ตอนที่ 142 พบความผิดปกติได้ทุกแห่งหน

ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล

ตอนที่ 142 พบความผิดปกติได้ทุกแห่งหน

“เถ้าแก่ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

นักพรตเฒ่ายังไม่รู้สาเหตุ เห็นๆ กันอยู่ว่าเขาเพิ่งจะโดนยิงไป โอ้ ไม่สิ โดนปากกาปักกลางอกตรงเผงเลย

แต่ตอนนี้เขากลับเหมือนคนที่ไม่เป็นอะไรสักนิด นอกจากบนใบหน้ายังมีรอยฟกช้ำดำเขียวหลงเหลืออยู่ แต่นั่นเป็นเพราะเขาหกล้มเอง

โจวเจ๋อยื่นมือออกไปหยิบปากกาที่ตกบนพื้นด้ามนั้นขึ้นมา แต่ปรากฏว่าเมื่อสัมผัสปากกาด้ามนี้กลับกลายเป็นเถ้าถ่านในทันที

“มันถูกวาดขึ้นมา” โจวเจ๋อพูด “ถ้าเขาร้ายกาจขนาดนี้จริงๆ คงไม่ลังเลที่จะสู้ตัวต่อตัวกับผม เขาสามารถทำได้แม้กระทั่งจับผมมัดแล้วต่อยตีอยู่ฝ่ายเดียวด้วยซ้ำ”

“วาดเอาหรือ”

“ใช่ วาดขึ้นมา นี่มันเหมือนกับการสะกดจิตขั้นสูงเลย อำพรางการมองเห็น การได้ยิน การรับรู้กลิ่น และการรับรู้ความรู้สึกอื่นๆ ทั้งยังทำให้มันแปรสภาพไปตามการออกแบบของเขาอีกต่างหาก”

โจวเจ๋อมองไปที่แขนของตัวเขาเอง ก่อนหน้านี้มีรอยแผลชัดเจนบนแขนของเขา แต่ตอนนี้กลับมองไม่เห็นเลยแม้แต่น้อย แต่ภาพและความรู้สึกเสมือนจริงแบบนั้น เพียงแค่ชั่วเวลาสั้นๆ ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผู้คนเชื่อสนิทใจว่าทุกอย่างเป็นความจริงโดยไม่รู้ตัว

“บัดซบ แท้จริงแล้วเป็นสายงานเดียวกับเรา เป็นการแสดงปาหี่ของนักต้มตุ๋น”

นักพรตเฒ่ากลับมามีความมั่นใจของลูกผู้ชายเหมือนเดิมในฉับพลัน

ผู้นำที่ยิ่งใหญ่เคยกล่าวไว้ว่า พวกปฏิกิริยา[1]ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นเสือกระดาษ!

“เถ้าแก่ เราจะลากคอเขาออกมาตอนนี้เลยไหม”

โจวเจ๋อส่ายหน้าและชี้ไปที่หน้าต่างโถงทางเดิน “ฟ้าใกล้จะสว่างแล้ว และเขาก็ซ่อนตัวไปแล้วด้วย”

อันที่จริง การปรากฏตัวของดวงวิญญาณไม่ได้เกี่ยวกับฟ้ามืดหรือฟ้าสางเท่าไรนัก อย่างน้อยๆ มันก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อภูตผีเลย ในทางตรงกันข้ามกลับส่งผลกระทบกับคนเสียมากกว่า

ในช่วงกลางวัน ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ภายใต้แสงสว่างของดวงอาทิตย์ ถึงแม้ว่าจะมีเรื่องแปลกๆ อะไรเกิดขึ้น คนธรรมดาทั่วไปก็จะรู้สึกมีความกล้ากว่าเล็กน้อย หรืออย่างน้อยๆ ก็มีความอุ่นใจอยู่บ้าง

แต่ในช่วงกลางคืนนั้น เกิดเรื่องอะไรขึ้นผู้คนก็จะตื่นตระหนกตกใจได้ง่าย ทำให้ภูตผีฉวยโอกาสได้

แน่นอนว่าผีตนนั้นมีความพิเศษนิดหน่อย เขาเชี่ยวชาญการวาดรูป แต่ไม่ว่าภาพวาดและคุณภาพของภาพวาดจะดีแค่ไหนก็จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนและความร่วมมือจากสิ่งแวดล้อม ช่วงกลางวันไม่ใช่ฉากหลังของภาพวาดที่เขาโปรดปราน เพราะมันจะทำให้ช่องโหว่ในภาพวาดของเขาขยายใหญ่ขึ้น ต่างจากภาพวาดของเขาในช่วงกลางคืนที่จะมีความสมจริงมากขึ้น

“อีกเดี๋ยวพวกเรา…ไปกินอาหารเช้ากันดีไหม”

โจวเจ๋อเดินไปที่สุดปลายทางเดินอีกด้าน นักพรตเฒ่าก็เดินตามไปทันที จากนั้นนักพรตเฒ่าก็มองโจวเจ๋อเข้าไปในห้องนอนที่มีป้ายติดเอาไว้ว่าห้องเก็บของ

นอกจากกองของกระจุกกระจิกแล้ว ภายในห้องยังมีรองเท้าหนังสีดำอีกคู่หนึ่ง

โจวเจ๋อนั่งบนกระดานไม้ ราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่าง

“เถ้าแก่ครับ”

ในเวลานี้โจวเจ๋อยกมือขึ้นและส่งสัญญาณให้นักพรตเฒ่าเงียบลงหน่อย

นักพรตเฒ่าพยักหน้าและนั่งลงบนเตียงฝั่งตรงข้าม รอยฟกช้ำเหล่านั้นบนร่างกายเขา ไม่จำเป็นต้องกังวลอะไร ขึ้นเหนือล่องใต้มาหลายปี ทั้งตรากตรำและได้รับบาดเจ็บภายนอกมานับไม่ถ้วน ณ จุดๆ นี้ จิ๊บจ๊อยมาก

หลังจากผ่านไปประมาณสิบห้านาที โจวเจ๋อก็ก้มลงและเริ่มทำการค้นใต้เตียง

นักพรตเฒ่าก็ก้มลงไปคุ้ยด้านล่างตาม เขาไม่รู้ว่าเถ้าแก่กำลังหาอะไร แต่ไม่เป็นไร แค่หาก็พอแล้ว!

ถึงอย่างไรส่วนใหญ่ที่เถ้าแก่มองเห็นนั้นไม่ใช่ความก้าวหน้าของคุณ แต่เป็นท่าทีในการทำงานของคุณต่างหาก

ใต้เตียงมีแต่ของกระจุกกระจิกจำนวนหนึ่ง หลังจากดึงออกมาแล้ว ด้านล่างกลับมีแต่ความว่างเปล่า ถึงอย่างไรห้องนี้ก็ไม่มีคนอาศัยอยู่

โจวเจ๋อเปิดตู้เสื้อผ้า เมื่อทั้งแปดตู้ถูกเปิดออกมา นอกจากฝุ่นบางๆ ก็ไม่มีอะไรอยู่ข้างในแล้ว

นักพรตเฒ่าเกาหัวแล้วปีนขึ้นไปบนเตียงชั้นบน มีโปสเตอร์มากมายติดบนผนังชั้นบน ล้วนแล้วแต่เป็นนักฟุตบอล อย่างพวกโรนัลโด ราโมส เป็นต้น

โจวเจ๋อก็ขึ้นมาที่เตียงชั้นบนเช่นกัน เขารู้สึกว่าที่นี่น่าจะมีอะไรบางอย่าง ไม่อย่างนั้นวิญญาณของหวังเป่ากังคงไม่วนเวียนอยู่ที่นี่ตลอดหรอก อีกทั้งตัวเขาก็เห็นฉากแปลกๆ อย่างอื่นในหอพักแห่งนี้ด้วย

จากที่คาดเดาละก็ ห้องนอนห้องนี้น่าจะเป็นจุดสำคัญของเรื่องราวซีรีส์นี้

“เถ้าแก่ โปสเตอร์ตรงที่เจ้าอยู่คือภาพอะไรน่ะ มันดูแปลกๆ นะ” นักพรตเฒ่าชี้ไปที่ทางโจวเจ๋อแล้วพูดขึ้น

“ภาพวาดของปาโบล ปิกาโซ” โจวเจ๋อตอบ

ทันใดนั้น ดูเหมือนว่าโจวเจ๋อจะเจออะไรบางอย่าง จึงเอื้อมมือไปแตะโปสเตอร์

จากมุมมองของนักพรตเฒ่า เถ้าแก่ของเขายื่นมือไปลูบๆ คลำตรงตำแหน่งหน้าอกของผู้หญิงในภาพ นักพรตเฒ่ารีบพูดขึ้นทันที

“เถ้าแก่ กลับไปลูบคลำอิงอิงที่บ้านเถอะ ผู้หญิงในภาพวาดนี้ขี้เหร่เกินไป…”

นักพรตเฒ่ายังพูดไม่จบ ก็ได้ยินเสียง ‘แควก’

โจวเจ๋อฉีกภาพวาดนี้ลงมา และมีกระดาษหลายแผ่นร่วงกราวลงมาระหว่างภาพวาดกับผนัง

โจวเจ๋อไม่มีเวลาสนใจมาตอบคำพูดไร้สาระของนักพรตเฒ่า หยิบกระดาษขึ้นมาแผ่นหนึ่งทันที มันเป็นภาพวาดด้วยปากกา เทคนิคการวาดพิถีพิถันมาก ในภาพวาดเป็นห้องนอน แต่ในห้องนอนนี้กลับถูกแต่งเติมไปด้วยของเหลวพิเศษ

ถือได้ว่าเป็นน้ำ และนับได้ว่าเป็น…เลือด

ส่วนในภาพวาดถัดไป มีเด็กผู้ชายที่ร่างกายมีเพียงแค่ครึ่งท่อนกำลังพยายามคลานเข้าไปข้างในจากตรงระเบียง แถมในตู้ที่ห้องนอนยังมีขาเหยียดออกมา

ต่อมาเป็นภาพที่สาม ในภาพมีชายคนหนึ่งเอาหัวลงกับพื้น ใช้สองมือสวมลงในรองเท้าหนังยืนกลับหัวกลับหางบนพื้นกระเบื้อง

ทั้งสามภาพนี้เป็นตัวแทนของฉากทั้งสาม และก่อนหน้านี้โจวเจ๋อก็เพิ่งเจอทั้งสามฉากนี้ไป

ภาพหนึ่งเป็นห้องนอนที่ถูกแต่งเติมด้วยน้ำเลือด ภาพหนึ่งเป็นเด็กหนุ่มที่มีแค่ครึ่งท่อนคนนั้น ส่วนอีกภาพหนึ่งเป็นหวังเป่ากังที่เดินกลับหัวกลับหาง

และด้านล่างยังมีอีกสามภาพ รวมเป็นหกภาพด้วยกัน

เขาหยิบภาพวาดอื่นขึ้นมาอีก ในภาพนั้นเป็นโครงกระดูกถือหนังสืออยู่ในมือ เดินอยู่ท่ามกลางเพื่อนนักเรียนและครูบาอาจารย์ ถ้าเดาไม่ผิดละก็ ในภาพน่าจะเป็นซุนชิว

ต่อไปเป็นภาพที่ห้า เมื่อเห็นฉากในภาพวาดนี้โจวเจ๋อก็หันไปมองนักพรตเฒ่าทันที ในตอนนี้เองนักพรตเฒ่าเพิ่งปีนลงจากเตียงฝั่งตรงข้ามและปีนขึ้นมาถึงเตียงชั้นบนที่โจวเจ๋ออยู่ ดูเหมือนจะมีความสนใจในสิ่งที่โจวเจ๋อเจอค้นพบมาก

“ภาพอะไรน่ะ มองไม่ชัดเลย” นักพรตเฒ่าถาม

โจวเจ๋อยื่นภาพวาดแผ่นนี้ให้นักพรตเฒ่า นักพรตเฒ่าใช้มือหนึ่งคว้าบันไดและใช้มืออีกข้างหนึ่งรับเอาภาพไป จากนั้นก็ตะลึงงันอยู่ครู่หนึ่งแล้วไถลลื่นตกลงไปทันที โชคดีที่มันไม่สูงนัก จึงไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร แต่นักพรตเฒ่าดูเหมือนจะขวัญหนีดีฝ่อไปแล้วเสียอย่างนั้น

ภาพวาดตกลงไปบนพื้น ในภาพวาดมีชายชราในชุดนักพรตนอนอยู่ที่นั่น ตัวไปทางหัวไปทาง และมีแมวดำอยู่ใกล้ๆ ราวกับกำลังแทะศพของเขา

โจวเจ๋อพลิกดูภาพสุดท้าย และสิ่งที่ไม่คาดคิดก็คือคนในภาพสุดท้ายไม่ใช่ตัวเขาเอง แต่เป็นชายที่ตัดผมทรงทหารคนนั้น ในภาพชายคนนั้นยืนตัวตรงมีวัตถุแหลมคมปักอยู่ที่หน้าผาก เพราะบนใบหน้าของชายที่ตัดผมทรงทหารมีไฝอยู่สองเม็ด ดังนั้นจึงเทียบกับภาพลักษณ์ตัวละครในภาพวาดได้ง่าย

หลังจากดูภาพทั้งหมดเสร็จแล้ว โจวเจ๋อก็มองนักพรตเฒ่าที่ขวัญหนีดีฝ่อ พลันเกิดความรู้สึกหดหู่อย่างหนึ่งขึ้นมาทันที

ทำไมถึงมีภาพวาดของนักพรตเฒ่า แต่ไม่มีภาพวาดของตัวเองกันนะ

อืม ความรู้สึกแบบนี้เหมือนตอนถ่ายหนังแล้วตัวเอกที่ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าถูกตัวประกอบแย่งซีนอย่างบ้าคลั่ง

นักพรตเฒ่าปีนขึ้นไปอีกครั้ง และหยิบภาพวาดอื่นๆ ในมือของโจวเจ๋อมาดูทันที แล้วถามโจวเจ๋อด้วยความกังวลใจว่า

“เถ้าแก่ ในภาพพวกนี้มันไม่ใช่เรื่องจริง ไม่ใช่เรื่องจริงใช่ไหม”

โจวเจ๋อลงจากเตียง แล้วไปล้างมือที่อ่างล้างหน้าตรงนั้นพลางพูดว่า “ผมยังไม่เคยเจอสองฉากที่เป็นของคุณและชายที่ตัดผมทรงทหาร ส่วนภาพวาดอีกสี่ภาพนั้น ผมเจอมาหมดแล้ว”

“เป็นไปได้ยังไงกัน นี่ไม่ใช่คำทำนายของชนเผ่ามายาเสียหน่อย ข้ายังมีชีวิตอยู่เลยนะ ชายที่ตัดผมทรงทหารก็ยังมีชีวิตอยู่”

“คุณจะบอกว่าเมื่อสองสามปีที่แล้ว มีนักเรียนมัธยมต้นที่วาดรูปเก่งในห้องนอนแห่งนี้ชื่นชมคุณล่วงหน้าอย่างนั้นเหรอ” โจวเจ๋อถามกลับ

“นี่เป็นกลอุบายของผี หลอกล่อเล่นกลพยายามทำให้กองทัพของเราสับสน!”

โจวเจ๋อไม่ได้พูดอะไรอีก แต่ส่งสัญญาณให้นักพรตเฒ่าเก็บทั้งหกภาพเอาไว้ จากนั้นโจวเจ๋อก็เดินไปที่ระเบียง

ฟ้าใกล้จะสว่างแล้ว มองเห็นรุ่งอรุณจางๆ ผู้คนมักจะมองว่ารุ่งอรุณเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวัง แต่บางครั้ง มันเป็นความอัดอั้นก่อนที่ความมืดจะมาถึงมากกว่า

นักพรตเฒ่าก็เดินไปที่ริมระเบียงด้วยใบหน้าขมขื่น หยิบบุหรี่ออกมายื่นให้โจวเจ๋อ จากนั้นตัวเองก็จุดอีกมวน แล้วถอนหายใจพลางพูดว่า

“เถ้าแก่ ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องจริงใช่ไหม”

นักพรตเฒ่าเคยถามคำถามนี้มาก่อน

“ผมไม่รู้” โจวเจ๋อส่ายหน้า จากนั้นโจวเจ๋อก็เอนตัวพิงริมระเบียงแล้วพูดต่อ “คุณรู้สึกไหมว่าตั้งแต่เข้ามาในตึกหอพักนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างในนี้ชื้นมาก แถมยังมีกลิ่นดินด้วย”

“ตึกหอพักมันเป็นแบบนี้ทุกที่แหละ” นักพรตเฒ่าพ่นควันบุหรี่ออกมา

โจวเจ๋อยื่นมือขึ้นไปนวดคิ้วเบาๆ ในเวลานี้มีเสียงกริ่งดังขึ้นในอาคารหอพัก ซึ่งหมายความว่าถึงเวลาแล้วที่พวกนักเรียนจะต้องตื่นไปเข้าร่วมชั่วโมงการศึกษาด้วยตนเองในภาคเช้า

ตอนที่กริ่งดังขึ้นก็มีนักเรียนที่ขยันมากบางส่วนออกไปจากทางออกชั้นล่าง พวกเขาสวมชุดนักเรียนสีแดง

แต่นักเรียนในอาคารอื่นรอบๆ กลับสวมชุดนักเรียนสีน้ำเงิน

“สีของชุดนักเรียนต่างกัน”

โจวเจ๋อชี้ไปที่ด้านล่าง ในตอนนี้เขาไม่อยากพลาดรายละเอียดใดๆ ไป เหตุผลนั้นง่ายมาก ตั้งแต่ที่เขาเริ่มเข้ามาในอาคารหอพักแห่งนี้ เรื่องราวต่างๆ ที่ทยอยเกิดขึ้นทั้งหมด ทำให้โจวเจ๋อรู้สึกจับต้นชนปลายไม่ได้เลย

“น่าจะเป็นเพราะนักเรียนมัธยมต้นมีเครื่องแบบต่างกับนักเรียนมัธยมปลายละมั้ง นี่เป็นตึกหอพักของมัธยมต้น ส่วนตึกด้านนอกสองหลังดูเหมือนจะเป็นของมัธยมปลาย โรงเรียนนี้มีทั้งแผนกมัธยมต้นและมัธยมปลายอยู่ด้วยกัน”

ในขณะที่นักพรตเฒ่ากำลังพูดก็หยิบภาพวาดออกมาดูอีกครั้ง ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกแย่ กระทั่งนักพรตเฒ่ากำลังคิดว่าทำไมคนที่ตายอย่างอนาถในภาพวาดเป็นตัวเองไม่ใช่โจวเจ๋อกันนะ

ข้ามีตัวตนสูงส่งขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร

“เอาละ ชายที่ตัดผมทรงทหารออกมาแล้ว”

โจวเจ๋อยื่นมือชี้ไปด้านล่าง ครูผู้ดูแลหอพักที่ตัดผมทรงทหารคนนั้นเดินออกไปนอกประตูแล้ว ในมือถือโทรศัพท์เอาไว้ราวกับว่ากำลังคุยโทรศัพท์อยู่

“เขาไม่ได้แจ้งตำรวจเหรอ” โจวเจ๋อถาม

“ไม่ละมั้ง” นักพรตเฒ่าพูดอย่างไม่แน่ใจ

อันที่จริงสำหรับโจวเจ๋อและนักพรตเฒ่าแล้ว การสร้างปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร เผาเงินกระดาษนิดหน่อยก็สามารถรับมือได้แล้ว สิ่งที่สำคัญก็คือแม้ว่าครูผู้ดูแลหอพักที่ตัดผมทรงทหารจะไม่แจ้งตำรวจ ก็ไม่ได้หมายความว่าเรื่องทั้งหมดไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย

ก่อนหน้านี้มัวแต่จับผีจึงละเลยสิ่งนี้ไป แต่ตอนนี้มีเวลาแล้ว ก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติ

ไม่สิ พูดให้ถูกก็คือตั้งแต่เดินเข้ามาในอาคารหอพักแห่งนี้ มีเพียงไม่กี่แห่งที่ยังปกติ

“ดูสิ เขาก็ยังมีชีวิตอยู่นี่นา”

นักพรตเฒ่าชี้ไปยังชายที่ตัดผมทรงทหารที่ยืนอยู่อยู่ด้านล่าง

ความรู้สึกนี้เหมือนกับว่าเขายังปลอดภัย ข้าก็ปลอดภัย

‘เพล้ง!’

ทันใดนั้นมีเสียงกระจกแตกดังมาจากบนหลังคา นักพรตเฒ่าสัมผัสได้เพียงลมกระโชกแรงพัดผ่านใบหน้าของเขาและจากนั้นก็ได้ยินเสียงดังวุ่นวายและเสียงกรีดร้องจากเบื้องล่าง

ชายที่ตัดผมทรงทหารที่ยืนอยู่ด้านล่างถูกเศษกระจกหล่นใส่พอดิบพอดี

และเศษกระจกอันนั้นก็ปักเข้าไปกลางหน้าผากของเขา

อย่างตรงดิ่งและแน่แน่ว

……………………………………………………………..

[1]พวกปฏิกิริยา คือกลุ่มคนที่ต่อต้านการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความก้าวหน้าและมุ่งหวังพาสังคมกลับไปหาคุณค่าเก่า