ตอนที่ 227 ประจบ
อันหลิงอีและหลี่ซื่อจงใจหาเรื่องอันหลิงเกออยู่แล้วย่อมมิยอมรามือเพียงเพราะคำกล่าวง่าย ๆ มิกี่คำ
พวกนางเผยรอยยิ้มเป็นกันเองออกมา แต่ดวงตามิได้เป็นเช่นนั้น
“ข้าอายุยังน้อยจึงมิค่อยรู้ความ มิเคยรู้มาก่อนว่าตำรานั้นจักล้ำค่าถึงเพียงนี้” อันหลิงอีหลุบตาลง ใบหน้างดงามแสดงความรู้สึกผิดออกมา “หากรู้ว่าตำราเล่มนั้นได้บันทึกสูตรยาล้ำค่าเอาไว้มากมาย ข้าย่อมมิกล้าเอาตำราของพี่หญิงใหญ่ไปเล่นอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
คำกล่าวเมื่อครู่ของอันหลิงเกอหมายถึงอันหลิงอีมีนิสัยเอาแต่ใจ ถือว่าหลี่ซื่อมีอำนาจควบคุมจวนโหวทั้งได้รับความเอ็นดูจากอันอิงเฉิง ดังนั้นนางจึงทำตามใจตนเองได้ มิเคยเห็นบุตรสาวคนโตของจวนอยู่ในสายตา
แม้กระทั่งตำราโบราณที่บุตรสาวคนโตหวงแหน อันหลิงอีก็กล้านำไปรองขาโต๊ะ
ส่วนอันหลิงอีก็ตอบสนองได้รวดเร็วนัก พอรู้ความหมายแฝงในคำกล่าวของอันหลิงเกอก็รีบหาข้ออ้างว่าตนอายุยังน้อยจึงมิประสา ทั้งยังบอกว่านางแค่ล้อเล่นกับพี่หญิงใหญ่เพียงเท่านั้น การกล่าวเช่นนี้ก็คือการบอกว่านางมิได้รังแกอันหลิงเกอ แต่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับอันหลิงเกออีกต่างหาก
ดวงตาของอันหลิงเกอฉายแววคาดมิถึงอยู่เล็กน้อย นางแค่ไปฉู่โจวกลับมารอบหนึ่ง นับแล้วก็ใช้เวลาเพียงครึ่งเดือนเท่านั้น คนที่เดิมทีไร้สมองเยี่ยงอันหลิงอีกลับฉลาดขึ้นมาแล้วหรือ ?
หากเป็นเมื่อก่อน อันหลิงอีคงฟังมิออกว่ากำลังโดนนางด่าว่าหยิ่งยโสเอาแต่ใจ
หลี่ซื่อเหลือบตามองอันหลิงอีด้วยแววตากล่าวโทษเล็กน้อย “พี่หญิงของเจ้าชอบอ่านตำราเหล่านี้มาก แม้เจ้าสนิทสนมกับนางแต่ก็มิอาจนำของส่วนตัวมาเล่นเช่นนั้นได้”
แม้ฟังเหมือนนางกำลังตำหนิอันหลิงอี แต่แท้จริงเป็นการสนับสนุนคำกล่าวเมื่อครู่ของอันหลิงอี
ใบหน้าเคร่งเครียดของอันอิงเฉิงจึงดีขึ้นมิน้อย
“เอาล่ะ อีเอ๋อซุกซนมาตลอด นางแค่ล้อเล่นกับพี่หญิงของนางเท่านั้น คงยังมิรู้อันใดควรหรืออันใดมิควร วันนี้เป็นวันดีก็อย่าได้กล่าวถึงเรื่องเหล่านี้อีกเลย”
อันอิงเฉิงพูดตัดสินเพียงคำเดียว เรื่องนี้ก็ถือว่าจบลงเช่นนี้
เดิมทีก็เป็นเรื่องที่นางแต่งขึ้นมาอยู่แล้ว แน่นอนว่าอันหลิงเกอย่อมมิยึดติดกับมัน หากยังกล่าวต่อไปก็มิแน่ว่าคำโกหกของนางอาจเกิดช่องโหว่ก็ได้
ส่วนหวังซื่อที่เอามือลูบท้องไว้ข้างหนึ่ง ดวงตาของนางจ้องมองอันหลิงอี ทว่ากำลังยิ้ม แล้วยื่นมือไปจับมือของอันหลิงเกอเอาไว้ “หากมิได้เกอเอ๋อ บุตรในครรภ์ของข้าจักรักษาไว้ได้หรือ ? เกอเอ๋อเพียงแค่อ่านสูตรยาบนตำราก็สามารถเรียนวิชาแพทย์ได้อย่างยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ แสดงให้เห็นว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ยิ่งนัก”
แต่หลี่ซื่อทำเหมือนฟังมิออกว่าหวังซื่อกำลังดูถูกอันหลิงอี นางแสร้งยิ้มออกมาอย่างมีความสุขด้วยเช่นกัน “ข้ารู้มาโดยตลอดว่าเกอเอ๋อเป็นเด็กฉลาด จนตอนนี้ได้เห็นนางสร้างผลงาน ข้าเองก็ดีใจยิ่งนัก”
นางช่างแตกต่างจากปกติเหลือเกิน อาจกล่าวได้ว่านางกำลังแสร้งทำตัวมีเมตตาปรานีมากเกินไปจนอันหลิงเกอรู้สึกหวาดระแวงอยู่ภายในใจ
มิรู้ว่าสองแม่ลูกวางแผนร้ายอันใดไว้อีก อันหลิงเกอจึงได้แค่เอ่ยเสียงเรียบ “ข้าแค่มีวาสนาได้เห็นสูตรยา จึงมิถือว่ามีพรสวรรค์อันใดหรอก”
“พี่หญิงใหญ่ถ่อมตัวเกินไปแล้วเจ้าค่ะ” อันหลิงอียกยิ้มขึ้น ในดวงตาคู่โตฉายแววนับถือ “ตอนยังมิเกิดโรคระบาด พี่หญิงใหญ่ก็รู้ว่ามันจักเกิดขึ้น ถึงได้แจ้งให้ท่านพ่อไปกราบทูลฮ่องเต้ จากนั้นยังนำยารักษาโรคออกมาอีก แม้เป็นผู้มีอำนาจก็มิอาจทำถึงขั้นนี้ได้เจ้าค่ะ ! ”
เมื่อได้ฟัง อันอิงเฉิงก็ขมวดคิ้วขึ้นตามสัญชาตญาณ รู้สึกว่าคำกล่าวนี้มิค่อยดีสักเท่าไรจึงเหลือบมองอันหลิงอีทีหนึ่ง “คำกล่าวเหล่านี้เจ้าเก็บไว้พูดในเรือนก็พอ อย่าเอาไปกล่าวด้านนอก”
“ลูกพูดผิดตรงไหนหรือเจ้าคะ ? ” อันหลิงอีถามอย่างน้อยใจ นางก้มหน้าลงแล้วเอ่ยอย่างลังเลเล็กน้อย “ลูกแค่รู้สึกว่าพี่หญิงใหญ่เก่งเอามาก ๆ จึงนับถือจากใจ ท่านพ่อห้ามมิให้กล่าวเช่นนั้นก็ช่างมันเถิดเจ้าค่ะ”
ความสงสัยภายในใจของอันหลิงเกอยิ่งนานยิ่งมากขึ้น แต่เมื่อมิเห็นว่าอีกฝ่ายมีความเคลื่อนไหวอันใดจึงได้แต่รอดูไปก่อน
ฮูหยินผู้เฒ่าทนมิไหวกับท่าทางเสแสร้งของอันหลิงอี แต่วันนี้เป็นวันที่อันอิงเฉิงได้สร้างผลงานกลับมาจากฉู่โจวจึงมิอยากเอ่ยทำลายบรรยากาศ “เกอเอ๋อไปครั้งนี้ก็เป็นเวลาถึงครึ่งเดือน เดี๋ยวเจ้าต้องไปเล่าให้ย่าฟังอย่างละเอียดแล้วว่าพวกเจ้ารักษาโรคระบาดกันอย่างไร”
แววตาของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ใบหน้าฉายแววรักใคร่ปรานี
เมื่อได้ฟัง อันหลิงเกอก็ใจอ่อนทันที นางพยักหน้ารับติด ๆ กัน “ท่านย่าอยากฟังสิ่งใด เกอเอ๋อจักเล่าให้ฟังทั้งหมดเลยเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังบอกเป็นนัยว่าต้องการให้อันหลิงเกอไปเรือนของนางตอนนี้
ผู้คนต่างรู้ดีแก่ใจ ดังนั้นจึงกล่าวลาตามมารยาทแล้วค่อย ๆ แยกย้ายกันไป
เว่ยซื่อก็เดินตามหลังฮูหยินผู้เฒ่าเช่นเคย นางจึงชวนอันหลิงเกอสนทนา “ตั้งแต่คุณหนูใหญ่ไปฉู่โจว ท่านแม่ก็ทานอันใดมิค่อยลง ครึ่งเดือนมานี้จึงผอมลงไปมิน้อยเลยเจ้าค่ะ”
“เกอเอ๋อทำให้ท่านย่าต้องเป็นห่วงแล้วเจ้าค่ะ” อันหลิงเกอเผยรอยยิ้มเชื่อฟังบนใบหน้า “เพียงแต่โรคระบาดครั้งนี้รุนแรง หลานจึงมิไว้ใจให้ท่านพ่อไปเพียงผู้เดียวเจ้าค่ะ ”
“ย่ารู้ว่าเจ้าเป็นบุตรที่มีใจกตัญญู” ฮูหยินผู้เฒ่าตบมือลงบนหลังมือของนางเบา ๆ พร้อมรอยยิ้มชื่นชมตรงมุมปาก “จุนเกอร์เอ๋อก็เป็นห่วงเจ้ามากเช่นกัน หลายวันมาแล้วที่เขาเอาแต่วิ่งมายังเรือนของย่าเพื่อสอบถามว่าเจ้าจักกลับมาเมื่อไร”
การเอ่ยถึงอันหลิงจุนเป็นหัวข้อที่ดีในการใช้สนทนากับอันหลิงเกอ
เมื่อฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวถึงอันหลิงจุนก็เป็นเหตุให้อันหลิงเกอนึกย้อนไปเมื่อครู่ว่ามีคนไปต้อนรับพวกนางกลับมามิน้อย ทว่ามิเห็นอันหลิงจุนเลย
ตามหลักแล้วแม้วันนี้เป็นวันเปิดเรียนที่สำนักศึกษาจิงตู แต่อันหลิงอีและอันหลิงเฉว่ก็ยังมาปรากฏตัวที่นี่ เห็นได้ชัดว่ามีการลาหยุดกับอาจารย์ไปแล้ว อันหลิงจุนเองก็สมควรลามาด้วยถึงจักถูก แล้วเหตุใดจึงมิเห็นเขาเลย ?
“เหตุใดหลานจึงมิเห็นจุนเกอร์เอ๋อเลยเจ้าคะ คงมิใช่ว่าหนีไปเล่นที่ไหนอีกหรือไร ? ”
อันหลิงเกอแม้กล่าวเช่นนี้ ทว่าในใจเริ่มกังวลขึ้นมา
เว่ยซื่อจึงหัวเราะแห้งส่งไปให้อันหลิงเกอ และนางก็มิเข้าใจเรื่องระหว่างอันหลิงจุนกับองค์ชายเก้า ฉะนั้นจึงมิได้คิดมาก “เมื่อครู่มีคนขององค์ชายเก้ามาที่นี่ กล่าวว่ามีเรื่องอยากสนทนากับจุนเกอร์เอ๋อที่สำนักศึกษาจิงตูจึงให้เขาไปพบ คุณหนูใหญ่มิต้องเป็นห่วงหรอกเจ้าค่ะ”
องค์ชายเก้ามิได้ดีต่อจุนเกอร์เอ๋อเลยสักนิด!
อันหลิงเกอรู้สึกมิไว้วางใจ หนังตาอดกระตุกขึ้นมามิได้ ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในวังองค์ชายเก้ารังแกจุนเกอร์เอ๋อ เมื่อนางพบเห็นและสั่งสอนไปครั้งหนึ่ง เขาถึงได้เก็บอาการเอาไว้บ้าง
แต่นิสัยของมนุษย์นั้นเปลี่ยนได้ยาก องค์ชายเก้าส่งคนมาเรียกตัวจุนเกอร์เอ๋อไป ยังมีเรื่องดีอันใดได้อีก ?
อีกอย่างนางได้กลับจากฉู่โจว เป็นไปมิได้ที่จุนเกอร์เอ๋อจักมิมาพบ แน่นอนว่าเขาต้องโดนเรื่องอันใดบางอย่างรั้งเอาไว้จนมิสามารถกลับมาได้
อันหลิงเกอกังวลใจ แต่ใบหน้าที่แสดงออกมิมีความเปลี่ยนแปลง
นางเดินเข้าเรือนฮูหยินผู้เฒ่าและเล่าเรื่องบางเรื่องที่เกิดขึ้นในฉู่โจวให้ฮูหยินผู้เฒ่าฟัง
พลางส่งสายตาให้เว่ยซื่อทีหนึ่ง
เว่ยซื่อรู้ว่านางหมายถึงสิ่งใดจึงขยับเข้าไปใกล้ฮูหยินผู้เฒ่าแล้วเอ่ยเสียงเบา “ท่านแม่เจ้าคะ ข้าเห็นคุณหนูใหญ่นั่งรถม้ามาตลอดทาง นางดูเหนื่อยล้ายิ่งนัก มิสู้ให้คุณหนูใหญ่กลับไปพักผ่อนก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ รอวันหลังท่านค่อยสนทนากับนางใหม่ ”
“ข้าลืมเรื่องนี้ไปได้เยี่ยงไร” ฮูหยินผู้เฒ่าตบพนักเก้าอี้อย่างตกใจ “เยี่ยงนั้นเกอเอ๋อก็กลับไปพักผ่อนก่อนเถิด”
เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าบอกให้นางกลับไปพักผ่อน อันหลิงเกอจึงออกจากเรือนชิงเฟิง จากนั้นใบหน้าของนางก็ดูเคร่งเครียดขึ้นมาทันที