ตอนที่ 289 อาจารย์เว่ย ฉันไม่แคร์ ฉันมีศิษย์สามคน

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

ฉินหร่าน “…”

โจวซานยังถึงกับสำลัก

นักวิชาการ นักศึกษา คนที่อยู่ห้องทดลองทั้งวัน…มีคนหัวล้านอยู่เยอะก็จริง แต่ในภาคคณิตศาสตร์ก็มีอาจารย์หัวล้านอยู่สองคนเหมือนกัน…

ที่จริงก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร

ฉินหร่านยืนกรานที่จะเรียนวิชาวิศวกรรมอัตโนมัติ โจวซานและคณบดีแผนกคณิตศาสตร์ต่างรับรู้ได้

ในที่สุดทั้งสองก็กลับมามือเปล่า

เฉิงเจวี้ยนเห็นว่าทั้งสามคนคุยกันเสร็จแล้ว จึงเงยหน้าขึ้น ถามขึ้นอย่างรู้งาน “ทั้งสองท่านอยากอยู่รับประทานอาหารที่นี่ไหม”

คณบดีแผนกคณิตศาสตร์รู้สึกพ่ายแพ้ ไม่มีความคิดอยากอยู่รับประทานอาหารเลยสักนิด

เขาโบกมือให้เฉิงเจวี้ยนอย่างอ่อนแรง “ไม่ล่ะ ฉันจะกลับมหา’ลัย”

ไปถึงประตู เขาหันกลับมามองฉินหร่านอีกรอบ…

ฉินหร่านกำลังก้มหน้าถือตะเกียบตั้งหน้าตั้งตากินข้าว

คณบดี “…” เขาเจ็บปวดใจยิ่งนัก

หลังจากโจวซานและคณบดีกลับไป เฉิงเจวี้ยนปิดประตูลง มองไปที่เฉิงเวินหรูกับเลขาหลี่ที่ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ถามอย่างเกรงใจมาก “ทั้งสองท่านไม่ทานข้าวเหรอ”

เฉิงเวินหรู “…”

เลขาหลี่ “…”

ทั้งสองมองหน้ากัน นั่งลงที่โต๊ะไม่พูดอะไรสักคำ รับประทานอาหารกับฉินหร่าน เฉิงเจวี้ยนและคนอื่นๆ

พ่อครัวเองก็ช่างสังเกต ตอนที่เห็นเฉิงเวินหรูกับเลขาหลี่เข้ามาก็ได้เตรียมอาหารเย็นไว้สำหรับทั้งคนด้วย

ฉินหร่านอยากขึ้นไปฝึกไวโอลิน กินเสร็จคนแรกก็บอกลาทุกคน เดินขึ้นไปฝึกไวโอลินข้างบน

รอฉินหร่านขึ้นไปด้านบน เฉิงเวินหรูค่อยหันไปทางเฉิงเจวี้ยน หรี่ตา “เกิดอะไรขึ้นกับพวกผู้อำนวยการโจว”

เธอคิดว่าไวโอลินของฉินหร่านเยี่ยมยอดขนาดนั้น เพราะเรียนศิลปะ…

“ก็นะ” เฉิงเจวี้ยนคีบผักขึ้นมาหนึ่งคำอย่างเชื่องช้า พูดอย่างไม่ใส่ใจนัก “เธอได้คะแนนเต็มวิชาคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ ทั้งสองสถาบันกำลังต่อสู้กัน”

เฉิงเวินหรูยังคงเงียบ ไม่พูดอะไรอีก

เลขาหลี่ที่นั่งข้างๆ “…”

ฟังแล้ว เธอเป็นมนุษย์จริงเหรอ

**

อีกหนึ่งสัปดาห์ถัดมา ที่สมาคมไวโอลิน

ที่ห้องสอบชั้นสอง

อาจารย์ทั้งสองท่านมองฉินอวี่แล้วก้มหน้าลงดูข้อมูล “ฉินอวี่ เธอแน่ใจนะว่าจะสอบประเมินระดับหกวันนี้”

“แน่ใจ” ฉินอวี่เม้มปากตอบกลับ

อาจารย์ทั้งสองมองหน้ากันอย่างแปลกใจ “โอเค เริ่มได้”

ตอนแรกพวกเขาคิดว่าฉินอวี่จะรอให้ถึงนิทรรศการงานแข่งขันตอนปลายเดือนแปดจึงค่อยสอบ เมื่อถึงเวลานั้นจะได้เข้าที่เข้าทางกว่านี้ คิดไม่ถึงว่าเธอจะสอบผ่านได้เร็วขนาดนี้

สิบนาทีต่อมา ฉินอวี่ออกมาจากในห้องสอบประเมิน

ที่ด้านนอก เถียนอี้อวิ๋นมองเธออย่างประหม่า “รุ่นพี่ คุณผ่านแล้วใช่ไหม”

ฉินอวี่เหลือบมองเธอ พูดด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงสบายๆ “ผ่านแล้ว”

“เร็วมาก!” เถียนอี้อวิ๋นตื่นเต้นทันที ก้มหน้าหยิบโทรศัพท์โอ้อวดคนในกลุ่มอย่างไม่ลังเล

ฉินอวี่ปล่อยให้เธอพูด ย้ายไปทางฝั่งคอมพิวเตอร์แล้วเปิดหน้าเว็บ มีการเปลี่ยนแปลงของการจัดอันดับบนหน้าเว็บ

ฉินอวี่ นักเรียนระดับสูง (ระดับห้า) เปลี่ยนเป็น…ฉินอวี่ นักเรียนระดับสูง (ระดับหก) แล้ว

และถัดลงมายังคงเป็นฉินหร่าน นักเรียนระดับสูง (ระดับห้า)

ฉินอวี่นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์มองดูอยู่พักหนึ่ง แล้วถอนหายใจอย่างโล่งอก

**

ที่ชั้นสอง

ห้องฝึกซ้อม

สองสัปดาห์นี้ วังจือเฟิงไม่พูดไม่จา อยู่รวมกลุ่มก็เอาแต่เงียบ

ข่าวที่ฉินอวี่สอบผ่านระดับหกราวกับเป็นยากล่อมประสาทอย่างรุนแรงให้เถียนอี้อวิ๋น ข่าวที่เธอสอบผ่านระดับหกถูกป่าวประกาศในทันที

เมื่อลอยมาถึงหูวังจือเฟิง เขา ‘ดีดตัว’ ลุกขึ้นยืนอย่างประหลาดใจสุดๆ “ฉินอวี่ถึงระดับหกแล้วงั้นเหรอ”

เถียนเซียวเซียววางไวโอลินลง “เร็วมาก”

“เร็วจริงๆ” วังจือเฟิงพยักหน้า แล้วคิดบางอย่าง “ตอนนี้ฉันระดับสี่ ต้องใช้เวลาขยันหมั่นเพียรจนถึงสิ้นปีถึงจะสอบผ่านระดับห้า ส่วนระดับหก…จะมีหวังได้ก็ตอนสิ้นปีหน้านู่น”

เถียนเซียวเซียวมาที่สมาคมไวโอลินโดยมีจุดประสงค์ก็เพื่อ ‘บังหน้า’ แต่เพราะฉินหร่านกับอาจารย์เว่ย เธอจึงยังมีความคิดที่จะตั้งใจเรียนไวโอลิน

นอกนั้น เรื่องที่ฉินอวี่จะขึ้นถึงระดับไหน เธอไม่ได้สนใจเท่าไหร่ เพียงแค่หันไปมองแล้วส่งเสียง “อ้อ”

ฉินหร่านไม่ได้ใส่ใจว่าทั้งสองกำลังพูดถึงอะไร

เธอนั่งเฉยๆ อยู่ริมหน้าต่าง ขมวดคิ้วแล้วฟังเพลง

เวลานี้ ที่ห้องฝึกซ้อมมีเสียง ติ๊ด ดังขึ้นและประตูเปิดออก

เถียนเซียวเซียวกับวังจือเฟิงรีบยืนขึ้น มองไปทางอาจารย์เว่ย รีบเปลี่ยนเป็นจริงจังทันที “อาจารย์เว่ย”

“อือ” อาจารย์เว่ยพยักหน้าและยิ้มให้พวกเขาด้วยรอยยิ้มสงบอ่อนโยน “ช่วงสองวันนี้เรียนเป็นอย่างไรบ้าง”

“เข้าใจดีมาก” เถียนเซียวเซียวกับวังจือเฟิงพยักหน้ารัว

คนนอกล้วนแต่ไม่สามารถไขว่คว้าคาบเรียนแม้แต่คาบเดียวของอาจารย์เว่ยมาได้ แต่ทุกสัปดาห์พวกเขาสามารถนั่งฟังแต่ละคาบเรียนได้ฟรี เถียนเซียวเซียวกับวังจือเฟิงจึงมาฝึกซ้อมตรงเวลาทุกๆ วัน

เถียนเซียวเซียวหยุดพักคลาสเรียนกายภาพของศิลปินในบริษัทไว้ชั่วคราว

ผู้จัดการเคยพูดเรื่องนี้กับเธอแล้ว แต่เถียนเซียวเซียวก็ไม่เคยรับปาก ท้ายที่สุดพี่เวินก็ไม่ได้พูดอะไร ปล่อยให้เถียนเซียวเซียวเติบโตอย่างอิสระที่สมาคมไวโอลิน

แต่ถึงอย่างไร ก็แค่ระยะสั้นๆ ตอนนี้ที่เป็นช่วงซัมเมอร์

รอถึงเปิดเทอม เถียนเซียวเซียวยังต้องกลับไปที่แผนกการแสดง

ฉินหร่านวางไวโอลินลงแล้วยืนขึ้น “ก็ดี”

อาจารย์เว่ยละสายตาออกแล้วหัวเราะ แล้วให้บทเรียนแก่ทั้งสามคนต่อ เมื่อจบบทเรียน เขาเก็บจึงเก็บหนังสือ

แล้วนั่งที่เก้าอี้ไม่ไปไหน

ทั้งสามคนรู้ว่าเขามีเรื่องจะพูด จึงนั่งลงเก้าอี้แล้วมองที่เขา

อาจารย์เว่ยเคาะนิ้วลงบนโต๊ะ ไตร่ตรองอยู่พักหนึ่งแล้วมองทั้งสามคน “คาบเรียนเสรีวันนี้ตอนบ่ายไม่มีใครไปใช่ไหม”

“ไม่ครับ” วังจือเฟิงยกมือ “รู้ว่าวันนี้ตอนบ่ายคุณมีสอน พวกเราเลยไม่ได้ไป”

“อือ” อาจารย์เว่ยพยักหน้าต่อ “ถ้าอย่างนั้นฉันจะบอกกับพวกเธอเรื่องนิทรรศการงานแข่งขันเดือนหน้า ที่เกี่ยวโยงกับนักเรียนระดับสูง ซึ่งมีคนเดียวเท่านั้นที่จะถูกเลือก”

“ฉันหวังว่าพวกเธอสามคนจะเข้าร่วม”

วังจือเฟิงยกไวโอลินขึ้น เขาเป็นแฟนบอยของอาจารย์เว่ย พยักหน้ารัว “รับทราบครับอาจารย์เว่ย!”

เถียนเซียวเซียวยิ้มอย่างเกียจคร้าน “เอาเป็นว่าฉันจะเก็บไปคิด”

อาจารย์เว่ยมองไปที่ฉินหร่านเป็นคนสุดท้าย

ฉินหร่านวางมือไว้หลังหัว “อือ”

อาจารย์เว่ย “…”

เขาคุยกับทั้งสามคนเสร็จ จึงทิ้งตารางฝึกซ้อมใหม่ไว้ให้แล้วออกมา

ได้ยินเสียงกำลังเดินลงมาด้านล่าง เห็นเป็นอาจารย์เว่ยจึงหยุดลงครู่หนึ่ง “อาจารย์เว่ย เป็นอย่างไรบ้าง”

อาจารย์เว่ยพูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “ทั้งสามคนตกลงตามนั้น”

“งั้นก็ดี” เหวินอินพยักหน้าแล้วยิ้ม “วันนี้ตอนบ่ายกลุ่มของอาจารย์ไต้รู้สึกภาคภูมิใจมาก”

เพราะไม่มีใครคาดคิดว่าฉินอวี่จะสอบผ่านระดับหกเร็วขนาดนี้

อาจารย์เว่ยวางมือไว้ด้านหลังแล้วยิ้ม “ตอนนี้ปล่อยให้พวกเขาภูมิใจไปพักหนึ่ง”

เขาไม่แยแสอะไรเลยจริงอย่างนั้นเหรอ

ไม่รับศิษย์มาหลายปี คนเหล่านั้นเกือบลืมแล้วว่าเว่ยหลินสอนลูกศิษย์ได้ดีไม่แพ้ใคร

“แล้วทั้งวังจือเฟิงกับเถียนเซียวเซียว…” เหวินอินนึกถึงทั้งสองคน

อาจารย์เว่ยกดลิฟต์ พูดน้ำเสียงเบา “ขาดคุณสมบัตินิดหน่อย แต่นับว่าเป็นลูกศิษย์ทั่วไป”

ไม่กี่วันมานี้ อาจารย์เว่ยใช้เวลาสอนบทเรียนให้กับพวกฉินหร่าน และพบว่าความสัมพันธ์ของฉินหร่านกับสองคนนั้นเป็นไปด้วยดี ทั้งสามคนมีการติดต่อกันบ้างเป็นครั้งคราว

นิสัยของวังจือเฟิงกับเหวินอินมีความคล้ายกัน ต่างก็เป็นผู้คลั่งไคล้ไวโอลิน

พวกเขาถ้าไม่ได้เอาแต่เรียนไวโอลินทั้งวัน ก็จะทำอะไรที่เกี่ยวกับการเรียนไวโอลิน

เป็นนักเรียนที่มีความขยันตั้งใจกว่าฉินอวี่อยู่มาก ที่ฉินอวี่ขยันแบบนั้นก็เพื่อจุดประสงค์การมีชื่อเสียงเงินทอง แต่วังจือเฟิงเพียงแค่รักในไวโอลิน

ดังนั้นผลลัพธ์สุดท้ายของการเรียนของทั้งสองจึงไม่เหมือนกัน

อาจารย์เว่ยพอใจมากกับผลลัพธ์ที่ได้แบ่งปันออกไป เป็นแบบอย่างของความขยันหมั่นเพียรให้กับฉินหร่าน

ส่วนเถียนเซียวเซียว…เธอค่อนข้างเหมือนกับฉินหร่าน เธอยังมีทัศนคติที่ไม่แยแสต่อไวโอลินอยู่ ทำแบบขอไปที

แบบนี้ยังมาถึงระดับสามได้ อาจารย์เว่ยรู้สึกว่าเดิมทีเถียนเซียวเซียวก็มีพรสวรรค์อยู่มากเช่นกัน

ไม่รู้ว่าทั้งสามคนฝึกซ้อมด้วยกัน จะเกิดปฏิกิริยาเคมีแบบไหนกัน

ประตูลิฟต์เปิดออก อาจารย์เว่ยเดินเข้าไปแล้วครุ่นคิด

เขาตั้งหน้าตั้งตารอเซอร์ไพรส์ที่ทั้งสามคนจะมอบให้เขาในเดือนหน้า

**

ผ่านไปเดือนกว่า

ที่สมาคมไวโอลิน

ไต้หรานยืนอยู่ประตูทางเข้าด้วยอารมณ์สดใส

รถสีดำคันหนึ่งจอดลงที่หน้าประตูทางเข้า มีคนต่างชาติสองสามคนที่อยู่ด้านในลงมา

“คุณเอินเก๋อ” ไต้หรานก้าวไปข้างหน้าสองก้าว พูดทักทาย “ฉันชื่อไต้หราน ทำหน้าที่ต้อนรับดูแลท่านในครั้งนี้”

เขาคือคุณเอินเก๋อที่เคยปรากฏตัวอยู่ในงานเลี้ยงต้อนรับศิษย์ของฉินหร่านเมื่อก่อนหน้านี้ และยังเป็นผู้ตัดสินหลักของสมาคมรัฐ M ในครั้งนี้ด้วย

“อาจารย์ไต้” คุณเอินเก๋อทักทายเขา ขณะที่เดินไปด้านในสมาคมไวโอลินกับไต้หรานพร้อมกับทักทายไต้หราน “ครั้งนี้พวกคุณเสนอนักเรียนมากี่คน”

“ยี่สิบคน”

นักเรียนเหล่านี้ล้วนเป็นนักเรียนที่มีคะแนนไม่ต่ำกว่า 25 ถึงระดับสี่ในสมาคม

อาจารย์แต่ละคนเร่งมือส่งรายชื่อนักเรียนของตัวเองเป็นที่เรียบร้อย

“ยี่สิบคน” คุณเอินเก๋อเลิกคิ้ว “ปีนี้พวกคุณเสนอนักเรียนมากันเยอะมาก”

ที่ผ่านมาประมาณสิบห้าคน

ไต้หรานยิ้ม ไม่พูดอะไร

ก็นั่นน่ะสิ อาจารย์เว่ยผลักดันแม้แต่นักเรียนระดับสามขึ้นมาคนหนึ่ง คนจะไม่เยอะได้อย่างไร

ครู่เดียวทั้งสองคนก็มาถึงสมาคมไวโอลิน