ตอนที่ 4 ถกเรื่องงานแต่งงาน

เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า]

หลังจากฮ่องเต้ตรัสถาม คนทั้งหลายยเร่งใช้ความคิดเฟ้นหาตัวเลือก

 

 

เมื่อครู่ฝ่าบาททรงตรัสแล้ว ฐานะของเยี่ยเม่ยก็คือเหอซั่วหนี่ว์อ๋อง ในเมื่อเป็นอ๋องจะหาพระสวามี ก็ต้องหาคนที่ฐานะเหมาะสม

 

 

ทุกคนเริ่มคิดถึงบรรดาอ๋องรวมถึงองค์ชายทั้งหลาย

 

 

ไม่ช้าก็มีคนเสนอออกมา “ฝ่าบาท ด้วยฐานะของแม่นางเยี่ยเม่ย ในยามนี้มีแต่ต้องแต่งกับท่านอ๋องหรือองค์ชายแล้ว คนอื่นล้วนไม่คู่ควรอีก ในบรรดาองค์ชายทั้งหลาย พระชายาองค์ชายใหญ่ถูกกำหนดไว้แล้ว คือธิดาของท่านเสนาบดี ส่วนองค์ชายอื่นๆ ต่างก็มีพระชายากันหมดแล้ว นอกเสียจากองค์ชายรองและองค์ชายสี่เท่านั้นที่สามารถพิจารณาได้!”

 

 

เมื่อเขาเสนอออกมา อันที่จริงในใจหวาดกลัว เขาวิเคราะห์ไปตามปัญหาของฝ่าบาท แต่การเอ่ยต่อหน้าองค์ชายสี่ว่าสามารถพิจารณาเขาได้นั้น ก็ไม่รู้ว่าองค์ชายสี่จะมีท่าทีอย่างไร จะไม่พอใจจนกำจัดเขาทิ้งหรือไม่

 

 

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงข่าวลือขององค์ชายสี่กับท่านหญิงเหยาฉือยามอยู่ที่ชายแดนก่อนหน้านี้ เห็นได้ชัดว่าระหว่างพวกเขาสองคนมีความเป็นไปได้มาก ดังนั้นคนทั้งหลายจึงคิดว่าเรื่องระหว่างองค์ชายสี่และเยี่ยเม่ยได้ผ่านไปแล้ว

 

 

เวลานี้เขาเสนอความคิดประเภทนี้ออกมา เท่ากับรนหาที่ตายโดยมิต้องสงสัย

 

 

จากนั้น

 

 

สิ่งที่ทำให้เขาแปลกใจคือ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้วกลับไม่มีวี่แววโมโหเดือดดาล กลับกันเขาคลี่ยิ้มออก

 

 

ซือถูจ้าวเอ่ยปากเสนอขึ้นว่า “ฝ่าบาท คำพูดเมื่อครู่ของใต้เท้าท่านนี้มีเหตุผลนัก แต่ว่าใต้เท้าท่านนี้ลืมบุคคลสำคัญไปผู้หนึ่งแล้ว ในองค์ชายทั้งหลายเหลือแค่องค์ชายรองกับองค์ชายสี่เท่านั้น แต่ว่าในบรรดาท่านอ๋อง ยังมีอี้อ๋องที่ยังมิได้แต่งพระชายา ถึงบอกว่า…อี้อ๋องเฝ้าคิดถึงสตรีที่ไม่ได้แต่งเข้าจวนนางนั้นมาตลอด แต่ว่ากระหม่อมคิดว่า อี้อ๋องก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลวพ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

เมื่อเอ่ยถึงยามนี้ ซือถูจ้าวยังเสนอต่อว่า “อีกอย่างอี้อ๋องอายุยี่สิบเจ็ดแล้ว สมควรแต่งพระชายาเพื่อแตกขยายกิ่งก้านสาขาของราชวงศ์เป่ยเฉิน พระชายาขององค์ชายรองและองค์ชายสี่สามารถหาได้ในภายภาคหน้า!”

 

 

ซือถูจ้าวรู้ถึงความสัมพันธ์แตกหักของเป่ยเฉินอี้กับเยี่ยเม่ยที่ชายแดนอย่างแจ่มแจ้ง

 

 

หากให้เยี่ยเม่ยแต่งงานกับเป่ยเฉินอี้ ไม่ต้องพูดถึงว่าในใจของเป่ยเฉินอี้มีเจ้าของอยู่ก่อนแล้ว อาศัยความสัมพันธ์ที่ย่ำแย่ระหว่างเขาสองคน วันเวลาของเยี่ยเม่ยในจวนอ๋องต้องไม่ดีอย่างแน่นอน ทั้งไม่แน่ว่าแต่งไปได้ไม่กี่วันอาจตายอย่างไม่ชัดเจน

 

 

หากเป็นเช่นนั้นจริงก็ถือว่าเป็นการระบายโทสะให้กับซือถูเฟิงและซือถูเฉียง บุตรและธิดาผู้ล่วงลับของเขาแล้ว

 

 

ยิ่งคิดได้เช่นนี้ ซือถูจ้าวยิ่งรู้สึกว่าต้องจับเยี่ยเม่ยแต่งกับเป่ยเฉินอี้ให้ได้

 

 

เมื่อเขาเสนอ

 

 

หลังจากเหล่าขุนนางผู้ไม่รู้ความจริงมองหน้ากันทีหนึ่ง ก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผลมากนัก จริงด้วยอี้อ๋องอายุยี่สิบเจ็ดแล้ว ยังไม่แต่งงาน เป็นเรื่องไม่เคยเกิดขึ้นในราชวงศ์มาก่อน

 

 

เพียงแต่เมื่อก่อนเป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างฝ่าบาทและอี้อ๋อง…ออกจะห่างเหินเกินไป คนจำนวนไม่น้อยต่างรู้สึกว่าฝ่าบาทไม่ชอบอี้อ๋องเป็นอย่างมาก จึงไม่มีใครกล้าเสนอเรื่องนี้

 

 

ในยามนี้ฝ่าบาททรงปล่อยอี้อ๋องแล้ว คนทั้งหมดต่างคิดว่าฝ่าบาททรงเปลี่ยนมุมมองที่มีต่ออี้อ๋อง ดังนั้นต่างพากันเห็นด้วย “จริงด้วย จริงด้วย! กระหม่อมเห็นว่าคำพูดของท่านเสนาบดีมีเหตุผลยิ่งนัก มีเหตุผลยิ่งนัก!”

 

 

สิ่งที่ทำให้ทุกคนแปลกใจก็คือ จงซานที่สนับสนุนให้แต่งตั้งเยี่ยเม่ยเป็นอ๋องในคราแรก กลับไม่เอ่ยอะไรในยามนี้

 

 

จงซานไม่คิดเสนอความคิด เขาก็รู้จักฐานะของเยี่ยเม่ยชัดเจนยิ่ง

 

 

ไม่ว่าเป็นใครในราชวงศ์เป่ยเฉินล้วนไม่ใช่ตัวเลือกที่เยี่ยเม่ยเฝ้ารอ ดังนั้นเขาจึงไม่เอ่ยปาก

 

 

ฝ่ายซือถูจ้าวหาได้คิดปล่อยจงซานไป เขามองที่จงซานเอ่ยคลุมเครือว่า “ใต้เท้าจง ก่อนหน้านี้ท่านมิใช่สนับสนุนให้แต่งตั้งแม่นางเยี่ยเม่ยเป็นท่านอ๋องมิใช่หรือไง ยามนี้เอ่ยถึงเรื่องแต่งงานแล้ว ไฉนท่านไม่ออกความเห็นสักคำ”

 

 

จงซานมองเขา ตอบด้วยเสียงไม่ร้อนไม่หนาวว่า “สนับสนุนให้แต่งตั้งเป็นอ๋องเป็นเรื่องของบ้านเมือง ส่วนเรื่องแต่งงาน เป็นเรื่องที่แม่สื่อควรกลัดกลุ้มใจ ข้าไม่สนใจกับเรื่องนี้เลยจริงๆ”

 

 

เมื่อเขาตอกกลับมาเช่นนี้ สีหน้าของคนทั้งหมดต่างเปลี่ยนสี

 

 

เซี่ยโหวเฉินคือคนที่เสนอเรื่องแต่งงานขึ้นเป็นลำดับแรก ยามนี้สีหน้าเขาไม่น่ามองแล้ว ด้วยเหตุนี้ตัวเขาเองก็กลายเป็นผู้นำแม่สื่อแล้วหรือ

 

 

ขุนนางทั้งหลายล้วนไม่คิดเอ่ยวาจา อันที่จริงลอบคิดอยู่ในใจว่า ฝีปากของจงซานช่างร้ายกาจนัก

 

 

สีพระพักตร์ฝ่าบาทก็เปลี่ยนไปเช่นกัน สายพระเนตรที่มองจงซานก็ไม่สู้ดีนัก นี่ถือว่าเป็นอะไร จากคำพูดของจงซาน พระองค์ก็กลายเป็นแม่สื่อไปด้วย เป็นแม่สื่อที่พยายามครุ่นคิดเรื่องแต่งงานของเยี่ยเม่ยอย่างสุดกำลังอย่างนั้นใช่ไหม

 

 

ยามนี้เยี่ยเม่ยพลันเข้าใจเจตนาดีของจงซานขึ้นมา

 

 

เขายอมล่วงเกินฝ่าบาท เพื่อช่วยนางคลี่คลายสถานการณ์ที่ขุนนางทั้งหลายพากันครุ่นคิดเรื่องงานแต่งงานของนาง

 

 

จงซานเอ่ยเช่นนี้ คนพวกนี้ต้องรักษาหน้าตัวเองไว้ ก็ไม่บีบบังคับเรื่องแต่งงานอีก จากนั้นในเวลานี้ เสินเซ่อเทียนพลันเอ่ยว่า “ทุกท่านเอ่ยกันมานานแล้ว สมควรให้ข้าเอ่ยสักประโยคได้หรือยัง”

 

 

เมื่อเขาส่งเสียง คนทั้งหลายยิ่งเหมือนจักจั่นเหมันต์แตกตื่น ไม่กล้าแม้กระทั่งระบายลมหายใจ

 

 

ฐานะของจวินซ่างในเป่ยเฉินสูงเกินเปรียบ ความสูงส่งนี้ไม่เพียงแค่ฐานะของเขาในใจของฝ่าบาทเท่านั้น ยิ่งเป็นเพราะความสามารถของเสินเซ่อเทียนเองด้วย

 

 

ฮ่องเต้ก็ทอดพระเนตรเสินเซ่อเทียน แสดงท่าทางว่ารอฟัง พระองค์อยากรู้ว่าเสินเซ่อเทียนคิดจะเอ่ยอะไรในยามนี้กันแน่

 

 

เสินเซ่อเทียนมองคนทั้งหมด น้ำเสียงน่าเชื่อถือนั้นแฝงไปด้วยอำนาจเอ่ยขึ้นอย่างรวดเร็ว “ใครกันบอกว่าด้วยฐานะของเยี่ยเม่ย เหมาะสมกับองค์ชายและท่านอ๋องเท่านั้น เป็นข้าไม่ได้หรืออย่างไร”

 

 

ครั้นเขาเอ่ยประโยคนี้ออกมา คนทั้งหลายตะลึงงัน

 

 

อะไรนะ ?!

 

 

อะไรกัน ?!

 

 

จวินซ่าง ?! จวินซ่างก็ลงมาร่วมสนุกด้วยหรือ จวินซ่างเอาจริงหรือไม่

 

 

สีพระพักตร์เปลี่ยนเป็นคล้ำลงว่องไวที่สุดเท่าที่ใช้ลูกตามองทันได้ สีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างน่าประหลาดใจนี้ อยู่ในสายตาของเยี่ยเม่ย นางรู้สึกประหลาดใจ การตอบสนองของฮ่องเต้นี้…

 

 

นางคิดมากไปหรือเปล่า

 

 

เมื่อสถานการณ์ดำเนินมาถึงขั้นนี้ เสินเซ่อเทียนปรายตามองคนทั้งหมด เอ่ยต่อว่า “หากพูดถึงอายุ ข้ายังโตกว่าอี้อ๋องสองปี หากตัดสินกันด้วยอายุ ใครสมควรแต่งงานก่อน เช่นนั้นก็ต้องข้าแล้วกระมัง”

 

 

“นี่…” ซือถูจ้าวไม่รู้จะเอ่ยอย่างไรดี

 

 

ความจริงเหล่าขุนนางต่างไม่รู้จะเอ่ยอะไรแล้ว

 

 

จงซานเองยังตะลึงไปชั่ววูบ ไม่รู้ว่าเสินเซ่อเทียนกำลังทำอะไรกันแน่

 

 

คนทั้งหลายต่างหลงคิดว่า เสินเซ่อเทียนที่อยู่สูงส่งกลายเป็นเทพเทวดาในใจคนไปแล้ว ไม่มีเจ็ดอารมณ์หกความปรารถนาต้องการแต่งงานอีก ดังนั้นตลอดหลายปีที่ผ่านมาไม่มีใครกล้าเสนอ ทั้งไม่มีใครเอ่ยถึง ยิ่งไม่มีใครคิดถึงด้วยซ้ำ

 

 

ตอนนี้เสินเซ่อเทียนกลับเสนอออกมาเอง!