ตอนที่ 180-1 สุสานหลวงแห่งราชวงศ์ก่อน

ชายาเคียงหทัย

ตั้งแต่ได้สติขึ้นมา นี่เป็นครั้งแรกที่เยี่ยหลีรู้สึกปวดหัวเช่นนี้ จนถึง ณ ตอนนี้ ราชวงศ์ก่อนสูญสิ้นไปกว่าสองร้อยปีแล้ว และอย่างน้อยๆ หลายสิบปีมานี้ก็ไม่เคยได้ยินข่าวว่าราชวงศ์ก่อนมีความคิดที่จะกอบกู้แผ่นดินคืนมามาก่อน เพียงแต่…เรื่องราวความแค้นระหว่างแว่นแคว้นเหล่านี้ ผู้ใดเลยจะล่วงรู้ได้

 

 

ถึงแม้ยามนี้ตำหนักติ้งอ๋องจะมิใช่ผู้ที่ปกครองแผ่นดิน แต่คนของราชวงศ์ก่อนอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง ก็เป็นคนที่ติ้งอ๋องรุ่นแรก ม่อหลั่นอวิ๋นสังหารไป ดังนั้น เยี่ยหลีเองก็ไม่มั่นใจว่า กลุ่มคนในราชวงศ์ก่อนที่หลงเหลืออยู่ จะนึกแค้นใจฮ่องเต้ต้าฉู่มากกว่า หรือเจ็บแค้นตำหนักติ้งอ๋องมากกว่ากัน และในยามนี้ นางได้ตกมาอยู่ในสถานที่ที่เป็นศูนย์รวมคนที่เหลืออยู่ของราชวงศ์ก่อนเสียด้วย แต่เรื่องที่น่ายินดีก็คือ ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นี้ นอกจากบุคคลสำคัญที่มีจำนวนน้อยนักแล้ว ดูเหมือนจะไม่มีผู้ใดรู้เรื่องการเปลี่ยนถ่ายราชวงศ์มาก่อน และเห็นได้ชัดว่าพวกเขามิได้สนใจเรื่องผู้ใดจะขึ้นเป็นฮ่องเต้เลยแม้แต่น้อย

 

 

เมื่อเห็นนางนั่งเท้าคาง สีหน้าเปลี่ยนไปมาไม่หยุด ท่านหมอหลินก็มิได้พูดอันใด เพราะถึงอย่างไรเรื่องราวเช่นนี้ก็มิใช่เรื่องที่คนทั่วไปจะรับได้จริงๆ

 

 

“ท่านอาจารย์…คิดอยากกอบกู้แคว้นหรือ” พักใหญ่ เยี่ยหลีถึงได้ค่อยๆ สงบจิตใจที่วุ่นวายของตนลง ก่อนเอ่ยถามขึ้นอย่างเลื่อนลอย

 

 

“กอบกู้แคว้น?” ท่านหมอหลินมองนางด้วยสีหน้าแปลกประหลาด ประหนึ่งได้กินสิ่งที่ไม่ควรกินเข้าไปกระนั้น ครู่หนึ่งถึงได้ส่งเสียงหึขึ้นเบาๆ “เจ้าเคยเห็นคนที่ซ่อนตัวอยู่ในภูเขาลึกเช่นนี้มาหลายสิบปี คิดกอบกู้แคว้นกันหรือ อีกอย่าง…ข้าเป็นหมอ จะเอาอันใดมากอบกู้แคว้น วางยาพิษฆ่าม่อหลิวฟางกับม่อจิ้งเซวียน?”

 

 

เยี่ยหลียกชาใสขึ้นดื่ม เอ่ยนิ่งๆ ว่า “ม่อจิ่งฉีกับม่อซิวเหยาต่างหาก ม่อหลิวฟางกับม่อจิ้งซวนเสียชีวิตไปนานหลายปีแล้ว”

 

 

ท่านหมอหลินถลึงตาดุๆ ใส่นาง ขมวดคิ้วเอ่ยด้วยความประหลาดใจว่า “ติ้งอ๋องรุ่นนี้ชื่อม่อซิวเหยา? ข้าจำได้ว่ายามนั้น บุตรชายของม่อหลิวฟางที่เพิ่งเกิดชื่อม่อซิวเหวิน…”

 

 

ครานี้เยี่ยหลีนึกเชื่ออย่างหมดใจว่าท่านหมอหลินมิได้ออกไปข้างนอกมาหลายสิบปีแล้วจริงๆ

 

 

นางอธิบายไปตามจริงว่า “ม่อซิวเหวินเป็นติ้งอ๋องรุ่นก่อน เสียชีวิตไปแล้วเมื่อเก้าปีก่อน”

 

 

ท่านหมอหลินเหลือบมองนางทีหนึ่ง “เจ้าเด็กคนนี้ รู้ละเอียดจริงนะ”

 

 

เยี่ยหลีเอ่ยยิ้มน้อยๆ ว่า “ท่านอาจารย์มิได้บอกว่าข้าเกิดในตระกูลใหญ่มีชื่อเสียงหรือ แม้แต่เรื่องใหญ่เช่นนี้จะไม่รู้ได้อย่างไร”

 

 

ท่านหมอหลินโบกมือ เอ่ยด้วยความรำคาญใจว่า “ความแค้นของแผ่นดิน…ผ่านมาตั้งสองร้อยกว่าปีแล้ว เรื่องเหล่านี้ผู้ใดเลยจะเอ่ยโดยละเอียดได้ ที่ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้ยามนี้ชาวบ้านในใต้หล้ามีอันใดไม่พอใจราชสำนักต้าฉู่ แต่จะยังหวนนึกถึงราชวงศ์ก่อนอีกอย่างนั้นหรือ”

 

 

หากมิใช่เช่นนี้ ราชวงศ์ก่อนคงไม่ล่มสลายไปหรอก ในยามนั้นฮ่องเต้สองสามรุ่นหลังโง่เขลาไร้ความสามารถ ชาวบ้านต่างใช้ชีวิตกันอย่างยากลำบาก ถึงแม้ฮ่องเต้องค์สุดท้ายจะมีใจคิดอยากเปลี่ยนแปลงแก้ไข แต่ก็จนใจ ด้วยเพราะตัวเขาเองก็มิใช่คนมีความสามารถที่จะเป็นฮ่องเต้ได้ สุดท้ายก็ไม่อาจต้านทาน ทำได้เพียงมองแคว้นของตนและตระกูลแตกสลายไปต่อหน้าต่อตาเท่านั้น เมื่อพูดขึ้นมาแล้ว เอาเข้าจริงก็คงโทษปฐมฮ่องเต้แห่งต้าฉู่มิได้มากนัก ว่ากันตามตรงแล้วก็เพียงแค่คนชนะได้เป็นเจ้า คนแพ้ได้เป็นโจรเท่านั้น

 

 

“สิ่งที่หลินย่วนต้องการคืออันใดหรือ เหตุใดท่านอาจารย์ถึงเป็นตายก็ไม่ยอมให้เขา ในเมื่อท่านอาจารย์ไม่สนใจเรื่องการกอบกู้แคว้นและเรื่องภายนอกเหล่านั้นแล้ว เหตุใด…”

 

 

ท่านหมอหลินถอนใจเฮือกหนึ่ง มองนางพร้อมยิ้มอย่างขมขื่น “มิใช่ว่าข้าไม่ยอมให้เขา เพียงแต่…ข้าไม่มีสิ่งใดจะให้เขา สิ่งที่เขาต้องการ…คือสมบัติในสุสานหลวงของปฐมฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ก่อน”

 

 

เยี่ยหลีขมวดคิ้ว การที่ในสุสานของฮ่องเต้มีสมบัติซ่อนอยู่ เป็นเรื่องธรรมดาเสียยิ่งกว่าธรรมดา เยี่ยหลีจึงไม่เข้าใจว่า คำว่าไม่มีของท่านหมอหลินหมายความเช่นไร

 

 

ท่านหมอหลินเอ่ยเรียบๆ ว่า “สุสานหลวงแห่งองค์ปฐมฮ่องเต้นั้นอยู่ที่นี่จริง คนในหมู่บ้านแห่งนี้ ก็คือคนรุ่นหลังขององครักษ์ที่ภักดีที่สุดของปฐมฮ่องเต้ที่ติดตามมาด้วยเมื่อในยามนั้น หลังจากปฐมฮ่องเต้เสด็จสวรรคต คนพวกนี้ก็ได้ลั่นคำสาบานว่าจะคอยปกป้องคุ้มครองสุสานหลวงไปชั่วกัปชั่วกาล และเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้คนรุ่นหลังเกิดความไม่จงรักภักดี พวกเขาถึงได้ตั้งกฎขึ้นว่า คนรุ่นหลังห้ามเรียนหนังสือ และห้ามก้าวออกไปจากบริเวณใกล้เคียงของสุสานหลวง และห้ามออกจากหมู่บ้านไปนอกภูเขาเด็ดขาด อีกอย่าง ความลับของสุสานก็มีเพียงหัวหน้าชนเผ่าของหมู่บ้านที่สืบทอดกันรุ่นต่อรุ่นเท่านั้นที่รู้ แม้แต่คนในหมู่บ้านเหล่านี้ก็ไม่รู้ที่มาที่ไปของตนเอง”

 

 

กับเรื่องนี้ เยี่ยหลีไม่รู้ว่าควรจะมีความเห็นเช่นไรดี จึงเลิกพูดไปเฉยๆ นางเงยหน้าขึ้นถามว่า “ท่านอาจารย์ยามนี้มีแผนเช่นใดหรือ หากเขารู้ว่าลูกน้องของตนมิได้นำของสิ่งนั้นกลับมาด้วย เป็นไปได้ที่หลินย่วนจะกลับมาด้วยตนเองหรือไม่”

 

 

ท่านหมอหลินพยักหน้า คิดเล็กน้อยก่อนเอ่ยถามเยี่ยหลีว่า “ยามนี้…โลกด้านนอกไม่สงบสุข?” หากประชาชนต้าฉู่ยังใช้ชีวิตอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข หลินย่วนที่หมดหวังเรื่องการกอบกู้แคว้น ไม่มีทางเอาสมองของเขามาใส่ใจเรื่องสุสานหลวงแน่นอน

 

 

เยี่ยหลีก็ไม่ปิดบัง พยักหน้าเอ่ยว่า “วุ่นวายอยู่ไม่น้อยจริงๆ หากไม่มีอันใดนอกเหนือการคาดหมาย…เป็นไปได้สูงที่กองทัพตระกูลม่อกับราชสำนักต้าฉู่จะแตกหักกัน…”

 

 

“แตกหัก…” ท่านหมอหลินทอดถอนใจเล็กน้อย เอ่ยด้วยท่าทีสบายๆ ว่า “ในยามนั้นต่างพูดกันว่าปฐมฮ่องเต้แห่งต้าฉู่และติ้งอ๋องที่ช่วยก่อตั้งแคว้นมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นประหนึ่งพี่น้อง ร่วมมือกันปกครองใต้หล้าอย่างยิ่งใหญ่ คิดไม่ถึงว่าทั้งสองฝ่ายจะมาถึงจุดที่ต้องแตกหักกัน มิน่า…มิน่า…ช่างเถิด เรื่องเหล่านี้ คนแก่อย่างข้าก็คงยุ่งอะไรไม่ได้ แม่หนู เก็บของแล้วพวกเรารีบไปจากที่นี่กันเถอะ”

 

 

เยี่ยหลีอดอึ้งไปไม่ได้ “ไปจากที่นี่ แล้วชาวบ้านในหมู่บ้านนี้จะทำเช่นไร”

 

 

ท่านหมอหลินส่งเสียงหึเบาๆ “ข้าจะต้องทิ้งจดหมายไว้บอกเขาแน่นอน ว่าทางที่ดีอย่าได้ลงมือทำอันใดคนเหล่านี้”

 

 

เยี่ยหลีเลิกคิ้ว “เขาจะฟังท่านหรือ”

 

 

ท่านหมอหลินยิ้มเยาะ “หากเขาไม่ฟัง ข้าก็จะเอาของให้ม่อซิวเหยา…”

 

 

เยี่ยหลีนิ่งเงียบไป ในใจนึกเลื่อมใสท่านอาจารย์ที่ตัดสินใจได้อย่างเหมาะสมเสียเหลือเกิน ตัวเขาเองยังไม่รู้ว่าในสุสานหลวงมีสมบัติอยู่หรือไม่ หรือมีสมบัติอันใดซ่อนอยู่ แต่ยามนี้กลับเอาเรื่องนี้โยงเข้ากับม่อซิวเหยา? ท่านคิดอยากให้ม่อซิวเหยาตายหรืออยากให้หลินย่วนตายกันแน่

 

 

“ท่านอาจารย์เปลี่ยนเป็นคนอื่นเถิด เป็นเหลยเจิ้นถิง เจิ้นหนานอ๋องแห่งซีหลิงดีหรือไม่” เยี่ยหลีเอ่ยโน้มน้าวด้วยใจจริง เมื่อเห็นท่าทีของท่านหมอหลิน เห็นได้ชัดว่าเขาคงมีความผูกพันกับหลินย่วนอยู่ไม่น้อย ในใจเยี่ยหลียังนึกไม่ยินดีให้เขากับม่อซิวเหยามีเรื่องบาดหมางกัน เพื่อป้องกันความบาดหมางระหว่างศิษย์และอาจารย์ของพวกนางที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

 

 

ท่านหมอหลินปรายตามองนาง หรี่ตาลงแล้วเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “แม่หนู เจ้าเป็นอันใดกับม่อซิวเหยา ก่อนหน้านี้ข้าเหมือนได้ยินเจ้าสองคนนั้นคุยกันว่า ยามนี้ม่อซิวเหยาก็อยู่แถวๆ หงโจว ช่างบังเอิญที่เจ้า…”

 

 

เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “ท่านอาจารย์ ข้าเป็นใครยามนี้ไม่สำคัญ ท่านว่าอย่างไร? ท่านรู้แค่เพียงว่า ศิษย์ไม่มีทางทำเรื่องที่ส่งผลเสียต่อท่านอย่างแน่นอนก็พอ”

 

 

ท่านหมอหลินมองจ้องประเมินนางอยู่ครู่ใหญ่ เยี่ยหลีก็ไม่หลบ นั่งเฉยๆ ปล่อยให้เขามองประเมินนางด้วยสีหน้าสบายๆ พักใหญ่ ท่านหมอหลินถึงได้ส่งเสียงหึเบาๆ พยักหน้าเป็นการบอกว่าจะปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไป

 

 

การจะไปจากหมู่บ้านบนภูเขาเล็กๆ ที่ปิดตายเช่นนี้ มิใช่ว่าพูดจะไปแล้วก็จะไปได้เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคนที่ต้องเดินทางคนหนึ่ง เป็นชายชราอายุกว่าหกสิบปีที่ไม่มีวิทยายุทธติดตัว กับสตรีสาวที่กำลังตั้งครรภ์หกเดือน ที่ยิ่งแย่ไปกว่านั้นคือ ทางที่พวกเขาต้องใช้นั้น เป็นสุสานหลวงที่ไม่เคยมีผู้ใดเดินทางผ่านมาก่อน ด้วยเพราะพวกเขาคนหนึ่งเป็นชายชรา คนหนึ่งเป็นหญิงตั้งครรภ์ จึงมิต้องคิดที่จะไปทางเทือกเขาใหญ่โตที่แม้แต่กับผู้ชายวัยฉกรรจ์ยังอันตรายอย่างยิ่ง อีกทั้งระหว่างทางก็เป็นไปได้สูงที่จะพบกับหลินย่วนหรือคนที่หลินย่วนส่งมา ดังนั้น เส้นทางไปสู่โลกภายนอกในสุสานหลวงที่ว่ากันว่ามีอยู่นั้น เป็นเพียงความหวังเดียวของพวกเขา

 

 

เยี่ยหลีอดไม่ได้ที่จะนึกถึงนิยายการปล้นสุสานที่เคยอ่านเมื่อชาติที่แล้ว หวังว่าในสุสานหลวงแห่งนี้ จะไม่มีความอันตรายอันแปลกประหลาดจริงเหมือนอย่างในนิยาย มิเช่นนั้นแล้ว…หากสามารถเลือกได้ เยี่ยหลียอมที่จะรอให้คลอดบุตรออกมาเสียก่อน แล้วค่อยออกไปจากที่นี่ด้วยเส้นทางที่ปลอดภัยดีกว่า แต่ในยามนี้ยังมิมีผู้ใดล่วงรู้ถึงฐานะของนาง แต่เมื่อใดก็ตามที่คนชื่อหลินย่วนปรากฏกายขึ้น นั่นก็คงไม่แน่อีกต่อไป หากเขามีใจฮึกเหิมหรือมีความทะเยอทะยานที่จะกอบกู้แคว้นจริง เช่นนี้เขาไม่มีทางเดาไม่ออกว่า นางก็คือภรรยาของม่อซิวเหยา นายหญิงคนปัจจุบันของตำหนักติ้งอ๋อง ถึงเวลานั้นคงวุ่นวายกันไปใหญ่