บทที่ 7 อ้อนวอน

ซูต้าเฉียงมองฝ่ามือของตนก่อนเลื่อนสายตาไปยังลูกสาว เขารู้สึกตื่นตระหนกเมื่อเมื่อเห็นแววตาที่ไม่คุ้นเคยจ้องมองมาราวกับตนเองไม่ใช่พ่อ แต่เป็นศัตรูคู่อาฆาต

“ซูต้าเฉียง! ท่านยังเป็นเป็นคนอยู่หรือไม่!?”

แม่เจิ้นผลักสามีเต็มแรงจนเขาล้มลง แต่แล้วเขาก็โพล่งออกมา “ข้าตบลูกข้าแล้วยังไง! เจิ้นซิวซิวรีบกลับไปทำอาหารเช้าให้ข้าเสีย! วันนี้ทุกคนต้องออกไปทำงานเพื่อแลกกับเงินนะ!”

ชายผู้นี้เสียสติไปแล้วจริง ๆ แม่เจิ้นตัวสั่นเทาด้วยความโกรธ

“ทำร้ายลูกของท่าน? เฮอะ! ตั้งแต่ที่ข้าออกมาจากบ้านตระกูลซู นางก็เป็นเพียงลูกสาวของข้า นับแต่บัดนี้นางไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับท่านอีก ยังจะหวังให้ข้าทำอาหารให้ท่านอีกหรือ ท่านเคยมีความคิดที่จะหาเงินมาจุนเจือครอบครัวเราไหม เงินทุกตำลึงที่ท่านหามาล้วนถูกท่านแม่ของท่านเอาไปหมด!”

ยิ่งกล่าวถึงจุดนี้ โทสะในใจของนางยิ่งเพิ่มมากขึ้น นางปิดประตูและพาลูกสาวเดินไปยังทางเข้าหมู่บ้านโดยไม่เหลียวไปมองสามีของตนที่อยู่บนพื้น

ซูต้าเฉียงรับสภาพตนเองไม่ได้ เมื่อใดกันนะที่เขากลายเป็นคนน่าอัปยศอดสูถึงเพียงนี้?

อีกด้านของความคิด สิ่งที่ภรรยายของเขาเอ่ยมานั้นถูกต้องทั้งหมด เงินที่ได้มาแต่ละตำลึงล้วนถูกท่านแม่ของเขาริบไปจนหมด ทว่าเมื่อทำอะไรไม่ได้ ซูต้าเฉียงก็ได้แต่กลับบ้านไปพร้อมกับท้องอันหิวโหย

หากภรรยาไม่ทำอาหารให้ เขาก็ต้องหาทางอื่นสิ…ถูกไหม?

ครั้นถึงทางเข้าบ้าน ซูต้าเฉียงก็ได้ยินเสียงคร่ำครวญของแม่เฒ่าเจี๋ยดังออกมา

“โอ๊ย ข้าไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว ข้าอยากตาย อยากตายเหลือเกิน! นังซูหวานหว่านมันทำให้ครอบครัวของข้าต้องอับอาย! นางขโมยเงินของข้าไปให้กับเจ้าเด็กตระกูลเหมี่ยว! ข้าไม่อยากอยู่แล้ว!”

“ท่านแม่! แล้วหลานชายของท่านล่ะจะทำอย่างไร เขายังร่ำเรียนอยู่ในเมือง ภายภาคหน้าเขายังต้องแต่งงานกับหญิงสาวจากตระกูลใหญ่!”

“…”

ซูต้าเฉียงได้ยินสิ่งที่ท่านแม่พูดออกมาทุกถ้อยคำ ใบหน้าของเขาแดงก่ำด้วยความอับอายเสียจนจะมุดดินหนี ทว่ายังไม่ทันได้ขยับไปไหนก็ถูกแม่เฒ่าเจี๋ยเรียกเอาไว้เสียก่อน “ไอ้ลูกชาย ไปเรียกนังสารเลวซูหวานหว่านกลับมา! ข้าจะตบสั่งสอนมันให้เข็ดหลาบ แล้วก็รีบไปที่ตระกูลเหมี่ยวด้วย ไปเอาเงินของข้าคืนมา! เด็กนั่นจะบังเอิญไปเอาถุงผ้านั่นมาได้อย่างไร ทำไมชีวิตข้าถึงซวยอย่างนี้ ถ้ามันกลับมาข้าเอามันตายแน่!!”

ซูต้าเฉียงลืมเสียสนิทว่าเขากลับมาบ้านเพื่อหาอะไรกิน “ท่านแม่…ข้าไปตามพวกเขาแล้ว แต่พวกเขาบอกว่าพวกเขาจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับครอบครัวเราอีกต่อ…”

“ทำไมเจ้าถึงเป็นคนที่ขี้ขลาดเยี่ยงนี้!! ช่างเป็นลูกที่อกตัญญูเสียจริง เรื่องแค่นี้ก็จัดการไม่ได้!” แม่เฒ่าเจี๋ยตะคอกออกมาด้วยน้ำเสียงโกรธจัด

นางหยิบชามที่อยู่ใกล้มือแล้วขว้างใส่ซูต้าเฉียง หวังเป็นอย่างยิ่งที่จะให้ชามโดนใบหน้าของซูต้าเฉียง ทว่าชามใบนั้นกลับพลาดเป้าเฉียดหน้าโดนเขาไปเล็กน้อยเท่านั้นและตกลงพื้น…

เสียงกรีดร้องแหลมบาดหูได้ดังขึ้นอีกครั้ง แม่เฒ่าเจี๋ยกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ บ้าจริง! ชามที่ใช้เงินซื้อมา!

สีหน้าของแม่เฒ่าเจี๋ยโกรธจัด “ไอ้ลูกไม่ได้เรื่อง! เจ้าต้องเป็นคนชดใช้!”

“ขะ…ขอรับ ท่านแม่” ซูต้าเฉียงพยักหน้าตอบกลับอย่างรวดเร็ว ไม่กล้าพูดอะไรนอกเหนือจากนั้น

“พวกนางอยู่ที่ใด ข้าจะไปสั่งสอนพวกนางเอง” ท่าทางอันเกรี้ยวกราดฉายชัด ดูเหมือนความโมโหของแม่เฒ่าเจี๋ยจะมีแต่มากขึ้น… มากขึ้น

ซูต้าเฉียงบอกว่าลูกสะใภ้และหลานสาวของนางอยู่ตรงทางเข้าหมู่บ้าน แม่เฒ่าเจี๋ยได้ยินดังนั้นจึงไม่รอช้ารีบไปยังสถานที่ที่ลูกชายบอกพร้อมพาลูกสะใภ้คนโตไปด้วย

ณ เวลาเดียวกัน บริเวณทางเข้าหน้าหมู่บ้าน

“ท่านลุงฉือโทว ข้าจะเข้าเมืองไปแลกเงินเสียหน่อย หากว่าข้าได้เงินมาแล้วค่อยนำมาให้ท่านได้หรือไม่?” แม่เจิ้นกล่าวคำเสียงเบาและหลุบสายตาลงอย่างเกรงใจ

“ได้สิแม่นาง!” ท่านลุงฉือโทวตอบกลับทั้งสองคนด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม จากนั้นจึงพาทั้งสองขึ้นเกวียนวัว ทว่าเมื่อได้ขึ้นไป เท้าของนางก็เหมือนจะถูกดึงเอาไว้ด้วยมือของคนที่มีร่างกายอ้วนท้วมไม่น้อย “สะใภ้สาม เจ้าทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร มีเงินแล้วเหตุใดถึงไม่ให้ท่านแม่หรือให้พี่น้อง?”

ต้นเสียงคือสตรีร่างท้วมคนหนึ่งยืนอยู่ข้างเกวียน นางคนนั้นยื่นมือมาจับขาแม่เจิ้นหวังให้นางสะดุดล้ม ทว่ามันไม่เป็นผล ทำให้แม่เจิ้นเพียงเซไปเล็กน้อยเท่านั้น

ที่แท้สตรีอ้วนนางนั้นคือฮวงชุ่นเจิน ภรรยาของลุงใหญ่ ซึ่งนางก็มักหาเรื่องรังแกครอบครัวนางอยู่เสมอ!

ซูหวานหว่านเข้าใจความรู้สึกเจ้าของร่างเดิมเป็นอย่างดี ว่ามันแย่แค่ไหนที่ต้องถูกรังแกจากพวกคนในบ้านใหญ่อย่างฮวงชุ่นเจิน

“ท่านพี่สะใภ้ ข้าเกรงว่าของชิ้นนั้นมันเป็นของข้า… ปิ่นปักผมสีเงินคือสินสอดทองหมั้นติดตัวชิ้นสุดท้ายของข้า” แม่เจิ้นพูดอย่างไม่เต็มเสียงนัก

‘จบแล้ว ท่านแม่คงสู้สตรีอ้วนตรงหน้าไม่ได้แน่ ๆ’

ซูหวานหวานหว่านรู้สึกเลือดขึ้นหน้า นางพร้อมจะสู้ทุกเมื่อหากหญิงอ้วนรังแกแม่ของนางอีก หญิงสาวกระโดดตามแม่ขึ้นไปนั่งบนเกวียน และไม่ลืมที่จะเหยียบมืออันอ้วนท้วมของฮวงชุ่นเจินด้วยความหมั่นไส้ เมื่อได้ยินเสียง ‘กร๊อบ’ อารมณ์ของหญิงสาวพลันดีขึ้นทันตาเห็น

“แย่แล้ว! ข้าต้องขอโทษท่านป้าด้วย เมื่อครู่ข้าเหยียบโดนมือของท่านใช่หรือไม่ ข้าพยายามระวังไม่ให้โดนแล้วแต่ก็เลี่ยงไม่ได้ ทว่ามือของท่าน ‘อ้วน’ และ ‘เนื้อ’ เยอะขนาดนี้ คงจะไม่เป็นไรเสียหรอกกระมัง” ซูหวานหว่านจงใจเน้นคำว่าอ้วนขณะมองไปที่ฮวงชุ่นเจิน พลางทำหน้าตารู้สึกผิดส่งไปให้หญิงร่างท้วม

ตลกสิ้นดี! ครอบครับของนางผอมแห้งแรงน้อยแต่ยังต้องทำงานอย่างหนัก ทว่าบ้านลุงรองและลุงใหญ่กลับมีร่างกายอ้วนท้วมสมบูรณ์ หนำซ้ำยังกินอยู่สุขสบายจากเงินที่พวกเขาทำงานอย่างหนัก เฮอะ! หญิงอ้วนผู้นี้คงคิดว่าพวกนางเป็นเพียงที่รองมือรองเท้าบ้านใหญ่เท่านั้นสินะ!

“โอ๊ย! เจ้าจงใจเหยียบมือข้า อีกอย่างข้ายังไม่ได้พูดกับเจ้าสักคำ อย่าแส่หาเรื่องไปหน่อยเลย!” ฮวงชุ่นเจินตวาดอย่างไม่พอใจ ทันทีที่พูดจบร่างท้วม ๆ นั่นก็พยายามยกขาขึ้น แต่เพราะความอ้วน ทำให้การปีนขึ้นเกวียนเป็นไปอย่างยากลำบาก นางเซไปเซมา แต่ก็ยังไม่ละความพยายาม พลันใดซูหวานหว่านเหลือบเห็นกองขี้วัวที่อยู่บนพื้น ประจวบเหมาะกับเจ้าวัวที่ส่งเสียงร้องและขยับตัว จึงตัดสินใจผลักหญิงอ้วนที่กำลังยืนโซเซอยู่ให้หงายหลังลงไป

“อุ๊ย! ท่านป้า ระวังตกเจ้าค่ะ” แม้ปากจะบอกว่าให้อีกฝ่ายระวัง แต่การกระทำและสีหน้าของซูหวานหว่านดันตรงข้ามกับสิ่งที่พูด

ฮวงชุ่นเจินล้มลงจุ่มเข้าที่กองขี้วัวอย่างพอดิบพอดี นางกรีดร้องออกมาอย่างเสียสติ

“นังสารเลว!!”

ฮวงชุนเจินกรีดร้องอย่างโมโห แทบอยากจะลุกขึ้นมาตบซูหวานหว่าน แต่เพราะร่างกายที่มีน้ำหนักมากเกินไปจึงทำให้ลุกไม่ขึ้น แม่เฒ่าเจี๋ยที่ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายรีบเดินเข้ามาดึงฮวงชุนเจินให้ลุกขึ้น ด้านซูหวานหว่านก็ปิดปากนั่งขำอยู่เงียบ ๆ กระทั่งเสียงโวยวายของทั้งสองดังขึ้นอีกครั้ง ฮวงชุ่นเจินที่เพิ่งลุกขึ้นมาได้ก็สะดุดขาแม่เฒ่าเจี๋ยจนล้มลงไปกองกับพื้นทั้งคู่

“โอ๊ย เจ็บ ๆ” แม่เฒ่าเจี๋ยร้องอย่างความเจ็บปวด นางหันขวับไปหาซูต้าเฉียงและออกคำสั่งให้เขาจัดการสองแม่ลูกนั่น ชาวบ้านเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดีนัก จึงรีบวิ่งเข้ามาห้ามแม่เฒ่าเจี๋ย ทว่านางกลับไม่มีท่าทีว่าจะยอมง่าย ๆ ซูต้าเฉียงกำลังจะเข้าไปห้ามมารดาของตน ทว่าวัวตัวหนึ่งกลับวิ่งเข้าใส่ ส่งผลให้เขาตกใจผละออกจากบริเวณนั้นจนล้มลงหมดสติไป

“เจ้าจะวิ่งไปไหน!! กับอีแค่วัวตัวเดียวจะไปกลัวทำไม!!” แม่เฒ่าเจี๋ยร้องเกรี้ยวกราด

ขณะนี้แม่เฒ่าเจี๋ยรู้สึกเจ็บจี๊ดที่หลังราวกับร่างกายกำลังแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ อีกทั้งกลิ่นอันไม่พึงประสงค์จากกองขี้วัวก็ทำนางแทบอาเจียน

ซูหวานหว่านหัวเราะคิกคักอยู่สักพักจึงหันไปบอกให้ผู้คนที่อยู่แถวนั้นหลบเข้าข้างทาง ก่อนจะบอกให้ลุงฉือโทวบังคับเกวียนออกจากตรงนั้น

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!! เจิ้นซิวซิว น้องสามหกล้มลุกขึ้นมาไม่ได้ เจ้าจะปล่อยเขาไว้แบบนี้หรือ เอาเงินมารักษาเขาเสีย” ฮวงชุ่นเจินตะโกนลั่นด้วยความหงุดหงิด

หลี่ฉือโทวที่ออกเกวียนไปได้ไม่ไกลได้ยินดังนั้นจึงหยุดเกวียนอย่างไม่รู้จะทำยังไง เปิดช่องให้ฮวงชุ่นเจินวิ่งพุงกระเพื่อมตามไล่หลังมา “เร็วเข้า เอาเงินมาแล้วครอบครัวของข้าจะให้อภัยพวกเจ้า”

ซูหวานหว่านเค้นเสียงหัวเราะ “นั่นน้องสามของท่านไม่ใช่น้องสามของแม่ข้าซะหน่อย เหตุใดท่านไม่ช่วยเขาเองล่ะ”

“เจ้า!! เขาเป็นพ่อของเจ้านะ!! เจ้าพูดจาหยาบคายเช่นนี้ได้อย่างไร! คนอย่างเจ้าต้องถูกสวรรค์สาปส่งเป็นแน่!!” ฮวงชุ่นเจินสบถพร้อมถ่มน้ำลายลงพื้น และใช้สายตาอาฆาตจ้องมองหญิงสาวเขม้น

“เฮอะ…หากสวรรค์มีจริง ข้าเกรงว่าเขาคงได้รับกรรมในสิ่งที่เขาก่อมาตั้งนานแล้ว นอกเหนือสิ่งอื่นใด… ตอนนี้เขาไม่ใช่พ่อของข้าอีกต่อไปแล้ว” ซูหวานหว่านกวาดสายตามองซูต้าเฉียงผู้เป็นพ่อที่นอนอยู่ที่พื้นด้วยสายตาเย็นชา หากแต่ลองมองเข้าไปลึก ๆ ในดวงตาของหญิงสาวก็จะพบว่าสายตานั้นแท้จริงแล้วมันเต็มไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใย

แม่เจิ้นที่เห็นอาการของสามีก็ลงจากเกวียนและก้าวไปดูเขาด้วยความเป็นห่วง ซูหวานหว่านจ้องมองทุกการกระทำของผู้เป็นแม่ด้วยความรู้สึกกังวลใจ

‘แม่ของนางตัดขาดจากซูต้าเฉียงไม่ได้…ตัวนางเองก็เช่นกัน…’