“พระชายาช่างใจกว้างยิ่งนัก คำแนะนำเช่นนั้นหรือ? ไม่มีใครในวังนี้ไม่รู้ว่าเจ้าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังทุกอย่าง เช่นนี้ใครจะกล้าทำอะไรเจ้าได้ แต่เปิ่นกงอยากจะเตือนชายาอวี้อยู่หนึ่งเรื่อง อย่าคิดว่ามีสกุลหลินและอ๋องอวี้หนุนหลังแล้วจะทำอะไรได้ตามใจชอบ สวรรค์ย่อมไม่เข้าข้างคนชั่วอย่างแน่นอน”
ฮุ่ยเจี๋ยอวี้ [1] จ้องนางเขม็ง สายตาอาฆาตมาดร้ายราวกับเป็นศัตรูกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน
หากมิใช่เพราะหยุนฉงหรง [2] รั้งนางเอาไว้ คาดว่าป่านนี้นางคงพุ่งตัวเข้ามากัดตนเองแล้ว
หลินเมิ้งหยามีจุดประสงค์ดี แต่กลับถูกฮุ่ยเจี๋ยอวี้ด่าว่าสาดเสียเทเสีย ฉะนั้นจึงเริ่มหงุดหงิดเล็กน้อย แต่เพราะอีกฝ่ายเป็นถึงสนมของฮ่องเต้ นางจึงมิอาจลงมือทำอะไรได้ เพียงแค่…นางก็มิอาจยอมจำนนได้เช่นเดียวกัน
“มิทราบว่าหม่อมฉันพลั้งเผลอทำสิ่งใดให้ฮุ่ยเจี๋ยอวี้เหนียงเหนียงขุ่นเคืองพระทัยหรือเพคะ? ได้โปรดชี้แนะด้วยเถิด”
น้ำเสียงมิได้แสดงออกถึงความเคารพเหมือนเมื่อครู่ แม้หลินเมิ้งหยาจะเป็นผู้น้อย แต่ถึงกระนั้นก็มีฐานะเป็นถึงพระชายาเอก หากคิดจะตีสุนัขก็ควรดูเจ้าของเสียก่อน การที่ฮุ่ยเจี๋ยอวี้ปฏิบัติต่อนางเช่นนี้ หากมิใช่เพราะมีคนคอยหนุนหลัง บางทีก็อาจเป็นเพราะนางเป็นคนโง่เขลาเกินเยียวยา
“ฮึ แค่พริบตาเดียวก็ลืมแล้วหรือ? ข้า…”
ยิ่งพูดฮุ่ยเจี๋ยอวี้ก็ยิ่งโกรธเกรี้ยว ดวงตากลมดั่งไข่มุกจ้องหลินเมิ้งหยาเขม็ง ท่าทางประหนึ่งปีศาจที่โผล่ออกมาจากขุมนรก ทว่าหยุนฉงหรงกลับรู้สึกว่าฮุ่ยเจี๋ยอวี้กำลังทำตัวเกินงาม นางยื่นมือเข้าไปคว้าแขนเสื้อของฮุ่ยเจี๋ยวอวี้เอาไว้ ก่อนจะส่งยิ้มเชิงขอโทษให้กับหลินเมิ้งหยา
“น้องสาวคนนี้ของข้าเป็นคนปากไว พระชายาอย่าได้ใส่พระทัยเลย นางเพียงแค่หงุดหงิดจึงระบายอารมณ์ออกมาเท่านั้น หาได้มีสิ่งใดอยู่ในใจ พระชายาได้โปรดอภัยให้นางด้วย”
ทันทีที่เห็นสีหน้าไม่น่ามองของหลินเมิ้งหยา เฉิงเหม่ยเหริน [3] พยายามดึงแขนของฮุ่ยเจี๋ยอวี้สุดแรงที่มี
ใบหน้านวลอิ่มเอิบเปี่ยมไปด้วยความกังวล
ฮุ่ยเจี๋ยอวี้มิอาจทำอะไรได้อีก ดังนั้นจึงถลึงตาโตใส่หลินเมิ้งหยา ก่อนจะสะบัดหน้าไปอีกทาง
ในเมื่อหยุนฉงหรงเป็นผู้ออกหน้าเอ่ยปาก เช่นนั้นหลินเมิ้งหยาจำต้องไว้หน้านาง
พยายามยับยั้งอารมณ์กรุ่นโกรธในใจ อยู่ๆ ก็ถูกคนแปลกหน้าด่าทอ ไม่ว่าใครก็คงรู้สึกไม่สบอารมณ์เช่นเดียวกัน
“ในเมื่อหยุนฉงหรงเหนียงเหนียงเอ่ยเช่นนี้ เช่นนั้นหม่อมฉันจะเห็นแก่มิตรไมตรีที่พระองค์มอบให้สักครั้ง แต่ถึงอย่างไรตำแหน่งเจี๋ยอวี้ก็เป็นถึงสนมของฮ่องเต้ แน่นอนว่ากิริยาวาจาย่อมต้องแตกต่างจากบ่าวไพร่ หม่อมฉันหวังว่าเหนียงเหนียงจะไม่ระบายอารมณ์ใส่ผู้อื่นโดยไร้สาเหตุอีกเพื่อความปลอดภัยแก่ตัวพระองค์เอง”
กฎระเบียบของต้าจิ้นค่อนข้างเข้มงวด โดยเฉพาะกฎระเบียบในวังหลวงที่จำเป็นต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ยิ่งไปกว่านั้นตำแหน่งสนมของนางยังไม่สูงมากพอ ไม่เหมือนกับพระสนมเต๋อเฟยซึ่งให้กำเนิดลูกชาย ซ้ำท่านอ๋องยังเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ถึงกระนั้นคนในวังหลวงจำเป็นต้องเข้าไปถวายพระพรฮองเฮาทุกวัน
แม้ครอบครัวของสามัญชนในต้าจิ้นจะให้ความสำคัญกับเจ้าบ้านชาย แต่ถึงกระนั้นเจ้าบ้านชายก็ยังต้องดูแลภรรยาอย่างดี มิให้ขาดตกบกพร่อง
ฉะนั้นวาจาของฮุ่ยเจี๋ยอวี้จึงมิต่างจากการดูหมิ่นหลินเมิ้งหยา
“พระชายาจิตใจกว้างขวางยิ่งนัก ข้าคิดว่าน้องฮุ่ยจะต้องจดจำเอาไว้ในใจอย่างแน่นอน พวกเราไม่อยากทำให้พระชายาต้องเสียเวลา เชิญพระชายาเสด็จเถิด”
เมื่อหยุนฉงหรงเป็นฝ่ายออกหน้าจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเอง ทั้งสองจึงมิอาจทะเลาะตบตีกันได้
หลินเมิ้งหยาเองก็มิได้อยากเสียเวลาตบตีกับฮุ่ยเจี๋ยอวี้อยู่ที่นี่ หลังจากถวายคำนับแล้ว นางจึงมุ่งหน้าไปยังสำนักหมอหลวงด้วยสายตาเย็นชา
ทว่าสายตาอาฆาตมาดร้ายของฮุ่ยเจี๋ยอวี้มองตามหลังนางไป
“พี่หยุน เหตุใดท่านต้องรั้งข้าเอาไว้?”
หยุนฉงหรงละสายตาจากหลินเมิ้งหยา ก่อนจะถอนหายใจ
“เจ้าคิดว่าสิ่งที่เจ้าคิดจะสัมฤทธิ์ผลหรือ? น้องฮุ่ย ในเมื่อพวกเราถวายตัวเข้าวังหลวงแล้ว เจ้าจงอย่าได้นำเรื่องของครอบครัวมาใส่ใจนักเลย พระวรกายของฮ่องเต้ไม่แข็งแรง เจ้าและข้าหาได้มีทายาทไม่ ฉะนั้นการรักษาเอาตัวรอดจึงเป็นการดีที่สุด หากวันนี้ข้ารู้ว่าเจ้ามาที่นี่เพื่อยั่วยุพระชายาแล้วล่ะก็ เช่นนั้นข้ากับน้องเฉิงคงไม่มาด้วยอย่างแน่นอน”
คำปลอบโยนของหยุนฉงหรงไม่มีผลต่อฮุ่ยเจี๋ยอวี้เลยแม้แต่น้อย
เมื่อเห็นว่าพี่สาวน้องสาวไม่ยอมยืนอยู่ข้างตนเอง ฮุ่ยเจี๋ยอวี้พ่นลมหายใจพรืด ก่อนจะสะบัดแขนออกจากมือของเฉิงเหม่ยเหรินแล้วพาสาวใช้ของตนเองเดินจากไป
“พี่หยุน พี่ฮุ่ยจะทำอะไรวู่วามหรือไม่?”
เฉิงเหม่ยเหรินเอ่ยด้วยความกังวล หยุนฉงหรงกลับส่ายหน้า ก่อนจะถอนหายใจ
ทุกคนในวังหลวงล้วนเสมือนยืนอยู่ท่ามกลางพายุซึ่งกำลังโหมกระหน่ำ ไม่รู้ว่าเรื่องของฮุ่ยเจี๋ยอวี้จะก่อตัวเป็นพายุเมื่อใด
หวังว่าชายาอวี้จะมิใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้น มิเช่นนั้นฮุ่ยเจี๋ยอวี้จะต้องใช้ชีวิตอย่างทุกข์ทรมานอย่างแน่นอน
เมื่อถูกฮุ่ยเจี๋ยอวี้หาเรื่อง หลินเมิ้งหยาจึงรู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมาก
แต่สิ่งที่อยู่เหนือจากความหงุดหงิดคือนางอยากรู้เหลือเกินว่าตนทำสิ่งใดให้พระสนมผู้นั้นขุ่นเคือง เหตุใดนางจึงโกรธเกลียดตนเองยิ่งนัก?
“หมาหน่าว เจ้ารู้เรื่องของสนมฮุ่ยเจี๋ยอวี้หรือไม่?”
เพียงได้ยินคำถามจากชายาอวี้ นางรีบตอบกลับด้วยความเคารพนับถือ
“พระสนมฮุ่ยเจี๋ยอวี้ถวายตัวเข้าวังเมื่อห้าปีก่อนเพคะ ตอนนั้นนางได้รับความรักความเอ็นดูเป็นอย่างมาก แต่เพราะนางไม่มีทายาท ดังนั้นสองปีมานี้ฮ่องเต้จึงมิได้ใส่ใจนางเลยแม้แต่น้อย หนู่ปี้ได้ยินมาว่านางเป็นญาติห่างๆ ของฮ่องเต้ ส่วนเรื่องอื่นหนู่ปี้เองก็ไม่ทราบเจ้าค่ะ”
ญาติห่างๆ ของฮ่องเต้? นางคิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นเช่นนี้
อันที่จริงเหล่าตระกูลของชนชั้นสูงล้วนอยากจะเกี่ยวดองเป็นครอบครัวเดียวกันกับฮ่องเต้ทั้งสิ้น หากพิจารณาดูให้ดีจะพบว่าพวกเขาเหล่านั้นล้วนเป็นญาติพี่น้องของฮ่องเต้
“นายหญิงจะให้ข้าไปสั่งสอนนางหรือไม่เจ้าคะ?”
ป๋ายซูที่นิ่งเงียบตลอดเวลายื่นหน้าเข้าไปกระซิบข้างหูของหลินเมิ้งหยา
หลินเมิ้งหยาส่ายหน้า ตอนนี้นางยังไม่เข้าใจสถานการณ์ในวังหลวงดีพอ ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่หมาหน่าวพูดก็ย่อมเป็นความจริง
“ไม่เป็นไร นางก็แค่พูดไม่ดีกับข้าเพียงสองสามประโยคเท่านั้น พวกเรายังคงอาศัยอยู่ในวังหลวง ฉะนั้นพยายามอดทนอดกลั้นกันสักหน่อยจะดีกว่า ไปเถอะ พวกเราไปสำนักหมอหลวงกัน”
ภายในสำนักหมอหลวงยังคงวุ่นวายมิต่างจากเมื่อวาน ทว่าวันนี้ซูถงและเจียงข่ายไม่อยู่ ปกติแล้วพวกขุนนางทั่วไปจะสามารถอยู่พักผ่อนที่บ้านได้ทุกวันที่ห้าของเดือน
แต่ถึงกระนั้นสำนักหมอหลวงก็ต้องมีคนคอยอยู่รักษาการ
วันนี้คนที่มาแทนคือชายผู้มีใบหน้าเคร่งขรึม แม้จะเส้นผมและหนวดเคราจะเป็นสีเทา แต่ถึงกระนั้นก็มิได้รกรุงรัง
หลังจากเห็นหลินเมิ้งหยาแล้วคิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากัน แต่เมื่อลูกน้องเอ่ยแนะนำ เขาจึงวางยาในมือลงแล้วเดินเข้ามาถวายคำนับนาง
“ข้าน้อยคือรองเจ้าสำนักหมอหลวง ชุ่ยซือ ถวายพระพรพระชายา”
“ใต้เท้าชุ่ยอย่าได้มากพิธี ข้าเพียงแค่มาฝึกงานที่สำนักหมอหลวงแต่เพียงเท่านั้น ต่อจากนี้ไปหากทุกคนพบข้าก็อย่าได้มีพิธีรีตองนักเลย ถึงอย่างไรข้าก็ต้องมาทำงานอยู่ที่นี่สักระยะ หากทุกคนต้องถวายคำนับทุกครั้ง เกรงว่าจะเสียการเสียงานเปล่า”
หลินเมิ้งหยาหยักยิ้มเกรงใจ แม้ในใจจะวางแผนรับมือกับรองเจ้าสำนักชุ่ยผู้นี้แล้ว
ชุ่ยซือมีลักษณะท่าทางเคร่งขรึม คนประเภทนี้จะต้องเป็นพวกหัวโบราณอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นสายตาที่มองมาทางนางยังมีแววดูถูกเหยียดหยาม
เกรงว่าในกาลข้างหน้า คนที่จะเอ่ยคัดค้านเป็นคนแรกหากนางคิดจะรักษาพระอาการประชวรของฮ่องเต้จะต้องเป็นเขาอย่างแน่นอน
ตอนนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการสำรวจ หากนางปล่อยให้คนเหล่านี้เห็นธาตุแท้ของตนเองง่ายๆ เช่นนั้นก้าวต่อไปพวกเขาคงโยนนางออกจากสำนักหมอหลวง
“พ่ะย่ะค่ะ ขอบพระทัยพระชายา”
ชุ่ยซือไม่เอ่ยคัดค้านเลยแม้แต่น้อย เขาลุกขึ้นและเตรียมจะกลับไปตอบคำถามลูกน้องของตนเอง
หลินเมิ้งหยาจึงเอ่ยรั้งเขาเอาไว้
“ใต้เท้าชุ่ย ข้ามีเรื่องต้องการขอร้อง”
สายตาของชุ่ยซือปรากฎความไม่พอใจ หากหลินเมิ้งหยามิใช่ชายาอวี้แล้วล่ะก็ เกรงว่านางจะถูกเขาไล่ออกจากสำนักหมอหลวงไปนานแล้ว
“ข้าอยากดูรายงานชีพจรของฮ่องเต้ เหตุเพราะข้าเพิ่งเข้ามาใหม่ ดังนั้นจึงยังไม่รู้ว่าฮ่องเต้มีอาการประชวรเช่นไร ฉะนั้นข้าจึงไม่แน่ใจว่าใต้เท้าชุ่ยจะตอบสนองคำขอของข้าได้หรือไม่?”
นางถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ทว่าชุ่ยซือกลับสบถเสียงเย็น
ไล่สายตาสำรวจนางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ก่อนจะส่งเสียงดูแคลนเพื่อปฏิเสธ
“ชายาอวี้ กระหม่อมถวายงานรับใช้ในวังหลวงมาไม่น้อยกว่าสิบปี แม้ฝีมือทางการแพทย์จะมิได้ชื่อว่าเป็นที่หนึ่ง แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีความสามารถมากกว่าพวกลูกนกหัดบินมาก วิชาการแพทย์หาได้มีทางลัดแต่อย่างใด แม้แต่คนมีพรสวรรค์ยังต้องใช้เวลาสิบกว่าปีในการฝึกฝน พระชายาเป็นสตรีเพศ เหตุใดจึงไม่ทำการรักษาอยู่แต่เพียงฝ่ายใน คงไม่เหมาะสมนักที่พระองค์จะอยู่ที่สำนักหมอหลวงแห่งนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ชีพจรของฮ่องเต้ยังเป็นเรื่องสำคัญมาก หาใช่ใครหน้าไหนจะมาขอดูก็ดูได้ เชิญพระชายากลับไปเถิด”
หลินเมิ้งหยาเกือบถูกความโกรธครอบงำจนระเบิดเสียงหัวเราะออกมา เพราะเหตุนี้ซูถงจึงหาข้ออ้างเพื่อให้นางมาที่นี่ในวันนี้อย่างนั้นสินะ
ที่แท้ เหล็กชิ้นใหญ่ก็มาขวางหน้านางในวันนี้
“บังอาจ!”
เสียงตะคอกด้วยความโกรธเกรี้ยวดังขึ้น
เพียงพริบตาเดียว “ตึง” ชุ่ยซือซึ่งมีท่าทางหยิ่งผยองเมื่อครู่มิต่างอันใดจากกระสอบทราย ร่างของเขาถูกโยนเข้าไปกระแทกกับตู้ยาทางด้านหลัง
ยาสมุนไพรมากมายร่วงหล่นใส่ร่างของชุ่ยซือ ใต้เท้าชุ่ยหันไปมองทางป๋ายซูด้วยดวงตาหวาดผวา ก่อนจะเป็นลมสลบไป
“โอ้ ขออภัย สาวใช้ของข้าดีหมดทุกอย่าง ยกเว้นอารมณ์”
กวาดสายตามองผู้คนโดยรอบที่กำลังจ้องพวกนางด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว หลินเมิ้งหยากล่าวเนิบนาบ ก่อนจะพาป๋ายซูไปยังห้องเล็กที่ซูถงเตรียมเอาไว้ให้
นางหาใช่คนที่ใครจะมารังแกได้ง่ายๆ เมื่อครู่ความโกรธยังไม่ทันจางหายไป ตอนนี้ชุ่ยซือยังกล่าววาจายั่วยุนางอีก ฉะนั้นคงจะโทษนางเรื่องนี้ไม่ได้
หลังจากผ่านเรื่องนี้ไป หมอหลวงล้วนเคารพหลินเมิ้งหยา ซ้ำยังพยายามรักษาระยะห่างจากนาง
ชุ่ยซือถูกส่งกลับไปที่จวน คาดว่าอีกสามถึงห้าวันข้างหน้าจึงจะสามารถลุกขึ้นจากเตียงได้ แต่ถึงกระนั้นป๋ายซูก็ยังยั้งมือเอาไว้ มิเช่นนั้นเขาคงบาดเจ็บหนักกว่านี้
“นายหญิง พวกเขาพยายามหาข้ออ้างซ้ำแล้วซ้ำเล่า นี่หรือว่าชีพจรของฮ่องเต้จะมีปัญหาจริงๆ?”
ป๋ายซูกลายเป็นปีศาจประจำสำนักหมอหลวงที่ไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่งด้วย
แม้จะมีคนคิดอยากลองดี แต่เมื่อถูกนางส่งสายตาเย็นชากลับไป พวกเขามิวายรีบวิ่งแจ้นหนีหายราวกับหนูที่ถูกแมวไล่ตะปบ
แต่ยิ่งเห็นสถานการณ์ทางฝั่งของนายหญิงตนเอง คิ้วของป๋ายซูยิ่งขมวดเข้าหากันแน่น
แม้จะไม่มีกล้าเข้ามายุ่มย่าม แต่พวกเขาวางหลินเมิ้งหยาไว้บนหิ้ง ไม่อนุญาตให้นางทำอะไรทั้งสิ้น ดังนั้นนี่จึงเป็นการเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์
———————
หมายเหตุ
[1] เจี๋ยอวี้ คือ ตำแหน่งพระสนมขั้นสาม ชั้นเอก
[2] ฉงหรง คือ ตำแหน่งพระสนมขั้นสอง อันหมายถึงผู้มีกิริยาวาจางดงาม
[3] เหม่ยเหริน คือ ตำแหน่งพระสนมขั้นสี่