสังหารคนในเผ่าของท่าน ท่านในฐานะจอมมารมิใช่ว่าเกรงกลัวเขาดังนั้นจึงได้รีบร้อนจากไป”

คำพูดประโยคเดียวทำให้ฝีเท้าของจอมมารชะงัก

เขานึกขึ้นมาได้

ใช่แล้วนักฆ่าโลหิตเคยกล่าวว่าเยี่ยจิ่งหานต้องการทำลายให้หมด นำกองกำลังไปโจมตีสาขาของกองธงกล้วยไม้หมายมั่นเด็ดศีรษะของผู้นำกองธงกล้วยไม้

นักฆ่าโลหิตยังกล่าวอีกว่าพี่สาวกำลังเดินทางไปภูเขาพิศวิญญาณเขากลัวว่าพี่สาวจะเข้าใจผิดว่าเขาอยู่กับนักฆ่าโลหิต จึงส่งนักฆ่าโลหิตและสามผู้นำกองธงไปสนับสนุนผู้นำกองธงกล้วยไม้ก่อนแล้วขึ้นไปบนภูเขาเพียงลำพังเพื่อพบกับท่านพี่

คิดไม่ถึงว่าเขาจะหลงทางในภูเขาได้ ไม่เพียงแต่หาพี่สาวไม่พบเท่านั้นแล้วยังเดินวนอยู่หลายรอบด้วย

จู่ๆจอมมารก็ยิ้มด้วยความหมายอันไม่กระจ่างชัด และดูราวกับไร้ซึ่งความคิดที่จะจากไป

“เยี่ยจิ่งหานมิใช่ว่าช่วงนี้เจ้าเห็นว่ากล้ามเนื้อของข้าแปรเปลี่ยนไปมากจึงได้เกิดใจริษยา ดังนั้นจึงนำกองกำลังมาโจมตีเผ่าปีศาจของข้า?”

เหล่าผู้อารักทั้งหลายกระตุกมุมปากขึ้นกันทีละคนๆ

จอมมารผู้ที่ทุกคนนั้นเกรงกลัวเหตุใดถึงได้ดูราวกับคนโง่เง่า?

เขาเป็นจอมมารจริงๆหรือ?