บทที่ 292 เหมือนพูดกับคนบ้า!

จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来)

บทที่ 292 เหมือนพูดกับคนบ้า!

ฉู่ชวิ๋นไม่เหมือนหยานหวูซวง เย็นชา เด็ดขาด แข็งกร้าว ไม่เคยเกรงใจใครมาแต่ไหนแต่ไร เขาย่อมไม่กลัวการมีเรื่องอยู่แล้ว

เขาไม่สนหรอกว่าจะหอคอยโลหิตจันทราหรือหอบ้าบออะไร ถ้ากล้ามาหาเรื่องเขาจะฆ่าให้หมด

4 คนนี้กล้าขอให้เขาคุกเข่าขอร้อง ชีวิตนี้นอกจากพ่อแม่แล้วเขาไม่เคยคุกเข่าให้ใคร!

“หอคอยโลหิตจันทรา พวกแกนี่รนหาที่ตายจริงๆ” น้ำเสียงของฉู่ชวิ๋นไม่ปิดบังความอยากฆ่าเลยสักนิด

เขาจะฆ่ามันให้หมดทั้ง 4 คนเลย !

ในเมื่อมีความแค้นต่อกัน จะเกรงใจไปทำไม ต่อให้ตอนนี้เขาพูดดีแค่ไหนหอคอยโลหิตจันทราก็ไม่มีทางปล่อยเขาไปแน่ๆ

ทุกคนตกตะลึง ฉู่ชวิ๋นแข็งกร้าวมาก ทุบตีอีกฝ่ายจนอ่วมยังไม่พอ นี่เขาจะปลิดชีพอีกฝ่ายด้วยงั้นเหรอ

วิถีการของเขาคล้ายจอมมารฉู่อยู่ไม่น้อยจริงๆ

“ไอ้หนู พวกเราเป็นคนของหอคอยโลหิตจันทรา แกกล้า…”

“กร๊อบ”

เสียงกระดูกหักดังขึ้น คอของจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 4 ที่ข่มขู่ฉู่ชวิ๋นหักทันที

“โง่สุด ๆ เลยนะ เวลาแบบนี้แกยังกล้ามาขู่ฉันอีกเหรอ ใครให้ความกล้าพวกนายมาหะ” ฉู่ชวิ๋นดูหมิ่นเหยียดหยามพวกเขาสุดๆ ถ้าพูดไร้สาระให้น้อยลงหน่อยฉู่ชวิ๋นอาจจะเหลือชีวิตง่อยๆ ไว้ให้แล้วแท้ๆ

จอมยุทธ์ ณ ที่นั้นเงียบกริบ สายตาที่มองฉู่ชวิ๋นเต็มไปด้วยความตื่นกลัวและตกตะลึง พ่อหนุ่มคนนี้โผล่มาจากไหนกัน พวกเขาเป็นคนของหอคอยโลหิตจันทราเลยนะ นึกจะฆ่าก็ฆ่าเลยเหรอ

อีก 3 คนที่เหลือกลัวจนหนังหัวชา แววตาหวาดกลัว

“ที่นี่ตระกูลหยาน แกห้าม…”

“กร๊อบ”

คอของคนที่พูดโดนเหยียบจนหัก ตามลงในทันที

“ห้ามอะไร ห้ามฆ่าพวกแกเหรอแล้วจะรอให้พวกแกมาฆ่าฉันหรือไง”

ฉู่ชวิ๋นรู้สึกตลกคนพวกนี้มาก บนโลกใบนี้มักจะมีพวกโง่ที่ไม่เจียมเนื้อเจียมตัวอยู่ พวกมันคิดว่าชีวิตของคนอื่นไม่สำคัญหรือไง สมควรตายจริง ๆ

ตอนที่คนพวกนี้ฆ่าข่มขืนผู้หญิงธรรมดา ๆ พวกมันยังคิดว่าสมควรแล้ว บ้าที่สุด ผู้หญิงคนที่ต้องตายไปอย่างอนาถพวกนั้นไม่มีพ่อมีแม่หรือไง

ฉู่ชวิ๋นนึกไปถึงตอนที่โดนส่งเข้าคุกโดยไร้สาเหตุ จนสุดท้ายต้องตายอย่างน่าอดสูในนั้น เขาในตอนนั้นก็เหมือนกับผู้หญิงธรรมดาพวกนี้ ต้องโดนคนอื่นรังแกข่มเหงโดยทำอะไรไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะทะลุมิติไปที่ดินแดนเซียนเพราะโชคช่วย ตัวเขาเองก็คงเป็นได้แค่ผีร้ายที่ตายอย่างไร้ความเป็นธรรม ใครจะมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้ตัวเขา

“คุณชายหยาน ช่วยด้วย…”

2 คนที่เหลือกลัวจนวิญญาณกระเจิง ปกติแค่เอ่ยนามหอคอยโลหิตจันทรา ผู้คนก็แทบจะตัวสั่นเดินหนีไป

แต่ไอ้หนุ่มนี้ไม่สนเลยสักนิด พวกเขานึกเสียใจที่ไปหาเรื่องอีกฝ่ายในตอนแรก

“กร๊อบ”

เสียงกระดูกแตกอันแสบหูดังขึ้น เขาเหยียบอีกฝ่ายจนคอหักอีกแล้ว

“คุณชายสกปรก (จัง พ้องเสียงกับคำว่า สกปรก) คนนี้พูดถูก คนที่ไม่เจียมเนื้อเจียมตัวน่ะมีมากเกินไป คุณชายหยานจะเอาเวลาที่ไหนไปคอยเช็ดคอยล้างให้พวกนาย” ฉู่ชวิ๋นแกล้งออกเสียงจากจังที่เป็นแซ่ของเขา เป็นจังที่แปลว่าสกปรก ปฏิกิริยาของจังเฟิงหลิงเมื่อกี้ทำให้เขาไม่พอใจมาก มันบังอาจปล่อยให้เขาต้องอับอาย ถ้าเป็นคนอื่นจะทำยังไง

ทัศนคติของฉู่ชวิ๋นก็คือ คนที่ทำให้เขาไม่พอใจจะอยู่อย่างสุดสบายไม่ได้ !พวกแกทำให้ฉันไม่มีความสุขแล้วพวกแกจะไปมีความสุขได้ยังไง แบบนี้ยิ่งทำให้เขาไม่พอใจไปใหญ่ เพราะฉะนั้น ตอนที่ฉันไม่มีความสุข พวกแกก็อย่าหวัง

เสียงแตกต่างระหว่างจังที่เป็นแซ่กับจังที่แปลว่าสกปรกชัดเจนมาก ทุกคนฟังออกหมด และแอบคิดในใจว่าฉู่ชวิ๋นนี่ช่างเป็นไอ้โง่จริงๆ กับจังเฟิงหลิงยังกล้าพูดจาเสียดสี

ควรรู้ไว้ว่าคนเหล่านี้โอหังเพราะชื่อเสียงเรียงนามของหอคอยโลหิตจันทรา แต่จังเฟิงหลิงน่ะอยู่ได้ด้วยกำลังของตัวเองล้วนๆ ทั้ง 2 แตกต่างกันมาก

ทุกคนเงียบงัน จังเฟิงหลิงสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง เหมือนไม่รู้ว่าฉู่ชวิ๋นเสียดสีเขาอยู่

แน่นอนว่าทุกคนรู้ว่าแค่เหมือนเท่านั้น ไม่ใช่ว่าจังเฟิงหลิงไม่รู้จริงๆหรอก ความนิ่งแบบนี้ต่างหากที่น่ากลัว

สีหน้าของหยานหวูซวงก็นิ่งเฉยเหมือนกัน เขาไม่มีทีท่าว่าจะห้ามฉู่ชวิ๋น

สายตาคู่สวยของเหยาไป๋เยวี่ยกรอกไปมาขณะที่มองฉู่ชวิ๋นอย่างพิจารณา เหมือนกำลังสำรวจว่าฉู่ชวิ๋นเอาอะไรมาแข็งกร้าวขนาดนี้

ตอนนี้ใน 4 คนจากหอคอยโลหิตจันทราเหลือแค่จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 5 ที่ก่อกวนโวยวายในตอนแรก เขาหน้าบิดปากเบี้ยว สายตาหวาดกลัวถึงขีดสุด

“ไว้ชีวิตด้วย….”

“กร๊อบ”

ฉู่ชวิ๋นย่ำลงไปเหมือนเหยียบมดตายตัวหนึ่ง อีกฝ่ายไม่อาจต่อต้านได้เลยแม้แต่น้อย

“ไว้ชีวิตบ้าบออะไรกัน คนอื่นตายกันหมดแล้ว ถ้าแกยังมีชีวิตจะไม่ยุติธรรมไปหน่อยเหรอ พวกแก 4 คนลงไปนรกแล้วจะได้ครบวงไพ่นกกระจอกพอดีไง” ฉู่ชวิ๋นเอ่ยขึ้นอย่างสบายใจ

จอมยุทธ์ทุกคนรู้สึกหวาดกลัว พ่อหนุ่มคนนี้เด็ดขาดจริงๆ เรียกได้ว่าไร้ความกังขาดใดๆ อยากฆ่าก็ฆ่า

ทั้งหมดเงียบงันขนาดที่แค่เสียงเข็มตกก็คงได้ยิน

ฉู่ชวิ๋นมอง 4 คนที่นั่งร่วมโต๊ะกับเขาแล้วกล่าวขึ้น “สหายทั้งหลาย

ดูเหมือนฉันจะเข้าร่วมสำนักพวกนายไม่ได้แล้วล่ะ ความหวังดีของพวกนายฉันรับไว้ด้วยใจ”

ความหมายของคำพูดฉู่ชวิ๋นชัดเจนมาก แบบนี้เท่ากับเขาอีก 4 คนแค่รู้จักผ่าน ๆ เท่านั้น

4 คนนี้ก็ไม่ใช่คนโง่ พวกเขามองฉู่ชวิ๋นอย่างขอบคุณ 1 ในนั้นประสานมือ “พวกเรามีตาแต่หามีแววไม่ นึกว่าพ่อหนุ่ม…ผู้อาวุโสเป็นเพียงจอมยุทธ์ไร้สังกัดธรรมดา ๆ เท่านั้น หวังว่าท่านจะให้อภัยกับความหยาบคายของพวกเราด้วย”

ทุกคนฟังจนเข้าใจแล้วว่า 4 คนนี้หวังจะชักชวนไอ้หนุ่่มคนนี้เข้าสำนักด้วย แต่คิดไม่ถึงเลยว่าความสามารถของพ่อหนุ่มคนนี้ไปเป็นเจ้าสำนักให้พวกเขาได้สบายๆ

“สหายฝีมือดีนี่” จังเฟิงหลิงเอ่ยขึ้น

ทุกคนใจกระตุกวูบ จังเฟิงหลิงจะหาเรื่องแล้วหรือ

ฉู่ชวิ๋นมองไปที่เขา “นิดหน่อย ๆ”

ทุกคนหมดคำพูด นี่มันคำตอบประเภทไหนกัน ไร้มารยาทสุด ๆ

ไม่ว่าจังเฟิงหลิงไปที่ไหนก็ล้วนแล้วแต่เป็นแขกผู้มีเกียรติ ใครจะกล้าเสียมารยาทด้วย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาถูกเมินเฉยใส่ เขาชะงักไปในทันที

“ขอถามสหายหน่อยว่ามาจากสำนักไหน” น้ำเสียงของจังเฟิงหลิงไร้อารมณ์ มันง่ายมากที่จะเก็บซ่อนสิ่งที่คิดไว้ในใจสำหรับคนแบบเขา

“ไม่มีสำนัก ก็แค่จอมยุทธ์พเนจรธรรมดา” ฉู่ชวิ๋นบอกอย่างไม่คิดอะไร

เอ่อ….มุมปากจังเฟิงหลิงกระตุกนิดหน่อย แอบบ่นในใจว่าไอ้นี่คุยกับคนอื่นไม่เป็นจริงๆ เขาไม่รู้จะพูดยังไงดีแล้ว

หยานหวูซวงสั่งให้คนมาเอาศพทั้ง 4 ของหอคอยโลหิตจันทราออกไป ก่อนจะมองไปที่ฉู่ชวิ๋นและประสานมือ “ฉันหยานหวูซวง”

“ชื่อดีๆ” ฉู่ชวิ๋นชม

โฉมงามนั้นงามเพียงใด ชายหนุ่มคนนีก็งามเพียงนั้น ชื่อหยานหวูซวงนี่ไม่เลวจริงๆ

เอิ่ม

หยานหวูซวงก็ชะงักไปเช่นกัน ตามปกติแล้วฉู่ชวิ๋นควรจะบอกชื่อแซ่ตัวเอง จึงจะถือได้ว่ามีถามมีตอบ นับเป็นการพูดคุยกันทั้ง 2 ฝ่าย ใครให้นายมาชมชื่อฉัน

จังเฟิงหลิงรู้สึกสบายใจขึ้นเยอะ ที่แท้ไอ้บ้านี่เป็นคนไร้ศิลปะการพูดคุยจริงๆ ไม่ใช่แค่กับเขาเท่านั้น

“สหาย เชิญมานั่งทางนี้” จังเฟิงหลิงเอ่ยปากให้ฉู่ชวิ๋นไปนั่งโต๊ะเดียวกับเขา จะได้สืบเสาะที่มาที่ไปของฉู่ชวิ๋นด้วย

“ไม่ไป” ฉู่ชวิ๋นปฏิเสธทันที

“ทำไม” จังเฟิงหลิงเริ่มจะคลุ้มคลั่ง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเชื้อเชิญใครแล้วโดนปฏิเสธ ความรู้สึกแบบนี้มันอัดอั้นจนปวดหัวใจจริงๆ

“ฉันกลัวว่าถ้าไปแล้วนายจะลอบทำร้ายฉัน” ฉู่ชวิ๋นบอก

“ทำไมกัน” จังเฟิงหลิงดวงตาเบิกกว้าง เขาสาบานว่าไม่ได้คิดแบบนั้นเลย

“ฉันฆ่าคนของหอคอยโลหิตจันทราไป นายไม่แก้แค้นให้พวกเขาเหรอ”

ฉู่ชวิ๋นเอ่ย

“ฉัน…” จังเฟิงหลิงจะคลั่งแล้วจริงๆ เขาสาบานว่าชาตินี้ยังไม่เคยเจอคนที่ไร้ศิลปะการพูดคุยเท่านี้มาก่อน

เขาไม่ใช่คนโง่ ก่อนที่จะรู้ที่มาที่ไปของฉู่ชวิ๋นเขาจะไม่ทะเล่อทะล่าลงมือเด็ดขาด เขาอดกลั้นความวู่วามที่อยากจะทุบตีอีกฝ่ายให้ตายไว้ ก่อนจะกล่าวยิ้มๆ “สหายเข้าใจผิดแล้ว ฉันไม่รู้จักกับพวกเขา อีกอย่าง ต่อให้ฉันจะลอบทำร้ายด้วยวรยุทธของสหายร้ายกาจขนาดนี้ ฉันลงมือก็ไม่มีโอกาสทำสำเร็จหรอก”

“พูดแบบนี้ก็ถูกนะ” ฉู่ชวิ๋นพูดไปพลางเดินเข้าไป

“ฉัน….@¥%” จังเฟิงหลิงคลั่งแล้วจริงๆ เขาแค่พูดเป็นธรรมเนียมเท่านั้น พูดเป็นธรรมเนียมเข้าใจมั้ย

ทุกคนกลั้นหายใจจนเหนื่อย พ่อหนุ่มคนนี้ไม่มีความเกรงใจเลยจริงๆ

จังเฟิงหลิงแค่บอกเป็นธรรมเนียมนายดันจริงจังซะงั้น

ฉู่ชวิ๋นเดินเข้าไปและนั่งลง แถมยังนั่งลงข้างจังเฟิงหลิงอย่างไม่คิดอะไรอีกด้วย ในสายตาคนอื่นดูเหมือนว่าเขาจะไม่กลัวจังเฟิงหลิงลงมือเลยจริงๆ

มุมปากจังเฟิงหลิงกระตุกแล้วกระตุกอีก กระตุกแล้วกระตุกอีก อย่างกับเต้นระบำ เห็นได้ว่าเขาจะคลุ้มคลั่งแล้วจริงๆ

“สวัสดีเทพธิดาเยวี่ย” ฉู่ชวิ๋นทักทายเหยาไป๋เยวี่ย

เหยาไป๋เยวี่ยชะงักไป ก่อนจะตอบรับอย่างนุ่มนวล “สวัสดี สหาย”

ทุกคนตื่นเต้นขึ้นมาทันที นอกจากก่อกวนจังเฟิงหลิงแล้ว จังหวะนี้ราวกับ ว่า ฉู่ชวิ๋นจะจีบเหยาไป๋เยวี่ยเลยนะเนี่ย

คนในนี้มีใครไม่รู้บ้างว่าหยานหวูซวงมีใจให้เหยาไป๋เยวี่ย ฉู่ชวิ๋นจีบเหยาไป๋เยวี่ย นี่เขาอยากให้หยานหวูซวงไม่พอใจไปด้วยใช่มั้ย

“เทพธิดาเยวี่ย เธออย่าเข้าใจผิดนะ ฉันแค่ทักทายเฉยๆ ไม่ได้จะมาแย่งเธอไปจากคุณชายเยวี่ย เธอก็อย่าชอบฉันง่าย ๆ ละ” ฉู่ชวิ๋นพูดอย่างจริงจัง

“แค่กๆ…” คำพูดบ้าบอนี้ทำให้จังเฟิงหลิงสำลักเหล้าในปาก กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

เอิ่ม

ปกติแล้วเหยาไป๋เยวี่ยเป็นคนนุ่มนวลอ่อนโยนมาตลอด แต่เมื่อได้ฟังคำพูดนี้ของฉู่ชวิ๋นก็รู้สึกใจร้อนวู่วามอยากจะตบฉู่ชวิ๋นสักฉาด

ไอ้หมอนี่ไร้ศิลปะการพูดคุยจริง ๆ ด้วย นี่คือสิ่งที่เหยาไป่เยวี่ยคิด

คนอื่นในที่นี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึง พ่อหนุ่มคนนี้นี่ถ้าไม่ทำให้คนอื่นตกใจตายเพราะคำพูดตัวเองคงไม่เลิกราง่าย ๆ จริง ๆ พวกเขามองหยานหวูซวง ไม่รู้ว่าเขาจะชักกระบี่ออกมาฟาดฟันตอนนี้เลยหรือเปล่า

หยานหวูซวงทำทีว่าไม่สะทกสะท้าน แต่ดวงตาที่กระตุกอยู่ทำให้ทุกคนรู้ว่าเขาเองก็กำลังอดทนอยู่

เหยาไป๋เยวี่ยแกล้งหันไปมองหยานหวูซวงอย่างไม่ตั้งใจ เมื่อเธอจับความร้อนใจของเขาได้ ใบหน้าของเธอก็แดงก่ำ

ทั้งฉู่ชวิ๋นและจังเฟิงหลิ้งล้วนคิดได้ทันที เหยาไป๋เยวี่ยมีใจให้หยานหวูซวง แล้ว

“คุณชายหยาน ฉันสาบาน ฉันไม่ได้จะแย่งเทพธิดาเยวี่ยกับนายจริง ๆ”

ฉู่ชวิ๋นมองหยานหวูซวงและพูดขึ้นเพราะอยากแกล้งทั้ง 2

คำพูดนี้ทำให้หยานหวูซวงที่เพิ่งใจเย็นลงได้ตากระตุกอีกครั้ง มือกำกระบี่แน่น ท่าทางเขาอยากจะชักกระบี่ออกมาฟาดฟันแล้วจริงๆ

ส่วนคนอื่น ๆ แทบคลั่งกันหมด พวกเขางงงวยราวกับโดนสายฟ้าฟาดซะ ไหม้เกรียม แย่ง? พ่อหนุ่มคนนี้พูดแต่คำว่าแย่งนี่หยามเทพธิดาเกินไปหรือเปล่า นายคิดว่าจะฉุดเธอไปทำเมียหรือไง

เมื่อเห็นหยานหวูซวงไม่พูดอะไร ฉู่ชวิ๋นก็พูดขึ้นอีกครั้ง “คุณชายหยาน นายไม่เชื่อที่ฉันพูดเหรอ”

“….” หยานหวูซวงจะเป็นบ้าอยู่แล้ว จะให้เขาตอบว่าอะไร บอกว่าขอบคุณที่ไม่แย่งเหยาไป๋เยวี่ยกับฉันงั้นเหรอ

แต่ฉู่ชวิ๋นมองเขาอยู่และคนอื่นก็มองเขาอยู่ด้วย ถ้าไม่ตอบไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะถามไร้สาระอะไรออกมาอีก ได้แต่แข็งใจตอบไป “เข้าใจแล้ว”

พรืด

ในที่สุดจังเฟิงหลิงก็พ่นเหล้าที่ติดอยู่ในคอออกมา ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกสบายขึ้นเยอะ เขาสาบานว่าเขาไม่เคยได้ยินคำพูดบื้อ ๆ ของหยานหวูซวงแบบนี้จริง ๆ

“ถ้างั้นพี่หยานก็ต้องขอบคุณฉันใช่มั้ย” ฉู่ชวิ๋นถาม

“ขอบคุณยังไง” หยานหวูซวงถามไปด้วยสัญชาตญาณ

เมื่อคำพูดนี้หลุดออกไปแม้แต่ตัวเขาเองก็รู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องแล้ว เขาอยากจะชักกระบี่ออกมาฟันไอ้หนุ่มตรงหน้าเป็นพัน ๆ ชิิ้นแล้วจริงๆ คำพูดนี้อย่างกับว่าอีกฝ่ายเป็นคนยกเหยาไป๋เยวี่ยให้ตนเอง ไอ้เวรเอ๊ย อย่างฉันนี่ต้องให้แกมายกเธอให้งั้นเหรอ แกเก่งมาจากไหนกันว่ะ!

ไม่รอให้ทุกคนคลุ้มคลั่งขึ้นมาอีกครั้ง ฉู่ชวิ๋นก็เอ่ยปาก “คุณชายหยาน

ไม่ต้องเกรงใจไป ได้ข่าวว่าดอกบัวจิตวิญญาณของตระกูลหยานสามารถรักษาอาการบาดเจ็บที่วิญญาณได้อย่างน่าอัศจรรย์ งั้นให้ฉันสัก 8 ต้น 10 ต้นก็พอ อย่าให้มากกว่านี้นะ ถ้าให้เยอะฉันจะเขินเอา”

เหยาไป๋เยวี่ยดวงตาเบิกกว้าง

จังเฟิงหลิงเองก็ไอแค่ก ๆ

“…..” หยานหวูซวงหมดคำพูดแล้วจริงๆ 8 ต้น 10 ต้นเหรอ นายคิดว่าดอกบัวจิตวิญญาณเหมือนผักกาดขาวหรืออย่างไร ทั้งตระกูลหยานก็มีแค่ต้นเดียวเท่านั้น!

ส่วนคนอื่น ๆ อ้าปากค้างด้วยความตะลึงกันหมด พวกเขาสบถเป็นร้อยเป็นพันคำในใจ

ที่แท้ที่พ่อหนุ่มคนนี้อ้อมโลกมาตั้งนาน ก็เพื่อดอกบัวจิตวิญญาณงั้นเหรอ!!