ตอนที่ 225 มั่นคง

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 225 มั่นคง

“แล้วตราประทับนี้หมายความว่าเยี่ยงไร? ” อันอิงเฉิงเอ่ยถามด้วยแววตาเข้มงวด “ตอนนี้มีหลักฐานครบถ้วน ใต้เท้าเจียวมิจำเป็นต้องกล่าวอันใดอีก หากเจ้าคิดว่าตนถูกปรักปรำก็ให้ไปคุยกันที่ศาลต้าหลี่ ! ”

อันอิงเฉิงหมดความอดทนกับเขาแล้ว ขอแค่ยืนยันต่อหน้าราษฎรได้ว่าตัวยามิมีปัญหาก็พอ เรื่องของใต้เท้าเจียวเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย “นำตัวใต้เท้าเจียวออกไป ! ”

มิว่าใต้เท้าเจียวขัดขืนอย่างไร ก็มิอาจสู้แรงของเหล่าทหารได้

ส่วนเจ้าหน้าที่ของที่ว่าการนายอำเภอยิ่งมิกล้าต่อต้าน พวกเขาทำได้แค่มองใต้เท้าเจียวถูกนำตัวไป อีกมิกี่วันก็ต้องโดนสืบสวนโดยศาลต้าหลี่ของเมืองจิง

อันหลิงเกอเห็นท่าทางของชาวบ้านดูกังวลใจเล็กน้อย พวกเขาคงหวาดกลัวฐานะที่เพิ่งประกาศออกไป ดังนั้นนางจึงแสดงท่าทีอ่อนโยนแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลน่าฟัง “โชคดีที่ตรวจสอบความจริงออกมาได้ ยาของร้านเรามิมีปัญหาอย่างแน่นอน มิเช่นนั้นยาที่คิดค้นมาอย่างเหน็ดเหนื่อยเพื่อรักษาโรคระบาดก็จักไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง”

อันหลิงเกอดูเป็นคนน่าเข้าหามากที่สุดในกลุ่มคนเหล่านี้จึงมีชาวบ้านคนหนึ่งกล้ากล่าวขึ้นว่า “พวกท่านคือขุนนางหรือ ? ”

“ใช่แล้ว พวกข้าได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ให้มารักษาโรคระบาดที่ฉู่โจว” อันหลิงเกอกล่าวอย่างเป็นมิตร “พวกเราเป็นขุนนางที่เมืองจิง แต่เมื่ออยู่ที่นี่พวกเราก็เหมือนเป็นหมอมากกว่า”

หลังจากนั้นอันหลิงเกอก็ยื่นมือชี้ไปทางเตาต้มยา “มิว่าพวกเราเป็นใคร คนที่ต้องการซื้อยารักษาโรคระบาดก็ยังมาที่นี่ได้เช่นเดิม ส่วนคนที่ต้องการเพียงสูตรยา เราก็จักมอบสูตรยาให้”

ชาวบ้านเห็นท่าทางของอันหลิงเกอยังคงเป็นมิตร มิได้แสดงว่าอยู่เหนือกว่าผู้อื่นจึงคลายความหวาดกลัวลงมิน้อยเลย

เมื่อนึกแล้ว ตั้งแต่ที่คนเหล่านี้ปรากฏตัวขึ้นก็ใส่ใจกับเรื่องรักษาโรคระบาดมาโดยตลอด เมื่อเทียบกับใต้เท้าเจียวที่ละเลยและต้องการทำร้ายราษฎร ใต้เท้าเหล่านี้สูงส่งกว่าและหวังดีต่อราษฎรอย่างแท้จริง !

เมื่อมีความคิดเยี่ยงนี้ ความเกรงกลัวที่มีต่อขุนนางจึงหายไป พวกเขามิสงสัยอีกต่อไปว่ายาได้ผลหรือไม่ กินแล้วจักตายหรือไม่

คนที่คิดจากไปเริ่มรวมตัวกันอีกครั้งและต่อแถวหน้าร้านขายยาใหม่

หมอหลวงเห็นอันหลิงเกอใช้คำมิกี่คำก็สามารถแก้ไขสถานการณ์อันตรายนี้สำเร็จจึงยกมือขึ้นมาปาดเหงื่อและเริ่มติดเตาต้มยากันต่อไป

อันอิงเฉิงและมู่จวินฮานค่อนข้างรับมือกับโรคระบาดได้เป็นอย่างดี พวกเขาทำงานว่องไว ออกคำสั่งให้คนไปรวบรวมรายชื่อผู้ติดโรคและสั่งให้เจ้าหน้าที่ไปกระจายข่าวเรื่องยารักษาโรคให้ทุกเรือนโดยมิเว้นแม้แต่หลังเดียว

คนมิน้อยมาซื้อยาหลังจากได้ยินข่าวนี้ พอได้ทานยามิเกินสามวันอาการก็หายดี !

นี่เป็นเรื่องที่ดีนัก โรคระบาดมีหนทางแก้ไขแล้ว ราษฎรดีใจจนต้องบอกต่อกัน คนครึ่งหนึ่งของเมืองฉู่โจวมาซื้อยาจนหมด ส่วนคนกลุ่มหนึ่งก็เอาสูตรยากลับไป

เป็นเยี่ยงนี้เรื่อย ๆ จนผ่านไปอีกสี่ถึงห้าวัน โรคระบาดก็ถูกควบคุม จำนวนคนตายลดลงในแต่ละวัน

มู่จวินฮานมองรายชื่อผู้ซื้อยาไปแล้ว จากเดิมที่มีเพียงสิบกว่าคน ภายหลังก็กลายเป็นหลักพันคน

ในมือเขายังมีรายชื่ออีกฉบับหนึ่งซึ่งเป็นรายชื่อของผู้ที่ติดโรคระบาด มีชื่อคนมิน้อยที่ถูกขีดทิ้งและเหลือเพียงร้อยคนที่ยังรักษามิหาย

เมื่อเห็นเช่นนั้นมู่จวินฮานจึงถอนหายใจออกมา หากฮ่องเต้มิส่งใต้เท้าเจียวมาที่นี่ โรคระบาดย่อมมิร้ายแรงเช่นนี้

โชคดีที่อันหลิงเกอมียารักษาโรคระบาดอยู่ในมือจึงสามารถแก้ไขปัญหาตึงเครียดได้ในที่สุด

รออีกร้อยกว่าคนหายจากโรค พวกเขาก็สามารถเดินทางกลับเมืองจิงได้แล้ว

เดิมทีอันอิงเฉิงคิดว่าฮ่องเต้ได้มอบเรื่องที่แสนลำบากให้เขา โรคระบาดนับว่าเป็นสิ่งร้ายแรงมาตั้งแต่อดีต มีขุนนางจำนวนมากที่ถูกฮ่องเต้ลงโทษเพราะมิสามารถรักษาโรคระบาดได้

ทว่าเขาโชคดี

อันอิงเฉิงที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะน้ำชามีใบหน้าผ่อนคลาย เขาโชคดีที่บุตรสาวมีทักษะทางการแพทย์ยอดเยี่ยม สามารถค้นพบยารักษาโรคได้ เพียงใช้เวลามิกี่วันก็สามารถควบคุมโรคระบาดได้ทั้งหมดแล้ว นี่นับเป็นผลงานชิ้นใหญ่เลยทีเดียว !

มิต้องกล่าวถึงว่าฮ่องเต้จักลงโทษเขา เมื่อมีผลงานนี้แล้ว ฮ่องเต้มิอยากให้รางวัลเขาก็คงมิได้แล้ว

อืม ยังมีเกอเอ๋อด้วย ยาสูตรนี้ค้นพบโดยเกอเอ๋อ เขาต้องกล่าวถึงความดีของเกอเอ๋อต่อหน้าพระพักตร์ นางอายุมิน้อยแล้วหากฮ่องเต้ทรงประทานงานสมรสให้นางได้ล่ะก็…

ในเวลานี้อันอิงเฉิงคิดไปไกลจนลืมมู่จวินฮานไปเสียแล้ว

โชคดีที่อันหลิงเกอและมู่จวินฮานมิรู้ความคิดของบิดา ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตนตามปกติ หลังจากนั้นพวกเขาอาศัยอยู่ที่ฉู่โจวอีกมิกี่วัน สุดท้ายก็รักษาผู้ป่วยจนหายทั้งหมด

ภารกิจรักษาโรคระบาดจึงถือว่าประสบความสำเร็จจนได้

อันหลิงเกอและคนอื่น ๆ ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ส่วนอันอิงเฉิงยิ่งมีความสุขมาก เขาเรียกคนมารวมกันในโถงเพื่อคุยเรื่องนี้ “ทุกท่าน ภารกิจรักษาโรคระบาดที่ฉู่โจวสำเร็จแล้ว ถึงเวลาที่เราต้องกลับไปรายงานเรื่องนี้ที่เมืองหลวง”

มู่จวินฮานนั่งอยู่ด้านขวาของอันอิงเฉิง มุมปากมีรอยยิ้มที่จงใจปั้นแต่งขึ้น “สำเร็จภารกิจที่ฝ่าบาทมอบให้เสียที ที่ฉู่โจวนี้มิมีอันใดเจริญเท่าเมืองหลวงแม้แต่นิด”

ท่าทางของเขาราวกับกำลังเอ่ยล้อเล่นกับสหาย อันอิงเฉิงเหลือบมองเขาทีหนึ่ง ภายในใจรู้สึกว่าท่าทางมั่นคงเป็นผู้ใหญ่ของเขาเมื่อหลายวันก่อนเป็นแค่ภาพลวงตา

“ข้าตัดสินใจออกเดินทางพรุ่งนี้ มิทราบว่าทุกท่านมีความเห็นอื่นหรือไม่ ? ”

อันอิงเฉิงแสดงความคิดเห็นที่แท้จริงของตนออกมา เขามองมู่จวินฮานและหมอหลวงคนอื่น

หมอหลวงมิมีความคิดเห็นอันใดอยู่แล้ว พวกเขาทำเพียงกล่าวตอบรับ “พวกเราย่อมทำตามคำสั่งท่านโหวและมู่ซื่อจื่อขอรับ”

“ข้ามู่ซื่อจื่อก็มิมีความเห็นอื่นขอรับ” มู่จวินฮานเล่นแหวนหยกที่นิ้วมือแล้วตอบอย่างมิใส่ใจ

เรื่องการเดินทางกลับเมืองจิงจึงถูกกำหนดมาเช่นนี้

มิรู้ว่าข่าวนี้ได้กระจายออกไปเยี่ยงไร ตอนที่อันหลิงเกอและคนอื่นกลับเมืองจิงก็มีชาวบ้านมายืนรออยู่เต็มสองข้างทางเหมือนต้อนรับวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ พอเห็นรถม้าเข้าเมืองก็พากันโห่ร้องขึ้นมาทันที

“รีบดูเร็ว นั่นก็คือท่านโหวและมู่ซื่อจื่อที่เป็นผู้รักษาโรคระบาดเยี่ยงไรเล่า”

“ยอดเยี่ยมเหลือเกิน แม้กระทั่งโรคระบาดยังสามารถรักษาได้”

“ข้าได้ยินว่าคุณหนูใหญ่อันเป็นผู้คิดค้นสูตรยาออกมา นางก็คือผู้ที่ถูกมู่ซื่อจื่อยกเลิกงานสมรสและถูกฝ่าบาทประทานยศเป็นจวิ้นจู่เยี่ยงไรเล่า”

การสนทนาของผู้คนดังพอสมควร บางคำจึงดังผ่านหูของอันหลิงเกอ

นี่เป็นสถานการณ์ครึกครื้นครั้งแรกตั้งแต่นางได้กลับมาเกิดใหม่ มันคึกคักยิ่งกว่างานฉลองของราชวังเป็นสามเท่าเลยทีเดียว

อันหลิงเกอเลิกผ้าม่านรถม้าออกข้างหนึ่ง เห็นใบหน้าชาวเมืองมีแต่รอยยิ้มที่นับถือ นางเองก็ยิ้มขึ้นมาอย่างห้ามมิได้

อันหลิงเกอที่กำลังอารมณ์ดี แต่หลี่ซื่อและอันหลิงอีที่อยู่ในจวนโมโหจนปาถ้วยชามแตกกระจาย

“คนสารเลวอันหลิงเกอ แม้กระทั่งโรคระบาดยังทำอันใดนางมิได้เลย อีกทั้งตอนนี้ยังสร้างผลงานใหญ่ด้วย ! ”

อันหลิงอีขว้างปาแจกันสีเขียวในมือออกไป แววตาเต็มไปด้วยไฟแห่งโทสะ