ตอนที่ 93 ทำการใหญ่! (1)
เมื่อประตูเปิดออก ฟางผิงก็แทบอยากต่อยคนตรงหน้าสักหมัด
หล่อชิบหาย!
ด้านนอกประตูมีหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งยืนอยู่ ไม่ใช่ประเภทผู้ชายเจ้าสำอาง แต่เป็นคนที่หล่อแบบร่าเริงสดใส
“สวัสดีเพื่อน ฉันฟู่ชางติ่ง พักอยู่ห้องตรงข้าม คงไม่ได้รบกวนอะไรนายใช่ไหม?”
ฟู่ชางติ่งพูดด้วยน้ำเสียงมีชีวิตชีวา ใบหน้าพรั่งพรูไปด้วยรอยยิ้ม
เห็นฟันสีขาวเงาวับ ฟางผิงคิดว่าเขาน่าจะเหมาะเป็นพรีเซนเตอร์ยาสีฟันมากกว่า
เขาสำรวจอีกฝ่ายลวกๆ ก่อนจะกวาดมองใบหน้า ขมวดคิ้วว่า “ห้องหมายเลขสิบห้า?”
“ใช่ ฉันเพิ่งมาเหมือนกัน ยังไม่ได้ถามเลยว่านายชื่ออะไร?” ฟู่ชางติ่งยังคงยิ้มอย่างสดใส
“ฟางผิง”
ฟางผิงแนะนำตัวแล้วก็เปิดทางให้อีกฝ่าย “เข้ามาคุยข้างในสิ”
“งั้นคงต้องรบกวนแล้ว”
ฟู่ชางติ่งวางตัวดีไม่น้อย กล่าวตามมารยาทด้วยรอยยิ้มแล้วค่อยสาวเท้าเข้ามาในห้อง
รูปแบบของห้องพักนั้นเหมือนกัน ไม่มีอะไรน่าสนใจอยู่แล้ว
รอจนฟางผิงชวนเขานั่งลง ฟู่ชางติ่งจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ฟางผิง นายเป็นคนที่ไหนเหรอ? ฟังจากสำเนียงแล้ว น่าจะอยู่แถวหนานเจียงใช่หรือเปล่า?”
“อืม ฉันอยู่เมืองหยางเฉิงมณฑลหนานเจียง นายล่ะ?”
“ฉันเป็นคนปักกิ่ง”
ไม่รอให้ฟางผิงถาม ฟู่ชางติ่งเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาก่อน “มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ปักกิ่งอยู่ใกล้บ้านเกินไป เลยมาเรียนที่เซี่ยงไฮ้แทน”
ขณะที่พูด เขายังคงเผยรอยยิ้ม “หยางเฉิงมณฑลหนานเจียง ฉันเหมือนเคยได้ยินมาก่อน…”
“ใช่สิ นายรู้จักหวัง…หวังจินหยาง น่าจะชื่อนี้ล่ะมั้ง รู้จักหรือเปล่า?”
ฟางผิงตกใจอยู่บ้าง เหล่าหวังดังขนาดนี้เลย?
เหล่าหวังเพิ่งจะทะลวงขั้นสามเท่านั้น ในเซี่ยงไฮ้และปักกิ่งน่าจะมีนักศึกษาขั้นสามอยู่มากมายไม่ใช่เหรอ?
หนานเจียงเป็นแค่มณฑลที่ไม่ได้เจริญรุ่งเรืองอะไร เหล่าหวังดังขนาดนี้ได้ยังไง?
ครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนฟางผิงจะพยักหน้า “รู้จัก เขาเป็นรุ่นพี่ที่โรงเรียนเก่า อายุมากกว่าฉันหนึ่งปี”
“รู้จักจริงๆ ด้วย แต่ก็ไม่แปลก หยางเฉิงเป็นเมืองเล็กๆ พวกนายรู้จักกันถือเป็นเรื่องปกติ”
อัจฉริยะรู้จักกับอัจฉริยะ แปลกตรงไหน
ฟางผิงตรึกตรองพักหนึ่ง ค่อยถามว่า “นายก็รู้จักหวังจินหยาง?”
“เคยได้ยินคนอื่นพูดถึง”
ฟู่ชางติ่งหาเรื่องมาพูด เปิดปากด้วยรอยยิ้ม “รุ่นพี่โรงเรียนนาย ช่วงนี้โดดเด่นขึ้นมาไม่น้อย ก่อนหน้านี้เขาเพิ่งทะลวงขั้นสาม ตอนนี้กำลังตะลอนลองดาบไปทั่ว”
“ลองดาบ?”
“นายไม่รู้เรื่อง?”
ฟู่ชางติ่งลอบตกตะลึงอยู่บ้าง ตอนนี้เขาไม่สามารถคาดคะเนปราณของฟางผิง แต่พักที่ห้องแปดสิบหก อย่างต่ำที่สุดคงใกล้หลอมกระดูกครั้งที่สองแล้ว ถึงขั้นยังคิดว่า ปราณของหมอนี่อาจจะสูงกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก
คนแบบนี้จะไม่มีผู้สนับสนุนได้ยังไง?
คนที่มาจากเมืองเดียวกับหวังจินหยาง ไม่รู้เรื่องนี้ได้งั้นเหรอ?
อีกอย่างหยางเฉิงเป็นแค่เมืองเล็กๆ ทำไมถึงให้กำเนิดอัจฉริยะมากมายขนาดนี้?
หรือหยางเฉิงยังมีผู้ฝึกยุทธ์ระดับปรมาจารย์ซ่อนอยู่อีก?
มีเรื่องให้สงสัยมากมาย แต่เขาเพิ่งจะรู้จักอีกฝ่าย เลยไม่คิดจะถามออกมา อธิบายแทนว่า “หวังจินหยางน่าจะหลอมกระดูกแกนกลางแล้ว อาจกำลังวิ่งไล่ตามขั้นสี่ แต่เขาทะลวงขั้นเร็วเกินไป นักศึกษาในมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้หนานเจียงไม่อาจสร้างความกดดันให้เขาได้แล้ว ดังนั้นตั้งแต่ต้นเดือนสิงหา หวังจินหยางก็ถือดาบตะลอนไปทุกหนทุกแห่ง ท้าประลองกับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามตอนปลาย ไม่กี่วันก่อน เขาเพิ่งไปปักกิ่ง แน่นอนว่าฉันไม่ได้เจอ ตอนนั้นกำลังเตรียมมารายงานตัวที่เซี่ยงไฮ้”
“เขาไปปักกิ่งแล้ว?”
“ใช่แล้ว แม้ในปักกิ่งผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามจะไม่ได้ถือว่าเก่งกาจ แต่ก็ไม่ใช่คนอ่อนแอ เขาเพิ่งไปปักกิ่ง ภายในเวลาหนึ่งวัน ท้าผู้ฝึกยุทธ์ในคลาสศิลปะการต่อสู้ถึงแปดคน คลาสฝึกพวกนี้ ล้วนมีผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางนั่งรักษาการณ์ บางแห่งยังเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามตอนปลาย ทั้งปกติคลาสผู้ฝึกยุทธ์มักเปิดจากบริษัทใหญ่ๆ หน่วยงานรัฐหรืออยู่ใต้สังกัดมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ หวังจินหยางใจใหญ่จริงๆ ท้าประลองผู้ฝึกยุทธ์ในคลาสเป็นอันดับแรก ก่อนจะไล่ไปถึงผู้อยู่เบื้องหลังของคลาสฝึกศิลปะต่อสู้ คงไม่ยอมเลิกราง่ายๆ แน่ ผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางไม่ลงมืออยู่แล้ว แต่ผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ขั้นสามตอนปลายคงไม่ออมมือ”
“วันเดียวท่าประลองถึงแปดคน…”
ฟางผิงจะพูดอะไรได้?
ไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว!
ให้ตายเถอะ เหล่าหวังจะเจ๋งเกินไปแล้ว!
เขาเพิ่งทะลวงขั้นสามนานแค่ไหนกันเชียว?
กลางเดือนเมษา เหล่าหวังทะลวงขั้นสาม ตอนนี้เพิ่งจะเข้าเดือนกันยายน
ขั้นสามทะลวงขั้นสี่ ต้องเป็นด่านยากทรหดอยู่แล้ว
แต่ตอนนี้เหล่าหวังตระเวนไปทั่ว ใช้การท้าประลองผู้ฝึกยุทธ์เป็นแรงกดดันให้ตัวเอง เห็นได้ชัดว่าอาจจะเผชิญกับช่วงคอขวด กำลังหาทางทะลวงขั้น
ช่วงเวลาแค่ห้าเดือน ฟางผิงจำต้องนับถือเขาจริงๆ
“เขาทำอย่างนี้จะไม่เป็นอันตรายอะไรใช่ไหม?”
ฟางผิงอดถามไม่ได้
ฟู่ชางติ่งมองลึกในดวงตาเขา เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ได้อันตรายขนาดนั้นหรอก แต่เขาข้ามหน้าข้ามตาผู้มีอำนาจหลายคน ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามตอนปลายคงลงมือกันอย่างไม่หยุดหย่อน! นอกจากเสียว่าจะสามารถเอาชนะผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามทั้งหมดจนไม่มีศัตรู ไม่งั้นถ้าแพ้ขึ้นมา เขาต้องตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากแน่นอน”
“แต่ต้องพูดว่าคนอย่างหวังจินหยางถือเป็นต้นแบบให้ฉันเหมือนกัน ชาติกำเนิดธรรมดา เข้ามหาวิทยาลัยที่ไม่ได้โดดเด่นอะไร สามารถทะลวงขั้นสามตั้งแต่ปีหนึ่ง ปีสองเริ่มท้าประลองกับผู้ฝึกยุทธ์ไปทั่ว เดินไปข้างหน้าอย่างราบรื่น จะว่าไปแล้วก็น่าโมโห!”
“น่าโมโหจริงๆ เสียดายที่เขาไม่มาทางใต้…”
ฟางผิงพูดไม่ทันจบ ฟู่ชางติ่งเอ่ยขึ้นมาก่อน “เขาเคยมาทางใต้เหมือนกัน ฉันได้ยินว่าเขามาเซี่ยงไฮ้ตอนที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งตอนปลาย ท้าประลองนักศึกษาขั้นหนึ่งในเซี่ยงไฮ้จนเกลี้ยง ถึงขั้นมีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองจากมหาวิทยาลัยครุศาสตร์หวาตงลงมือ ท้ายที่สุดกลับต่อสู้จนหน้าตามอมแมม เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไป มหาวิทยาลัยอื่นไม่กล้าให้ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองลงมือให้ขายหน้า จวบจนเขามาถึงมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ นักศึกษาขั้นสองคนหนึ่งออกโรงจัดการ ค่อยทำให้เขาบาดเจ็บกลับไปได้ ประลองกับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งทั่วเซี่ยงไฮ้ แค่เรื่องนี้ก็เห็นแล้วว่าคนๆ นี้เผด็จการแค่ไหน!”
“เผด็จการ?”
ฟางผิงยากที่จะมัดรวมภาพเหล่าหวังที่มักพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเข้ากับคำว่าเผด็จการ!
ทั้งจินตนาการภาพที่อีกฝ่ายท้าประลองกับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งทั้งเซี่ยงไฮ้ไม่ออก
ในความทรงจำของเขา เหล่าหวังไม่ได้อ่อนแอ ทั้งยังมีพรสวรรค์ แต่ก็แค่ในหนานเจียงเท่านั้น ไม่ใช่ระดับประเทศ
แต่อีกฝ่ายกลับตามเก็บกวาดผู้ฝึกยุทธ์ที่เซี่ยงไฮ้ก่อน ตอนนี้ไล่มาทางเหนือ วางแผนจะเอาชนะผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสาม นี่จึงเป็นสาเหตุที่หนานเจียงมีชื่อเสียงขึ้นมาสินะ
ฟางผิงสะท้านในใจ ในหัวปรากฏภาพเหล่าหวังถือดาบตระเวนไปทั่ว ปราณพลันพลุ่งพล่านขึ้นมาอยู่บ้าง
ฟู่เสี่ยวติ่งมองฟางผิงอยู่ตลอดเวลา รอจนรับรู้ถึงปราณที่ไหลเวียนของเขา ม่านตาจึงหดเกร็งเล็กน้อย!
หลอมกระดูกครั้งที่สอง?
ไม่สิ!
อาจจะสูงกว่านั้น!
สามครั้ง…บางทีอาจไม่ใช่ครั้งที่สาม แต่ต้องใกล้เคียงกับครั้งที่สามแน่!
เมืองห่างความเจริญอย่างหยางเฉิง ให้กำเนิดปีศาจออกมาถึงสองคนติดกัน?
ไม่นาน ฟางผิงก็ค่อยๆ ควบคุมปราณของตัวเอง เงยหน้ามองฟู่ชางติ่ง เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เพื่อนร่วมชั้นฟู่…”
“อย่าเรียกแบบนั้น ทุกคนเป็นเพื่อนกัน ทั้งเป็นเพื่อนข้างห้องด้วย ใช้คำที่นักศึกษาทั่วไปคุยกับเพื่อนเถอะ ทีหลังเรียกฉันว่าเหล่าฟู่ เหล่าชาง เหล่าติ่งอะไรล้วนได้ทั้งนั้น…”
“เหล่าฟู่ (ตาแก่)? เหล่าจ่าง (ลูกพี่)? เหล่าติ่ง (เจ้านาย)?”
ฟางผิงหางตากระตุก ขำแห้งว่า “งั้นฉันเรียกนายว่าชางติ่งแล้วกัน นายคงเป็นผู้ฝึกยุทธ์สินะ?”
ฟู่ชางติ่งไม่ปฏิเสธ ยิ้มอย่างสดใส “ใช่ แต่ผู้ฝึกยุทธ์ไม่ได้หมายความว่าจะพิเศษกว่าคนอื่น แม้ฉันจะอยู่ขั้นหนึ่ง แต่ถ้าปะมือกันจริงๆ ฉันอาจจะไม่ได้แข็งแกร่งกว่านายเสมอไป”
————————