บทที่ 31 หน้าไม่อาย แล้วแต่ท่านเถิด (5) Ink Stone_Romance
หลัวอวี่ก่วนดีดลูกคิดรางแก้วในใจ ยามบ่ายวันนี้เมื่อออกไปนางจึงไม่ได้อำพรางตน แต่กลับบอกไปตามตรงว่าต้องการไปซื้อเทียนไขหยวนเป่าจึงพาเซียงเฉ่าออกไป
“คุณหนู คุณหนูสามออกไปแล้วเจ้าค่ะ” เยียนเอ๋อร์มารายงานอย่างตื่นเต้น
หลัวซืออวี่ฟังแล้ว เพียงยิ้มๆ “เรียกคนเฝ้าดูไว้แล้วหรือไม่?”
“เจ้าค่ะ” เยียนเอ๋อร์ตอบ
“เช่นนั้นก็ตามนี้ไปก่อนเถิด อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น นางไปที่ไหนและทำอะไร เพียงกลับมารายงานข้าก็พอ” หลัวซืออวี่พูด
“เจ้าค่ะ” เยียนเอ๋อร์กลับมีท่าทีตื่นเต้นยิ่งนักที่จะจับหางจิ้งจอกของหลัวอวี่ก่วน จึงรีบเร่งออกไป ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็วิ่งกลับมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึมยิ่ง ไม่พูดอื่นใดมาถึงก็ปิดประตู และกล่าวกับหลัวซืออวี่ว่า “คุณหนูใหญ่ คุณหนูสามช่างหน้าไม่อายนัก ครั้งก่อนที่บ่าวเห็นนั้นไม่ผิดแล้วเจ้าค่ะ คนผู้นั้นเป็นซูซื่อจื่อ พวกเขาทั้งสองคนอยู่ในเรือน ตรงตรอกหมิน เมืองเฉิงหนาน…”
อย่างไรก็เป็นเพียงสาวใช้ระดับล่างอายุสิบกว่าปี เยียนเอ๋อร์พูดแล้วแก้มขึ้นแดงก่ำ หลบไปก้าวหนึ่งแล้วพูดต่อ “พวกเราไปเดี๋ยวนี้เถิดเจ้าค่ะ ต้องจับตัวนางได้ที่นั่นแน่นอน ถึงเวลานั้นดูว่านางมีอันใดจะพูดอีก”
หลัวอวี่ก่วนและซูหลินรึ?
หลัวซืออวี่คาดไม่ถึงอยู่บ้าง แต่เมื่อคิดๆ ดูตามที่ได้ยินมาแล้ว กลับไม่ได้เอ่ยอะไร ยังคงก้มหน้าปักดอกไม้ต่อไป แล้วเอ่ยขึ้นว่า “สุภาพบุรุษย่อมมีเสน่ห์ของสุภาพบุรุษ พวกเราไปตอนนี้จะไม่งาม”
“แต่ว่า…” เยียนเอ๋อร์ยังคงมาดมั่น
มีโอกาสที่จะจับหลัวอวี่ก่วนได้คาหนังคาเขาเช่นนี้ เป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่งนัก แต่คุณหนูของนางกลับไม่ยอม?
หลัวซืออวี่มองนางแวบหนึ่ง ทว่าไม่อธิบายอันใด ยังคงปักผ้าต่อไปอย่างสงบ พร้อมกับกล่าวว่า “ให้คนเฝ้าดูนางก็พอ นางกลับมาเมื่อไร จำไว้ว่าจงมาแจ้งกับข้าก่อน”
“แต่ว่าคุณหนู…” เยียนเอ๋อร์ไม่ยอมถอดใจโดยง่าย
“ทำตามที่ข้าสั่ง” หลัวซืออวี่พูด กล่าวสียงหนักแน่นอย่างมิยอมให้ปฏิเสธ
เยียนเอ๋อร์เอาชนะนางไม่ได้จึงได้แต่ถอนลมหายใจ ออกไปตามคำสั่งการอย่างไม่เต็มใจ
วันนี้เมื่อหลัวอวี่ก่วนกับซูหลินอยู่ด้วยกันนั้น นางได้ใช้ทุกกลเม็ดเด็ดพรายทั้งหมดที่มีอยู่ คนทั้งสองต่างเป็นหงส์ร่ายและมังกรรำแนบชิดอีกฝ่ายอยู่ครึ่งค่อนวัน จนกระทั่งพระอาทิตย์ตกดิน
นางมั่นใจยิ่งนักว่าหลัวซืออวี่จะไม่ปล่อยโอกาสนี้เพื่อล้างแค้นนางแน่นอน แต่รอแล้วรอเล่า สุดท้ายก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดใด ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างที่คิด ดูน่าประหลาดนัก
ซูหลินเข้าใจว่านางตัดใจไม่ได้ที่จะออกเมืองหลวงไป ดังนั้นจึงติดพันเขายิ่งนัก เขามีความสุขอย่างยิ่ง สุดท้ายแล้วนั้นเมื่อเดินออกมาทั้งสองคนถึงกับแข้งขาอ่อนแรง
เซียงเฉ่าประคองหลัวอวี่ก่วนออกมา เมื่อมองดูแล้วว่าไม่มีผู้ใด ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก พูดกับซูหลินว่า “ซื่อจื่อ วันนี้ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบาย ท่านส่งข้ากลับไปนะเจ้าคะ”
ซูหลินนั้นถูกนางเอาอกเอาใจอย่างอ่อนโยนเป็นเวลาสองวันติดกันแล้ว และเป็นช่วงขณะที่ครึ้มอกครึ้มใจยิ่ง จึงยื่นมือไปประคองแก้มนวลของนาง จากนั้นอุ้มนางเดินไปขึ้นรถม้า
“อ๊าย…“ หลัวอวี่ก่วนร้องขึ้นอย่างตกใจทีหนึ่ง ซ่อนใบหน้าไว้ในอกของเขา
สองคนเมื่ออยู่บนรถม้าก็จุดไฟอารมณ์ขึ้นมาอีกครั้ง หลัวอวี่ก่วนนั้นใช้กำลังจนเฮือกสุดท้ายแล้ว…
หลัวซืออวี่ไม่ปรากฏตัว นางรู้สึกอย่างไรก็มิยินยอม
ตลอดทางราบรื่นไร้อุปสรรคใดใด
ซูหลินยังคงระมัดระวังตัวอยู่เหมือนเดิม ยังคงปล่อยให้นางลงจากรถม้าที่ถนนหลังจวนหลัวกั๋วกง
รอจนกระทั่งรถม้าของซูหลินออกไป สีหน้าของหลัวอวี่ก่วนพลันทะมึนลง ชั่วพริบตาเดียวดำอย่างกับก้นหม้อ
“คุณหนู? ท่านเป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ?” เซียงเฉ่าไม่เข้าใจ นางเห็นเพียงซูหลินและหลัวอวี่ก่วนมีท่าทีหวานชื่นดูดดื่มยิ่งนัก ตอนนี้นางรู้สึกงงงวยไปหมดแล้ว
หลัวอวี่ก่วนย่อมไม่สามารถพูดกับนางได้ว่าตนมีแผนการอันใดภายในใจ เพียงส่งเสียง ‘ฮึ’ ออกมาอย่างเย็นชาและหันกายเดินกลับไปยังจวนหลัวกั๋วกง
นางยังคงใช้ประตูด้านหลังของจวนกลับเรือน เดินผ่านสวนดอกไม้อย่างใจลอย ในสมองของนางตอนนี้นึกถึงเพียงแต่หลัวซืออวี่…
เมื่อคืนหญิงผู้นั้นจงใจที่จะมาหยั่งเชิงให้รู้กัน และวันนี้ขณะที่ออกจากจวนนางเองเจตนาทิ้งร่องรอยเอาไว้ สตรีเจ้าแผนการเช่นนาง ไฉนจึงไม่เรียกคนจับตาดูนางเอาไว้?
แต่ว่าอีกฝ่ายไฉนไม่ได้ลงมือเล่า?
เมื่อคิดได้เช่นนี้แล้ว นางก็รู้สึกไขว้เขวสับสน เดินมาถึงสวนดอกไม้ที่ถนนเป็นลูกหินนั้นไม่ทันระวังจึงทำให้สะดุดชายกระโปรงตนเองเข้า
“คุณหนู…” เซียงเฉ่าร้องเรียกอย่างตกใจ
ทว่ายังไม่ได้ทันยื่นมือออกไปประคองนาง กลับมีมือขาวราวกับหยกข้างหนึ่งยื่นออกมาจากด้านข้างและจับแขนของนางเอาไว้
เมื่อหลัวอวี่ก่วนยืนมั่นคงแล้ว เงยหน้าขึ้นเห็นหลัวซืออวี่มองนางด้วยรอยยิ้ม
มาพบเจอะกันในยามนี้ หลัวอวี่ก่วนตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ในขณะที่กำลังสับสนลังเลใจว่าจะรับมืออีกฝ่ายอย่างไรดี หลัวซืออวี่ก็เอ่ยขึ้นกับนางพลางยิ้ม พูดว่า “น้องสาม นี่เพิ่งกลับมาจากไปพบกับซูซื่อจื่อใช่หรือไม่?”
นางถามตรงๆ และออกจะกะทันหันอยู่บ้าง
สีหน้าของหลัวอวี่ก่วนนั้นประเดี๋ยวเขียวประเดี๋ยวขาว ความรู้สึกเช่นนี้กับการรอให้คนมาจับตนนั้นแตกต่างกันลิบลับ บนใบหน้าไม่รู้ว่าจะแสดงสีหน้าอันใดดีแล้ว
ส่วนเซียงเฉ่าเมื่อได้ยินเข้าแข้งขาพลันอ่อนยวบ คุกเข่าลงบนทางเดินดัง ’ตุบ’ เจ็บจนเหงื่อแตกเต็มหน้า
ริมฝีปากของหลัวซืออวี่นั้นประดับไปด้วยรอยยิ้มบางๆ มองหลัวอวี่ก่วนอย่างสงบนิ่ง
หลัวอวี่ก่วนรับรู้เพียงว่าแผนการทั้งหมดที่นางได้วางไว้นั้นลอยไปกับสายลมที่พัดผ่าน เมื่ออยู่ต่อหน้าหญิงสาวผู้นี้แล้วนางไม่มีแม้ที่จะยืน
นางขบกัดริมฝีปาก ประสานสายตากับอีกฝ่ายเป็นเวลานานยิ่ง ยามนี้นางคาดเดาไม่ถูกว่าหลัวซืออวี่ต้องการทำสิ่งใด แต่เมื่อมาถึงทางตันนางก็สงบลงได้ในที่สุด
นางกำลังรอให้หลัวซืออวี่เปิดโปงเรื่องนี้ด้วยตนเอง เพื่อเป็นการบีบให้ซูหลินยอมรับนาง แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้ไปจับคนที่ตรอกหมินอย่างที่ใจนางปรารถนา แต่ถ้าทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่โตในจวนก็ได้ผลเช่นเดียวกัน จากนั้นสกุลหลัวจำต้องยินยอมเพื่อลบล้างความอับอาย ย่อมต้องไปหาซูหลินเป็นแน่
“พี่ใหญ่” เมื่อตัดสินใจเด็ดขาดแล้วหลัวอวี่ก่วนงอขาคุกเข่าลงไปทันที นางจับชายกระโปรงของหลัวซืออวี่ยับยู่ พูดด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นว่า “ข้ารู้ว่าข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่ควรทำเรื่องน่าอับอายเช่นนี้ ขอร้องท่าน เห็นแก่ความเป็นพี่น้องของเราทั้งสองคน ท่านช่วยข้าสักครั้ง ยกเว้นข้าสักครั้งเถิด”
นางพูดว่าขอร้อง ทว่าเจตนาใช้น้ำเสียงดังยิ่ง
จวนหลัวกั๋วกงนั้นกฎระเบียบมากมายนัก เรือนด้านหลังในยามกลางคืนมีหญิงรับใช้จำนวนไม่น้อยเข้ากะเวร นางเจตนาที่จะตะโกนเช่นนี้ ข่าวนี้ย่อมกระจายไปอย่างรวดเร็ว
การกระทำของนางนั้นเป็นเช่นสุนัขกระโดดกำแพง[1] นางต้องการทุ่มวางเดิมพันทั้งหมดในการวัดดวงครั้งสุดท้าย
หลัวซืออวี่ถูกนางจับยึดชายกระโปรงเอาไว้ ร่างกายโยกไปเอนมา ทว่าสีหน้านิ่งสงบไม่เปลี่ยนดุจขุนเขา เพียงแต่มองนางแสดงละครด้วยรอยยิ้มละไม
หลัวอวี่ก่วนร่ำไห้จนสั่นสะท้านไปทั้งกาย ช่างสมบทบาท ท่าทีของนางช่างต่ำต้อยนัก
เมื่อหลั่งน้ำตาอยู่นาน กลับพบว่ารอบด้านมีเพียงความเงียบสงบ นอกจากนางสองพี่น้องและคนรับใช้ข้างกายของนางทั้งคู่กลับไม่มีผู้ใดอีกเลย
ท่ามกลางความเงียบของราตรี ให้ความรู้สึกหนาวเย็นอยู่บ้าง นางจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนลงไปอีก “พี่ใหญ่…”
“เป็นอันใดเล่า? ตะโกนเหนื่อยแล้วหรือไร?” หลัวซืออวี่หลุบตามองสบสายตา จึงกล่าวขึ้นยิ้มๆ ว่า “ค่ำคืนนี้ในเรือนไม่มีใครเข้าเวร ถูกข้าไล่ออกไปหมด เจ้าขอร้องข้า จะใช้เสียงดังกว่านี้อีกก็ไม่กระไร ไม่มีผู้ใดเข้าก่อนฟ้าสางเป็นแน่”
น้ำตาของหลัวอวี่ก่วนหยุดไหลในทันใด นางกวาดสายตามองไปรอบๆ พอหันกลับมามองท่าทางหยิ่งผยองและเย็นชาของหลัวซืออวี่ พลันให้รู้สึกว่าตนยากที่จะมีที่ยืนอยู่ในเรือนหลังนี้อย่างแท้จริง
นางพยายามขยับริมฝีปาก ทว่ากลับไม่มีคำใดเอื้อนเอ่ยออกมา
หลัวซืออวี่สะบัดชายกระโปรงออกจากมือของนาง เดินออกไปด้านข้างอีกสองก้าวจึงเอ่ยขึ้นว่า “เจ้ามันช่างหน้าไม่อาย ข้ายังอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป ลับหลังเจ้าจะทำอย่างไรก็แล้วแต่เจ้าเถิด แต่อยากจะยืมมือของข้ามาส่งเสริมเรื่องอื้อฉาวของเจ้า เจ้าคิดว่าเป็นไปได้หรือไม่?”
สิ่งที่หลัวอวี่ก่วนต้องการคือให้นางไปจับคนกระทำชำเรา จากนั้นใช้โอกาสนี้บีบบังคับซูหลินให้ยอมรับนางเข้าสกุลแต่โดยดี
แม้ว่าหลัวซืออวี่ไม่รังเกียจที่จะถือโอกาสแก้แค้นหญิงผู้นี้ แต่ทว่าพวกนางมาจากครอบครัวเดียวกัน หากชื่อเสียงของหลัวอวี่ก่วนเสื่อมเสียลง ชื่อเสียงของนางย่อมไม่เหลือชิ้นดี หลัวอวี่ก่วนเองได้คิดอ่านถึงจุดนี้อย่างแม่นยำ ดังนั้นจึงอดรนทนไม่ไหวที่จะเปิดโปงเรื่องอื้อฉาวของนางในเรือนสกุลหลัว เพื่อเป็นการบีบให้ฮูหยินใหญ่ออกหน้ากลบเกลื่อนเรื่องราวแทนนาง
ครั้งนี้ นางได้วางแผนปิดทางออกไว้หมดแล้ว
หลัวซืออวี่มองนางด้วยสายตาเย็นชา อีกฝ่ายจะทำเช่นใดนั้นนางไม่อยากข้องเกี่ยว แต่จะให้นางร่วมมือแสดงละครด้วยนั้น คงไม่มีวัน!
ส่วนหลัวอวี่ก่วนเพียงอยากมีฐานะ นางมิกล้าให้เรื่องนี้รู้ไปถึงหูคนนอกครอบครัวสกุลซูและสกุลหลัวแน่นอน
เมื่อหลัวซืออวี่พูดจบก็หันกายเดินจากไปไม่คิดแลเหลียว
หลัวอวี่ก่วนหนาวเหน็บสะท้านไปทั้งใจ ล้มลงนั่งหมอบกับพื้นสิ้นท่า
———————————–
[1] สุนัขกระโดดกำแพง อุปมาว่าเมื่อคนไม่ดีไร้หนทางหนีรอดย่อมทำได้ทุกอย่างเพื่อเอาตัวรอด