บทที่ 136 ความหวังดีเสียเปล่า โดย Ink Stone_Romance
เสียงกระดิ่งไม่เร็วไม่ช้าอันคุ้นเคยดังขึ้นในตรอก เสี่ยวติงรีบหลบมุมกำแพง
เด็กทั้งหลายในตรอกมองเห็นผู้หญิงแบกหีบยาถือกระดิ่งเดินมา ส่งเสียงร้องวิ่งหนีไป
“หญิงขอทานหลอกคนกินยาคนนั้นมาแล้ว”
เด็กทั้งหลายร้องตะโกนทำให้ทั้งตรอกเสียงดังขึ้นมา
เหมือนกับสุนัขดุมาหน้าประตู
เสี่ยวติงคิดในใจ แม้คุณหนูจวินมาตรอกแห่งนี้ครั้งแรก แต่เรื่องดีไม่ออกนอก เรื่องไม่ดีเล่าลือพันลี้ วันนี้ในเมืองล้วนรู้ว่ามีนักต้มตุ๋นหญิงคนหนึ่งเดินถนนลัดเลาะตรอกซอกซอยอยู่
ยังดีเสียงโวยวายฝั่งนี้ไม่ได้เรียกเสียงตวาดด่าของผู้ใหญ่รวมถึงบ้านไหนปล่อยสุนัขมาเห่ากัด แต่ก็มีคนร้องเรียกคุณหนูจวิน
“แม่นางคนนี้ แม่นาง”
นี่เป็นหญิงเฒ่าคนหนึ่ง
ก็คือหวังเฉาซื่อแม่นมของลูกชายของน้องสาวของน้าสะใภ้ของหนิงอวิ๋นเจานั่นเอง
ความเกี่ยวข้องอ้อมไกลนัก
เสี่ยวติงยู่ปาก การลงแรงของตนไม่เสียเปล่า เมื่อวานไปหาพี่หวังร่ำสุราคุมโม้อยู่ครึ่งวัน พี่หวังฟังไม่เข้าหู หวังเฉาซื่อฟังเข้าหูแล้ว
นายน้อยคิดไว้ดีจริงๆ ผู้เฒ่าอายุเช่นนี้อย่างหวังเฉาซื่อชอบเรื่องเล่าที่สุดแล้ว นอกจากนี้ยังมีความสัมพันธ์นายบ่าวกับตระกูลเจี่ยงแห่งฝูเจี้ยน คำพูดที่พูดย่อมมีความน่าเชื่อมากเช่นกัน หากคุณหนูจวินรักษานางหายดี ถ้าอย่างนั้นชื่อเสียงต้องเปลี่ยนดีขึ้นแน่นอน
เสี่ยวติงยื่นศีรษะมองไป เห็นคุณหนูจวินหยุดยืนอยู่หน้าหวังเฉาซื่อ
“ท่านยายท่านมีธุระอะไรหรือ?” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ยถาม
หวังเฉาซื่อมองประเมินนางหลายที ในดวงตาฉายชัดมากว่าคลางแคลง
“อายุน้อยขนาดนี้เชียว” นางเอ่ยขึ้น “เจ้าคือหลานสาวของจวินเฝิงชุนหมอชื่อดังของหรู่หนานจริงรึ?
เสี่ยวติงร้องในใจว่าเยี่ยมคำหนึ่ง คำเปิดบทสนทนาของหวังเฉาซื่อนี้พูดไม่ผิดดีเหลือเกิน พูดถึงปู่ของคุณหนูจวินทันที ทำให้คุณหนูจวินในใจรู้สึกดีแล้วก็ไม่สงสัยมาก
นายน้อยคิดเพื่อคุณหนูจวินได้รอบคอบเหลือเกินแล้วจริงๆ
ไม่รู้คุณหนูจวินเวลานี้สีหน้าอย่างไร ต้องดีใจแน่สินะ
น่าเสียดายนางหันหลังให้ตน มองไม่เห็นสีหน้าของนาง
หลิ่วเอ๋อร์มองเห็นเข้า
“คุณหนู ท่านยายผู้นี้รู้จักนายท่านผู้เฒ่าด้วยเจ้าค่ะ” นางเอ่ยดีใจ มองคุณหนูจวิน
นี่เป็นถึงเมืองหลวงเชียวนะ ผู้หญิงคนหนึ่งในเมืองหลวงถึงกับรู้จักนายท่านผู้เฒ่า ทำให้คนตื่นเต้นจริงๆ
แต่คุณหนูจวินสีหน้าดุจเดิม ไม่มีตื่นตะลึงดีใจสักนิด
“ใช่แล้ว” นางยิ้มเอ่ย
“ถ้าอย่างนั้นเจ้ารีบตรวจข้าหน่อยสิ ตอนกลางคืนข้ามักจะหลับไม่ค่อยสนิท” หวังเฉาซื่อรีบเอ่ยขึ้น
คำพูดนี้ออกมาทำให้เพื่อนบ้านผู้ออกมาดูเรื่องสนุกรอบด้านที่ได้ยินเข้าประหลาดใจนัก
“แม่เฒ่าหวัง ท่านอย่าถามส่งเดชเลย” เพื่อนบ้านจิตใจงามเอ่ยเตือน“ท่านเดินเพิ่มไม่กี่ก้าวไปถึงหัวถนนให้ท่านหมอหวงดูเถอะ”
“ท่านหมอเฒ่าหวงดูแล้ว ยากินแล้วกองเบ้อเริ่มก็ยังไม่ได้ผล” หวังเฉาซื่อเอ่ยอย่างไม่เกรงใจ “ข้าว่าเขาใช้ไม่ได้”
ประโยคเดียวนี้จะตัดสินท่านหมอเฒ่าหวง ใช้ไม่ถึงครึ่งวันก็คงแพร่ไปทั่ว
นี่ก็คือเป็นหมอไม่ง่าย สั่งสมชื่อเสียงไม่ง่าย พลาดหน่อยก็ถูกคนปฏิเสธแล้ว
หวังเฉาซื่อมองคุณหนูจวินอีกครั้ง
“แม่นางน้อย เจ้าดูให้ข้าหน่อยสิ ข้ารู้ว่าชื่อเสียงตระกูลเจ้าดังมากนี่” นางว่า
นี่ก็เป็นประโยคตัดสินอีกครั้ง เพื่อนบ้านรอบด้านตกตะลึงมาก
หรือว่าแม่นางน้อยคนนี้ร้ายกาจมากจริงหรือ?
ถ้าอย่างนั้นก็ต้องดูสักหน่อยแล้ว
คนที่ล้อมเข้ามายิ่งมาก บรรดาเด็กน้อยก็ไม่วิ่งหนีแล้วด้วย เบียดอยู่ในฝูงชนชมเรื่องสนุก แต่สายตาของพวกเขาจับจ้องอยู่บนหีบยาของคุณหนูจวิน
“ขนมด้านในอร่อย” เด็กน้อยหลายคนใจกล้าพูดออกมา
แม้คนในบ้านกำชับไว้ แต่เด็กน้อยที่ยอมเชื่อฟังย่อมไม่ใช่เด็กน้อย ยังมีเด็กน้อยไม่น้อยเคยกินขนมของคุณหนูจวิน ระหว่างเด็กน้อยก็หนึ่งบอกสิบสิบบอกร้อยเล่าลือไปได้เหมือนกัน
ได้ยินเด็กทั้งหลายพูดเช่นนี้ คุณหนูจวินก็เปิดหีบยาออก หยิบผลไม้เชื่อมกำหนึ่งออกมา
ครั้งนี้แม้บรรดาผู้ใหญ่ไม่ยินดี แต่ติดที่เห็นแก่หน้าหวังเฉาซื่อ ใครก็ไม่พูด บรรดาเด็กน้อยยิ่งโหวกเหวกคว้าแล้วยัดเข้าปากกินลงไป กินพลางร้องว่าหวานพลาง ยังมีคนยื่นมือไปหาคุณหนูจวินจะเอา
ในตรอกเปลี่ยนเป็นครึกครื้น
เสี่ยวติงอดไม่ได้ยิ้มเต็มหน้า ครั้งนี้นายน้อยจัดการได้สมบูรณ์แบบ ตอนนี้ก็เหลือแค่คุณหนูจวินรักษาอาการป่วยของหวังเฉาซื่อให้หายดีก็นับว่าเปิดกิจการแล้ว หลังจากนั้นมีหนึ่งก็ย่อมมีสอง หนึ่งบอกสิบสิบบอกร้อย สถานการณ์นับว่าคลี่คลายแล้ว
หวังเฉาซื่อถูกบรรดาเด็กน้อยก่อกวนจนทนรำคาญไม่ไหว
“ไป ไป ไปเล่นข้างๆ” นางโบกมือเอ่ยบอก เรียกคุณหนูจวินอีกครั้ง “คุณหนูจวิน ท่านรีบมาตรวจข้าเถอะ”
คุณหนูจวินปิดหีบยา ส่ายศีรษะให้หวังเฉาซื่อ
“ท่านยายขอโทษด้วย อาการป่วยของท่านข้าตรวจไม่ได้” นางเอ่ยขึ้น
คำพูดนี้ออกมา คนทั้งหมดล้วนตะลึงไป เสี่ยวติงยังไม่สนใจว่าจะถูกพบ ยื่นตัวออกไปมองคุณหนูจวินอย่างตะลึง
หมายความว่าอย่างไร?
“เจ้าตรวจไม่ได้?” หวังเฉาซื่อเอ่ยถามไม่เข้าใจ จากนั้นก็คิดอะไรได้สีหน้าฉับพลันขาวเผือด มือหนึ่งคว้ามือคุณหนูจวิน “ข้า อาการป่วยนี้ของข้าร้ายแรงมากใช่หรือไม่?”
บรรดาเพื่อบ้านรอบด้านก็ได้สติกลับมา สีหน้ายุ่งยากใจ
นี่เป็นลูกเล่นของหมอเร่ร่อนในยุทธภพจริงๆ มักจะพูดว่าโรคของเจ้าร้ายแรงอย่างไรๆ หลอกเอาเงินก้อนใหญ่ โยนยากะหลั่วจำนวนหนึ่งไว้แล้วหนีไป
อย่างไรก็เป็นหมอเร่ไหม วิ่งไปทุกที่ ชีวิตหนึ่งหลอกที่นี่ครั้งหนึ่ง ใครก็ทำอันใดเขาไม่ได้แล้ว
แต่คุณหนูจวินคนนี้ไม่ใช่ยังมีโรงหมอจิ่วหลิงเปิดอยู่หรือ? จะเล่นไม้นี้ได้อย่างไร? ไม่กลัวถูกคนทุบโรงหมอรึ
เสี่ยวติงเวลานี้ก็คิดถึงเรื่องนี้ โล่งใจ
ยังดีเป็นคนของตนเอง หลอกก็ไม่เป็นไร หลังเรื่องให้นายน้อยชดเชยเพิ่มหน่อยก็พอแล้ว
ใครใช้ให้นี่ป็นคุณหนูจวินเล่า คนว่ากันว่าผู้หญิงเกิดมาใจคะนึงคนข้างนอก นี่ผู้ชายใจคะนึงคนข้างนอกขึ้นมาก็ไม่ด้อยกว่าเหมือนกัน
คุณหนูจวินตบมือของหวังเฉาซื่อเบาๆ
“ไม่ใช่ ท่านยาย ท่านคิดมากไปแล้ว นางยิ้มเอ่ยอ่อนโยน “อาการป่วยของท่านไม่มีอะไรหนักหนา ไปหาท่านหมอของโรงหมออีกสักแห่งบนถนนรักษาจัดยาจำนวนหนึ่งกินไม่กี่ขนานก็หายดีแล้ว”
คำพูดนี้ทำให้ผู้คนตะลึง
กลับบอกว่าไม่มีอะไรหนักหนา? ถ้าอย่างนั้นที่แท้หมายความว่าอย่างไร?
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ตรวจให้ข้า จัดยาสิ” หวังเฉาซื่อรีบเอ่ยขึ้น
คุณหนูจวินยิ้ม ชี้ธงที่หลิ่วเอ๋อรถืออยู่
“ข้ารักษาเฉพาะโรคร้ายรักษายาก” นางเอ่ยขึ้น มองหวังเฉาซื่อ “อาการป่วยของท่านยังไม่คู่ควรให้ข้าลงมือ”
เสีย…
เสีย…
เสียสติรึ!
คนที่อยู่ที่นั่นมองคุณหนูจวินคนนี้ตาโตอ้าปากค้าง
เสี่ยวติงก็อ้าปากกว้างด้วย คิดอะไรไม่ออกทั้งสิ้น
…
“หวังเฉาซื่อด่าอยู่ที่ถนนมาหนึ่งวันแล้ว”
“นายน้อย ท่านก็รู้จักหวังเฉาซื่อคนนี้ แค้นนี้นางคงจำไปทั้งชีวิต”
“ตอนนี้ทั้งเมืองฝั่งตะวันตกล้วนรู้ว่าคุณหนูจวินเป็นคนไร้เมตตา มุ่งจะหลอกเอาเงินคนหนึ่ง”
“ใช้ไม่ถึงครึ่งวัน ทั้งเมืองหลวงคงรู้กันหมด โรงหมอจิ่งหลิวเปิดต่อไปไม่ได้จริงๆ แล้ว”
เสียงของเสี่ยวติงดังขึ้นในห้องไม่หยุด หนิงอวิ๋นเจาวางหนังสือในมือลงบนโต๊ะ เสียงดังปึก ขัดเสียงของเสี่ยวติง
“นายน้อย…เป็นข้าจัดการธุระไม่ดี” เสี่ยวติงรีบเป็นฝ่ายเอ่ยออกมา มองสีหน้าของหนิงอวิ๋นเจา
“ไม่ใช่เจ้าจัดการไม่ดี เป็นข้าจัดการไม่ดี” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยขึ้น ทิ้งประโยคนี้ไว้เดินออกไปแล้ว
เสี่ยวติงแลบลิ้น
นายน้อยนี่คงจะไปหาคุณหนูจวิน ดูท่าโกรธไม่เบา
เดิมทีก็ควรเป็นเช่นนั้น ต่อให้เป็นใครความหวังดีถูกมองเป็นหวังร้ายล้วนย่อมโกรธ นับประสาอะไรเมื่อหนิงอวิ๋นเจานี่ถึงขนาดระวังระไว กังวล พยายามสุดกำลัง ไม่ให้นางรู้ถึงความหวังดี
ทว่ากลับถูกโยนไว้ที่พื้นเด็ดขาดฉับไวเช่นนี้
นอกจากโกรธ ที่มากยิ่งกว่าคงเป็นเสียใจล่ะนะ
……………………………………….