บทที่ 133 แต่ละคนมีทางของตน โดย Ink Stone_Romance
ในตรอกคับแคบประตูเรือนแห่งหนึ่งเปิดออก รถเข็นล้อเดียวคันหนึ่งเข็นโอนเอนออกมา
“ช้าหน่อย ช้าหน่อย”
เสียงรถกุกกักคู่มากับเสียงของเฉินชี
“เจ้าไหวหรือไม่น่ะ?”
รถเข็นล้อเดียวถูกเข็นออกมา ด้านบนวางราวไม้ไว้ ปักน้ำตาลปั้นไว้เต็ม
รถไม่ได้ถูกเฉินชีเข็น แต่เป็นฟางจิ่นซิ่วเข็นเอง เฉินชีสีหน้ากังวลกางมือป้องกัน
“ด้านซ้ายด้านซ้าย ไปขวาไปขวา” เขาเอ่ยไม่หยุด
ฟางจิ่นซิ่ววางรถลง รถสะเทือนน้ำตาลปั้นส่ายไหว
เฉินชีก็ร้องเหวกเหวกโวยวายตามไปด้วย
“เจ้าหุบปากซะ” ฟางจิ่นซิ่วเอ็ด
เฉินชีรีบหุบปาก
“ข้าฝึกนานมากแล้ว ข้าเข็นได้” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ยขึ้น ถลึงตาใส่เขาทีหนึ่งก็เข็นรถอีกครั้ง
แม้รูปร่างเล็กผอม รถโอนเอนไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้ล้มลง น้ำตาลปั้นด้านบนก็ไม่ร่วงลงมา
“ข้าไม่ได้บอกว่าเจ้าไม่ไหว ข้าบอกว่ามีข้าอยู่นะ ให้ข้าเข็นไหมเล่า” เฉินชียิ้มบอก “ไม่ว่าพูดอย่างไร ข้าก็เป็นหุ้นส่วนไหม”
“เจ้าหุ้นด้วยการให้เครื่องมือกับวัตถุดิบน้ำตาลปั้น ข้ารับผิดชอบขาย” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ยขึ้น สนใจมองด้านหน้า “ข้าไม่ได้จ้างเจ้าเป็นลูกมือ”
“ถ้าอย่างนั้นข้าไม่ต้องตามเจ้าแล้วสิ?” เฉินชีว่า
“ไม่ต้อง” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย
เฉินชีหยุดฝีเท้าจริงๆ มองฟางจิ่นซิ่วเข็นรถออกจากตรอกไป
ออกจากตรอกแคบ คนบนนถนนพลันมากมาย หัวถนนเด็กน้อยก็วิ่งกันอยู่มาก มองเห็นรถน้ำตาลปั้นมาก็ล้อมเข้ามาทันที
ฟางจิ่นซิ่วในใจตระหนก มือเท้าวุ่นวาย โซเซจะล้มลง
เฉินชีด้านหลังเหมือนไม่กล้ามองยกมือปิดตา แต่ไม่มีเสียงร้องแหลมของเด็กสาวรวมถึงเสียงรถล้มกับพื้น เขากางมือออก มองลอดช่องว่างเห็นฟางจิ่นซิ่ววางรถตั้งไว้กับพื้นแล้ว
ฟางจิ่นซิ่วอดยกมือเช็ดเหงื่อบนหน้าผากไม่ได้ หัวใจหวิดจะเต้นหลุดลำคอออกมา
มองรถเข็นล้อเดียวตรงหน้าก็น่าขำอยู่บ้าง
รถคันเดียวเท่านั้น จะน่ากลัวกว่าม้าที่กระโดดได้เต้นได้ถีบคนตายได้งั้นรึ?
ตอนแรกเรียนขี่ม้าก็ไม่ได้หวาดกลัวขนาดนี้
รอยยิ้มของนางหดหายไป
ตอนนั้นเรียนขี่ม้าในฐานะคุณหนูตระกูลฟางผู้ร่ำรวย คนมากเท่าไรรุมล้อมปกป้อง ทุกสิ่งไร้กังวลอย่างสิ้นเชิง
ตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว ตอนนี้มีนางเพียงคนเดียว
ฟางจิ่นซิ่วยืนตัวตรง มองเด็กน้อยที่ล้อมเข้ามารวมถึงสายตาสงสัยใคร่รู้ที่มองมาบนถนน
นางอ้าปากส่งเสียงติดๆ ขัด ทั้งงึมงำฟังไม่ชัดออกมา
“นี่ขายหรือ?” เด็กน้อยที่ล้อมเข้ามาเป็นฝ่ายเอ่ยถาม
“ใช่” ฟางจิ่นซิ่วรีบพยักหน้า “เจ้า เจ้าเอาไหม?”
เด็กน้อยกัดมือชี้น้ำตาลปั้นสองตาเป็นประกาย
“เอา” เขาเอ่ยเสียงดัง
ฟางจิ่นซิ่วดีใจมาก เพิ่งออกจากประตูกิจการก็ขายได้แล้ว โชคดีนัก
นางรีบหยิบน้ำตาลปั้นไม้หนึ่งส่งให้เด็กน้อย เฉินชียื่นมือมาร้องเฮ้ยแต่ยังคงสายไป เด็กน้อยรับน้ำตาลปั้นไปก็เลียเข้าปากทันที เด็กคนอื่นรุมเข้ามาทันที
“ข้าเอาด้วย”
“ข้าเอาด้วย”
เด็กน้อยทั้งหลายแทบทำรถพลิกคว่ำ ฟางจิ่นซิ่วรีบปกป้องรถไว้ ขวางเด็กน้อยทั้งหลายจนมือเท้าวุ่นวาย
“เอ่อ เงิน” ในที่สุดนางก็คิดออก มองเด็กน้อยที่ถือน้ำตาลปั้นร้องเรียก
เด็กคนนั้นได้ยินก็หมุนตัววิ่งหนีไปแล้ว
ฟางจิ่นซิ่วตาโตอ้าปากค้าง
“เงินล่ะ!” นางร้องเรียก
เด็กน้อยวิ่งไปถึงปากตรอกฝั่งตรงข้ามแล้ว ฟางจิ่นซิ่วจะไล่ตามก็ไม่กล้าทิ้งรถไว้ แต่ก็ไม่ยินดีถูกเอาน้ำตาลปั้นไป
“เฉินชี” นางได้แต่ร้องเรียก
เฉินชีร้องเฮ้อทีหนึ่งก้าวไวๆ วิ่งมา ฟางจิ่นซิ่วไม่หันกลับก็ไล่ตามเด็กคนนั้นไป
เด็กคนนั้นยืนอยู่หลังร่างหญิงอ้วนคนหนึ่งแล้ว
“ทำอะไร?” หญิงอ้วนถลึงตามองฟางจิ่นซิ่วที่พุ่งมา
“เขาซื้อน้ำตาลปั้นของข้า แต่ไม่ให้เงิน” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ยขึ้น ชี้เด็กน้อยคนนั้น
เด็กน้อยยัดน้ำตาลปั้นเข้าปาก มือเต็มไปด้วยน้ำลาย
หญิงอ้วนมองเด็กทีหนึ่ง แสยะยิ้ม
“ซื้อ? ข้าไม่ได้บอกว่าจะซื้อ เจ้าตกลงซื้อขายกับเด็กน้อยคนหนึ่งเรอะ” นางเอ่ยขึ้น ฉับพลันเร่งเสียงดังขึ้น “เจ้าหลอกคนน่ะสิ?”
ฟางจิ่นซิ่วถูกตะโกนใส่ถอยหลังก้าวหนึ่ง
“ข้าไม่ได้หลอก เขาบอกว่าจะซื้อข้าถึงให้เขา” นางว่า
“เขาเป็นเด็กคนหนึ่ง เขาพูดอะไรก็เป็นอย่างนั้นรึ?” นางยื่นมือชี้เข้ามาใกล้ฟางจิ่นซิ่ว
ฟางจิ่นซิ่วได้แต่ถอยหลังอีกครั้ง
หญิงอ้วนรั้งมือกลับมองฟางจิ่นซิ่วยิ้มทีหนึ่ง
“เขาบอกว่าจะซื้อเจ้า เจ้าก็ขายเรอะ?” นางเอ่ยขึ้น
หน้าของฟางจิ่นซิ่วแดงทันที
“เจ้าทำไมด่าคนล่ะ!” นางเดิมทีก็เป็นคนอารมณ์ร้อนคนหนึ่ง ฉับพลันถลึงตาตวาดขึ้น
แต่นางเพิ่งพูดได้ประโยคเดียวหญิงอ้วนคนนั้นก็ตบต้นขาฉาดหนึ่งร้องตะโกนขึ้นมา
“ข้าก็ด่าเจ้าไงด่าเจ้านั่นแหละ เจ้า นางแพศยาตัวน้อย เจ้าข้าเอ้ย ถือน้ำตาลปั้นมาหลอกเงินเด็ก”
คนบนถนนมองมาทันที
ฟางจิ่นซิ่วกัดริมฝีปากล่าง อดกลั้นความต้องการจะตบนางสักฉาดหันหลังวิ่งหนีไป
เฉินชียืนอยู่ด้านหน้ารถน้ำตาลปั้นมองนาง
ฟางจิ่นซิ่วกำหมัดแน่นก้าวเข้าไปไม่พูดสักประโยคเข็นรถเดิน หลังร่างยังมีเสียงด่าของผู้หญิงคนนั้นลอยมา
“ผู้หญิงในตลาดก็เป็นแบบนี้…” เฉินชีตามมาด้านหลังร่างนางเอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวัง “เจ้าอย่า…”
“ข้ารู้แล้ว ข้าไม่เสียใจ” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ยขัดเขา
เฉินชีร้องอ้อทีหนึ่ง เงียบไปครู่หนึ่ง
“น้ำตาลปั้นตัวหนึ่ง วันนี้เงินที่ได้ก็น้อยลงครึ่งหนึ่ง” เขาอดไม่อยู่พูดขึ้น
ฟางจิ่นซิ่วหันกลับไปถลึงตาใส่เขาแรงๆ ทีหนึ่ง
“ข้ารู้” นางว่า “ข้าไม่ดีเอง ครั้งหน้าไม่เป็นแล้ว”
พูดถึงตรงนี้ก็หยุดชะงักครู่หนึ่งอีก
“เงินหักจากส่วนของข้า”
เฉินชียิ้ม
“ไม่ต้องไม่ต้อง” เขายิ้มเอ่ยขึ้น “ข้าก็แค่เตือนให้เจ้าจำไว้ เรื่องที่ทำผิดต้องจำไว้ ครั้งหน้าจะได้ไม่ทำผิด”
ฟางจิ่นซิ่วรั้งสายตากลับมา มองไปข้างหน้าต่อ ข้างถนนมีประตูบานหนึ่งแขวนป้ายว่าอี้โหย่วสิงสามคำ ด้านในเรือนเสียงเอ็ดดุดังลอยมา ฝีเท้าของฟางจิ่นซิ่วหยุดลงมองไป
ด้านในประตูใหญ่มองเห็นเด็กน้อยอายุไม่เท่ากันกลุ่มหนึ่งอยู่ในลานกำลังฝึกหมัด นั่งย่อท่านั่งม้าพร้อมเพรียง พร้อมกับเปล่งเสียงยามออกหมัด
เหลยจงเหลียนมือเดียวถือกระบองเดินระหว่างกลาง ชี้แนะเป็นระยะ
ตอนนั้นนางตัดสินใจรั้งอยู่ที่หยางเฉิง ก็เพราะเหลยจงเหลียน
คนผู้นี้รั้งอยู่ที่ตระกูลฟางคนเดียวสิบแปดปีแบบนี้ ในที่สุดความปรารถนาในใจสำเร็จกลับทอดทิ้งเงินก้อนใหญ่ที่ตระกูลมอบให้กับชีวิตดีเลิศสุขสบาย ใช้ร่างกายพิการเปิดสำนักคุ้มภัยใหม่ตั้งแต่ต้นอีกครั้ง
เขาทำได้ ตนเองอายุน้อยขนาดนี้ทั้งแขนขาครบถ้วนแข็งแรง ทำไมจะตั้งต้นใหม่อีกครั้งไม่ได้
กิจการของตระกูลใดไม่ใช่แรกเริ่มมือเปล่าสร้างขึ้นมา
นางหยวนพูดถูก นางอายุน้อยสิ่งที่ร่ำเรียนก็มาก นางมีปีก ต่อให้ร่วงตกลงบนพื้นก็ยังบินขึ้นมาได้เหมือนกัน
ฟางจิ่นซิ่วสูดหายใจลึกทีหนึ่ง มองถนนที่คนยิ่งมากขึ้นทุกที เข็นรถก้าวยาวออกเดิน
“ขายน้ำตาลปั้นจ้า” นางตะโกนเสียงดัง
นางไม่ใช่คนที่ไม่เคยพูดจาต่อหน้าคนมาก่อน ก่อนหน้านี้ไปร้านแลกเงินยังให้โอวาทกับผู้ดูแลกลุ่มหนึ่งอยู่เลย แต่นั่นสูงส่งอยู่เบื้องบน ผู้อื่นหวาดกลัวต้องประจบ ตอนนี้นางต้องประจบผู้อื่น เรียกขายแลกเงิน
แต่ตะโกนออกไปทีหนึ่งกลับไม่ได้ยากขนาดนั้นอย่างในจินตนาการ เรื่องราวทั้งหลายยากที่เริ่มต้นจริงๆ เริ่มแล้วก็ไม่มีอะไรยากแล้ว
บนหน้าของฟางจิ่วซิ่วผุดรอยยิ้ม
“ขายน้ำตาลปั้นจ้า” นางตะโกนอีกครั้ง เสียงใสกระจ่างน่าฟัง เรียกคนมากมายบนถนนให้มองมา
ฟางจิ่นซิ่วเข็นรถ ไม่มีหวาดกลัวสักนิดประจันหน้าเดินไปหาผู้คน
“ลองชิมน้ำตาลปั้นไหม น้ำตาลปั้นหอมหวานเข้มข้น”
เฉินชีตามอยู่ด้านหลังผ่อนฝีเท้าช้าลง โล่งใจเช่นกัน เผยรอยยิ้มผ่อนคลายออกมาบ้าง ทันใดนั้นก็เหมือนจะได้ยินเสียงอะไร เขาหันหน้ามองไป ผู้หญิงอ้วนกับเด็กน้อยที่ปากตรอกด้านนั้นยังอยู่ เด็กน้อยเลียน้ำตาลปั้นมือเต็มไปด้วยน้ำลาย
“อร่อยไหม?” หญิงอ้วนเอ่ยขึ้น “ให้แม่ลองสิ”
เด็กน้อยไม่ยอมหันศีรษะหลบไป
“เจ้าเด็กคนนี้ ทำไมไม่หยิบมาสักหลายอัน” ผู้หญิงอ้วนตำหนิ ยื่นมือทิ่มศีรษะเด็กน้อย
ศีรษะเด็กน้อยโคลงทีหนึ่ง ได้ยินเสียงเปาะ น้ำตาลปั้นในมือตกลงบนพื้น
เด็กน้อยร้องไห้โฮทันที
ผู้หญิงอ้วนก็ตกใจสะดุ้งโหยง
“เจ้าเด็กน่าตายคนนี้ทำไมไม่ถือดีๆ” นางตะโกน ปวดใจจะไปเก็บน้ำตาลปั้นบนพื้น เพิ่งก้มตัวก็ได้ยืนเสียงปึกเบาๆ ทีหนึ่ง ตามติดมาด้วยสองขาชาวูบ คนทั้งร่างก็คุกเข่าคลานอยู่บนพื้น
หน้านางแนบลงบนน้ำตาลปั้นพอดี น้ำลาย น้ำตาลรวมถึงดินเปรอะเต็มหน้า
ผู้หญิงอ้วนร้องกรี๊ดทีหนึ่งขึ้นมา
เด็กน้อยอยู่ด้านข้างหัวเราะฮ่าฮ่า
บนถนนรอบด้านประสานเสียงหัวเราะทันที
เฉินชีมองเห็นภาพนี้ก็หัวเราะฮ่าฮ่าด้วย มองเห็นอะไรเข้าเขาจึงมองไปทางมุมถนน คนบนถนนล้วนกำลังหัวเราะลั่นกับภาพนี้ มีเพียงผู้ชายที่ดูราวกับคนว่างงานสองคนยืนอยู่ข้างกำแพงสอดมือประสานในแขนเสื้อราวกับไม่มีเรื่องอันใด
เฉินชียิ้ม รั้งสายตากลับ มองเด็กสาวที่ร้องเรียกขายของเสียงดังไปตามถนนเบื้องหน้าแล้วไล่ตามไป
…
เวลานี้ถนนที่เมืองหลวง ความร้อนแห้งของฤดูร้อนทำให้ถนนที่ครึกครื้นเปลี่ยนกลายเป็นเงียบสงบไปมาก
คุณหนูจวินนั่งอยู่บนหอสูง โบกพัดเชื่องช้า สายตาของนางกวาดมองวังหลวงรวมถึงสถานที่ซึ่งราชวงศ์พระญาติบรรดาขุนนางชั้นสูงพำนักไกลออกไปเหมือนดังก่อนหน้านี้ ราวกับคิดอะไรอยู่แต่ก็ราวกับไม่ได้คิดอะไรเลย
ทันใดนั้นเสียงกระดิ่งใสกังวานวูบหนึ่งก็ลอยมาจากชั้นล่าง
เสียงกระดิ่ง?
คุณหนูจวินไม่ทันรู้ตัวมองไป เห็นหลิ่วเอ๋อรถือกระดิ่งทองแดงพวงหนึ่งแขวนเป็นกระดิ่งลมแกว่งเดินไปเดินมาในลาน
เสียงกระดิ่งใสกังวานสะท้อนก้อง
คุณหนูจวินเก็บพัด นั่งตัวตรง สายตาที่เดิมทีมองไปเรื่อยจับจ้องนิ่ง สองดวงตาเปลี่ยนกลับมาดำขลับส่องประกายอีกครั้ง
นางคิดได้แล้วว่าจะแก้ความทุกข์ใจตอนนี้ได้อย่างไร
……………………………………….