คนจากตำหนักฉือหนิงที่มากันอย่างอึกทึกครึกโครมกลับเก็บหางกลับไปอย่างรีบร้อนลุกลน
หลังจากคนของตำหนักฉือหนิงออกไป ซูรุ่ยจึงร่างพระราชโองการ สั่งให้วังอี้นำไปที่ค่ายทหารองครักษ์ จากวันนี้เป็นต้นไป ตำหนักฉือหนิงจะกลายเป็นสถานที่มรณาของไทเฮา อืม ถ้าเขาไม่ตายเสียเองก่อนน่ะนะ
กลับถึงในห้องแล้ว ซูหว่านยกสองมือเท้าคางเปิดมุ้งสวยตระการตา ทั้งร่างนอนฟุบกระพริบตาปริบๆ อยู่บนตั่ง มองใบหน้าของซูรุ่ยตาไม่กระพริบ
“เป็นอะไรไปเหรอ”
ซูรุ่ยที่โดนซูหว่านมองด้วยสายตาอธิบายไม่ได้เผลอลูบหน้าตนเอง เมื่อกี้เช็ดไปหรือยังนะ
“ฝ่าบาทหล่อเหลามากเพคะ แยงดวงตาของบ่าวจนมืดบอด”
ซูหว่านส่งยิ้มให้กับซูรุ่ย ใครใช้ให้แม่ทัพซูของนางหล่อขนาดนี้ล่ะ จะมองเท่าไหร่ก็ไม่พอ
ซูรุ่ย ‘ไม่ง่ายเลย สุดท้ายที่รักก็พบความดีของฉันแล้ว’
“แค่กๆ”
ซูรุ่ยกระแอมไอสองครั้ง จงใจทำท่าทางเหล่อเหลาสง่างาม เดินไปทีละก้าวจนถึงหน้าตั้ง “มาๆ ๆ ข้าไม่คิดเงิน ให้เจ้าดูเสียให้พอ ข้าถอดชุดฮ่องเต้ เจ้าค่อยมาชื่นชมกล้ามหน้าท้องแปดแพคของข้าเป็นอย่างไร”
“ไม่ได้ ไม่ได้!”
ซูหว่านได้ยินคำพูดของซูรุ่ยถึงกับต้องส่ายหัวอย่างร้องขอชีวิต “หุ่นของฝ่าบาทดีงามเกินไปแล้วเพคะ บ่าวเห็นแล้วถึงกับเลือดกำเดาไหล”
แม่ทัพซู “…”
ซูเสียวหว่าน คุณเปลี่ยนไวเกินไป แม่ทัพอย่างข้าปรับตัวไม่ทันเสียแล้ว
“ฮะฮ่า”
เมื่อเห็นซูรุ่ยตลึงอยู่ข้างเตียงนอน ซูหว่านอดไม่ได้ที่จะหัวเราะพลางกระโจนเข้าไปและดึงแม่ทัพซูให้ถลาลงมาบนตั่งมังกร “ฝ่าบาทนะฝ่าบาท ท่านดูน่าอร่อยขนาดนี้ มิน่าสตรีวังหลังถึงสู้กันจะเป็นจะตายเพื่อพระองค์ บ่าวอิจฉาเสียจริง!”
“เด็กโง่ ข้ารักเจ้าเพียงคนเดียว สตรีวังหลังแห่งนี้นั้นหากเจ้าไม่ชอบใคร ข้าจะฆ่าทิ้งให้หมด เจ้าว่าดีหรือไม่”
ซูรุ่ยยกมือโอบกอดซูหว่านที่นอนอยู่บนร่างตน ใช้สายตาอบอุ่นเปี่ยมรักจดจ้องเธอ
“ไม่ดีๆ หากเป็นเช่นนี้พระองค์จะกลายเป็นกษัตริย์ที่โหดเหี้ยม ส่วนข้าจะกลายเป็นนางปีศาจล้มบ้านทายเมือง”
ซูหว่านซบลงกับอ้อมอกของซูรุ่ย “ข้ารู้ว่าในใจของพระองค์มีเพียงข้าก็พอแล้ว ส่วนสตรีวังหลัง…หากไม่หาเรื่องข้า ฝ่าบาทก็ทรงเมตตาปล่อยให้พวกนางอยู่ต่อไปเถิด!”
ดึงดันเปลี่ยนจากเรื่อง ‘เล่ห์อุบายวังหลัง’ เป็น ‘การฝึกตนของกษัตริย์โฉด’ แม่ทัพซูท่านนี่มีความสามารถเสียจริง
“ก็ได้ เจ้าพูดอะไรก็ตามนั้น”
ซูรุ่ยพลิกตัวทับร่างซูหว่านไว้อยู่ใต้ร่างตนและหอมหน้าผากของนางก่อนนอน “เด็กดี เจ้าเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว รีบเข้านอนเถิดนะ”
ซูรุ่ยพูดพลางหมุนตัวและเอนกายลงอยู่ข้างๆ ซูหว่าน ดึงผ้านวมลายปักห่มเธอไว้อย่างอ่อนโยน
“ราตรีสวัสดิ์”
เมื่อซูรุ่ยยกแขนตัวเอง ลมกรรโชกพัดมาเป่าเทียนในห้องดับสนิท จู่ๆ ภายในห้องอันเงียบสงบ ซูหว่านก็เขยิบเข้าแนบชิดอ้อมกอดของซูรุ่ย ทั้งสองคนกอดกันแนบสนิท ไม่นานก็ผล็อยหลับอย่างสงบ…
ขณะที่ซูหว่านกำลังอิงแอบอยู่ในอ้อมอกอันแสนสบายของซูรุ่ย เหยียนอวี่นั่วกลับวิ่งเต้นไปทั่วเพื่อรวบรวมเงินให้กับซูหว่าน
“อวี่ชิง เจ้าให้ยืมอีกหน่อยได้หรือไม่”
ภายนอกเรือนเหวินหวา เหยียนอวี่นั่วยืนอยู่ใต้โคมไฟตำหนัก มองเหยียนอวี่ชิงด้วยความร้อนรนใจ ตอนบ่ายเฉินจี๋นำคำพูดของไป๋หมัวหมัวไปบอกกับเหยียนอวี่นั่วแล้ว เงินห้าร้อยตำลึงสำหรับเหยียนอวี่นั่วที่เบี้ยรายเดือนมีเพียงสิบตำลึงช่างเป็นมูลค่ามหาศาล
ไปยืมในกองพระภูษามาจนทั่ว เหยียนอวี่นั่วก็ยืมได้เพียงสี่สิบกว่าตำลึง ไม่พอเสียด้วยซ้ำ ตอนนี้นางทำได้แค่คาดหวังกับเหยียนอวี่ชิง
“ท่านพี่ ข้าให้สุดความสามารถแล้ว!”
เวลานี้ เหยียนอวี่ชิงเองทำหน้าจนใจ “ท่านพี่ ท่านก็รู้สถานการณ์เรือนเหวินหวาของพวกเรา ฝ่าบาทไม่ได้เรียกนายหญิงของพวกข้ามานานแล้ว ไม่มีของกำนัลประทานให้ นายหญิงก็อารมณ์ไม่ดี คืนวันของคนเป็นบ่าวอย่างข้าก็ลำบาก”
พูดแล้ว เหยียนอวี่ชิงก็ยื่นกล่องปักลายใบเล็กใส่มือเหยียนอวี่นั่ว “ปิ่นนี่นายหญิงตกรางวัลให้ข้าเมื่อเดือนก่อน ท่านพี่ท่านนำไปให้กงกงของกรมวังช่วยขายเสีย คงจะมีราคาค่างวดอยู่บ้าง”
“นี่ ก็ได้!”
เหยียนอวี่นั่วลังเลสักพัก สุดท้ายก็เก็บกล่องปักลายเอาไว้
เมื่อเห็นนางรับของดวงตาเหยียนอวี่ชิงเป็นประกาย “ท่านพี่ ถ้าท่านรวมเงินพอแล้ว เมื่อจะไปหาเสี่ยวหว่าน เรียกข้าไปด้วยได้หรือไม่ ข้าเองก็เป็นห่วงนางเช่นกัน”
“ได้สิ! ”
เห็นเหยียนอวี่นึกถึงซูหว่าน เหยียนอวี่นั่วก็พลอยรู้สึกดีใจ พวกนางสามพี่น้อง แม้ไม่เกี่ยวข้องทางสายเลือดกันแท้จริง แต่ภายในวังหลังอันเหี้ยมโหดนี้ ทั้งสามคนกลับช่วยเหลือประคับประคองร่วมทุกข์ร่วมสุขกันได้ นี่เป็นสิ่งที่เหยียนอวี่นั่วพึงปรารถนาเป็นที่สุด
“ท่านพี่! ข้ากลับก่อนนะ ออกมานานแล้ว เดี๋ยวนายหญิงจะไม่พอใจเอา”
เห็นว่าตนเองบรรลุเป้าหมายแล้ว เหยียนอวี่ชิงตบบ่าของเหยียนอวี่นั่ว แล้วรีบหมุนตัวเข้าประตูเรือนเหวินหวาทันที
เหยียนอวี่นั่วเห็นเหยียนอวี่ชิงลับตาไป ก็ค่อยๆ หมุนตัวเดินไปทางบ้านพักของกองพระภูษา
ถนนพระราชวังแสนเหน็บหนาว เงาร่างโดดเดี่ยว เหยียนอวี่นั่วเฝ้าคิดถึงเรื่องของซูหว่านตลอดทาง เมื่อคิดว่าเธอใช้ชีวิตในหอแรงงานลำบากลำบนทุกวี่วัน เหยียนอวี่นั่วเผลอกำกล่องลายปักในมือแน่น
“พี่อวี่นั่วหรือ”
เสียงอันไพเราะขัดความคิดของอวี่นั่ว เหยียนอวี่นั่วเงยหน้าขึ้นถึงรู้ตัวว่าตัวเองเดินกลับถึงที่พักในกองพระภูษาโดยไม่ทันรู้ตัว ยามนี้คนที่เรียกนางให้หยุด ก็คือสวีปิงเย่ว์ที่ได้รับคัดเลือกเข้ากองพระภูษาเมื่อบ่ายวันนี้
“ปิงเย่ว์ เจ้ายังไม่นอนหรือ”
“ดีใจนิดหน่อย จึงนอนไม่หลับเจ้าค่ะ”
สวีปิงเย่ว์แย้มยิ้มให้เหยียนอวี่นั่ว “ต้องขอบคุณความช่วยเหลือของพี่เหยียนนั่วท่าน ข้าถึงเข้ามากองพระภูษาได้ หลังจากนี้ท่านก็เป็นดั่งพี่แท้ๆ ของข้าแล้ว!”
สวีปิงเย่ว์พูดพลางเกี่ยวแขนเหยียนอวี่นั่วอย่างสนิทสนม
คนในกองพระภูษามีมาก แต่เลี่ยวซืออี๋กลับให้ความสำคัญกับเหยียนอวี่นั่วมากที่สุด โดยเฉพาะหลังจากซูรุ่ยฆ่าคนที่เป็นศัตรูกับซูหว่านและเหยียนอวี่นั่ว ในกองพระภูษา ตำแหน่งของเหยียนอวี่นั่วก็สูงประดุจน้ำขึ้น
แม้ว่าสวีปิงเย่ว์เพิ่งเดินเข้ามา ทว่าความสามารถในการสังเกตการณ์ของสาวใช้หาใช่ธรรมดา บัดนี้นางตัดสินใจกอดขาเหยียนอวี่นั่วไว้แน่น
“ข้าเองก็ไม่ได้ช่วยอะไร แต่วันหลังเจ้าพบปัญหาอะไรก็มาบอกข้าได้”
เหยียนอวี่นั่วฝืนส่งยิ้มให้สวีปิงเย่ว์ ทำน้ำเสียงจริงใจเหมือนดั่งปกติ
หืม? สวีปิงเย่ว์รู้สึกได้อย่างรวดเร็วว่าใจของเหยียนอวี่นั่วไม่อยู่กับเนื้อกับตัว นางหรุบตาก็นึกถึงสาเหตุได้ “ท่านพี่ ท่านกังวลใจเรื่องพี่ซูหว่านอยู่หรือ”
“ใช่แล้ว”
เหยียนอวี่นั่วถอนหายใจเฮือกใหญ่ เผลอกำกล่องปักลายในมือแน่นอีกครั้ง “ข้าอยากช่วยซูหว่าน ทว่ายังขาดเงินอีกมากนัก ข้า…”
“ท่านพี่ นี่คือมรดกทั้งหมดของข้า”
เหยียนอวี่นั่วไม่ทันพูดจบ สวีปิงเย่ว์ก็มอบกระเป๋าตัวเองให้อย่างไม่ลังเล
“ปิงเย่ว์ นี่คือ…”
เหยียนอวี่นั่วมองดูสวีปิงเย่ว์อย่างแปลกใจและประหลาดใจ
“ท่านพี่ ท่านเป็นคนดี พี่ซูหว่านก็เป็นคนดี ข้าอยากช่วยนาง เงินของข้ามีไม่มากนัก แต่ข้าก็อยากช่วยนางอย่างสุดความสามารถ”
สวีปิงเย่ว์พูดอย่างตั้งใจ เหยียนอวี่นั่วรู้สึกว่าสวีปิงเย่ว์ที่พูดคำนี้ใต้แสงจันทรา ช่างดูศักดิ์สิทธิ์และบริสุทธิ์
คุณนางเอก เธอคิดมากไปเสียแล้วล่ะ ในความจริงแล้วรัศมีแม่พระของเธอมากเสียจนทำให้เธอคิดว่าโลกแห่งนี้เต็มไปด้วยความรัก ทุกหนทุกแห่งต่างมีพลังบวก
จริงๆ แล้ว เรื่องจริงก็คือ ในวังหลังแห่งนี้เต็มไปด้วยความชั่วร้ายทุกสารทิศ ทั้งเหยียนอวี่ชิง ทั้งสวีปิงเย่ว์ รวมไปถึงซูหว่านก็ด้วย…
เมื่อรับเงินของสวีปิงเย่ว์แล้ว เหยียนอวี่นั่วก็มองสวีปิงเย่ว์เป็นพี่น้องทันที เล่าเรื่องทุกอย่างให้สวีปิงเย่ว์ฟังอย่างละเอียดอย่างอดไม่ไหว
ได้ยินว่าต้องการเงินมากถึงห้าร้อยตำลึง สวีปิงเย่ว์อดจะแอบกัดฟันด้วยความหวาดกลัว
แต่ว่า…นางข้าหลวงไม่มีเงินนี้ ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะไม่มีไม่ใช่หรือ
“พี่อวี่นั่ว ข้ารู้ว่ามีคนคนหนึ่งที่จ่ายเงินพวกนี้ได้แน่ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเขาจะยอมให้ท่านยืมหรือไม่นะ”
“ใครหรือ”
เห็นสวีปิงเย่ว์พูดจามีลับลมคมใน เหยียนอวี่นั่วก็อดไม่ได้ที่จะเขยิบเข้ามาใกล้นาง รอคำตอบของนางด้วยสีหน้าตึงเครียด
“ลู่มู่สวิน หมอหลวงลู่ไง”
สวีปิงเย่ว์เอ่ยชื่อของลู่มู่สวินออกมาด้วยเสียงแผ่ว เมื่อได้ยินคำพูดของนางแล้ว เหยีนอวี่นั่วก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงใบหน้าอันอบอุ่นและหล่อเหลาของลู่มู่สวิน เขา…
ตนและเขาเคยพูดคุยครั้งเดียว แม้ว่าคนในวังต่างพูดว่าหมอลู่เป็นคนดีมาก แต่ว่าเงินทองมากมายเช่นนั้น เขาจะยอมให้ตนยืมหรือ
“พี่อวี่นั่ว ข้าเห็นว่าหมอหลวงลู่เป็นคนดีมาก อีกทั้ง กับท่านเขาก็…อืม ข้าเพียงจะพูดว่าเขาเคยรักษาท่าน จำท่านได้ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะช่วยท่านได้ พรุ่งนี้สู้พวกเราหาโอกาสไปพบเขาที่สำนักหมอหลวงดีดีหรือไม่”
สวีปิงเย่ว์เห็นเหยียนอวี่นั่วเริ่มคล้อยตามก็อดไม่ได้ที่จะโน้มน้าว ในความจริงแล้วตั้งแต่ที่ได้พบกับลู่มู่สวินในสำนักหมอหลวงครั้งนั้น สวีปิงเย่ว์ก็รู้สึกหวั่นไหว
วังหลวงอันเงียบเหงา จะมีนางข้าหลวงคนใดที่ไม่คิดอยากมีความรักกันเล่า ฝ่าบาทหน้าตาเป็นอย่างไรสวีปิงเย่ว์ไม่เคยพบ แต่หมอลู่มีหน้าตาหล่อเหลาและทักษะการแพทย์สูงส่ง ตัวเขานั้นล้ำค่ามาก หากได้แต่งงานกับเขา เช่นนั้นไม่เพียงสามารถออกจากวังหลังที่แสนเหน็บหนาวแห่งนี้ได้ แต่ทั้งชีวิตก็ไม่ต้องกังวลอะไรอีกแล้ว