บทที่ 161 สถานการณ์พลิกผัน (ภาคกลาง)

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

บทที่ 161 สถานการณ์พลิกผัน (ภาคกลาง)

ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วมาก

“ระวัง!”

ฉู่เหินพลิ้วกายเหมือนสายหมอกปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าหลินเป่ยเฉิน แขนเสื้อโบกสะบัด ลูกศรดอกนั้นที่ลอยเข้ามาถูกซัดกระเด็นออกไป

หลินเป่ยเฉินตื่นตะลึง เหงื่อออกท่วมกาย

เพิ่งจะได้สติกลับคืนมาก็ตอนนี้

หากเมื่อสักครู่ อาจารย์ฉู่ไม่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ สมองของเขาคงกระจุยกระจายไปแล้ว

ขณะนี้ พานเว่ยหมินกำลังต่อสู้พัวพันอยู่กับชายฉกรรจ์ชุดดำที่ไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากไหน เสียงกระบี่ปะทะกันดังโช้งเช้ง ประกายไฟสาดกระจายเต็มท้องฟ้ายามราตรี

ชายฉกรรจ์ชุดดำสามารถต่อสู้กับพานเว่ยหมินได้อย่างสูสี

บังเกิดเสียงการต่อสู้ดังออกมาจากค่ายที่พักของกลุ่มนักล่าอสูรกุหลาบไฟเช่นกัน

ภายใต้ความมืดมิด เงาร่างคนแฝงตัวกับราตรีกาล พุ่งเข้าไปเล่นงานนักล่าอสูรกุหลาบไฟ เปิดฉากการฆ่าฟันเหมือนหมาป่าร้ายกระหายเลือด

เสียงกรีดร้องโหยหวนไม่จบไม่สิ้น

กลิ่นเลือดคาวคลุ้งในอากาศ หมายความว่ามีคนตายแล้ว

“เกิดอะไรขึ้น?”

“ศัตรูบุกโจมตีอย่างนั้นหรือ?”

เงาร่างอีก 3 สายทะยานออกมาจากกระโจมที่พักด้านหลังหลินเป่ยเฉิน

ฟ้าว! ฟ้าว! ฟ้าว!

พายุลูกธนูถูกยิงออกมาจากความมืดมิด เห็นได้ชัดว่ามีผู้ลอบโจมตีหมายเล่นงานศิษย์และอาจารย์จากสถานศึกษากระบี่ที่สาม

เคล้ง!

ฉู่เหินมือหนึ่งตวัดระบี่ อีกมือหนึ่งหมุนวนโคจรพลังลมปราณ

มวลอากาศรอบกายพลันปั่นป่วน

ลูกธนูที่พุ่งเข้ามาระเบิดกระจายกลายเป็นผุยผง

แต่อาจารย์ฉู่ไม่มีโอกาสตามคิดบัญชีมือธนู

สถานการณ์โกลาหลมากเกินไป

หน้าที่ของเขาคือดูแลความปลอดภัยของลูกศิษย์

จะให้ลูกศิษย์ทั้ง 4 คนนี้ได้รับบาดเจ็บไม่ได้เด็ดขาด

“อ๊าก…”

“ฆ่ามัน พวกเราฆ่ามันให้หมด”

“ท่านพี่อู๋หงจะไปไหนเจ้าคะ?”

“ข้าจะออกไปจัดการพวกมัน เจ้าอยู่ปกป้องเสี่ยวหลิงให้ดี”

ขณะนี้ รอบค่ายพักของสำนักล่าอสูรกุหลาบไฟเต็มไปด้วยเสียงตะโกนและเสียงกรีดร้องวุ่นวายชุลมุน

กระโจมที่พักถูกจุดไฟเผา

เปลวไฟลุกโชน

นักล่าอสูรหญิงผู้หนึ่งเดินโซเซออกมาในสภาพที่มีลูกธนูปักอยู่เต็มตัว นางส่งเสียงกรีดร้องเจ็บปวดทรมาน ก่อนที่จะล้มคว่ำลงไปบนพื้นดิน

ฝ่ายที่บุกโจมตีมีจำนวนไม่ต่ำกว่า 100 คน

พวกของไป๋ชินหยุนอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง

บรรดาศิษย์ของสถานศึกษากระบี่ที่สามไม่เคยเห็นการสังหารหมู่ที่โหดร้ายเช่นนี้มาก่อน

“พวกเรารีบไปช่วยเหลือผู้คน”

ฮันปู้ฟู่ชักกระบี่ออกจากฝัก

“ไม่ต้องไป พวกเจ้าอยู่ที่นี่แหละ”

ฉู่เหินพลันออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ทำไมล่ะเจ้าคะ?”

ไป๋ชินหยุนก็เตรียมต่อสู้แล้วเช่นกัน

เยว่หงเซียงกล่าวสนับสนุน ดวงตาลุกวาวด้วยไฟแห่งความโกรธา “อาจารย์เจ้าคะ ให้พวกเราไปช่วยเหลือผู้คนเถิดเจ้าค่ะ”

ฉู่เหินส่ายหน้า ตอบว่า “มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล พวกเจ้าต้องอยู่กับอาจารย์ที่นี่”

แต่ชายชราก็บอกไม่ได้อีกเช่นกันว่า อะไรคือสิ่งที่ไม่ชอบมาพากลนั้น

มันเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากสัญชาตญาณล้วนๆ

เสียงร้องโหยหวนดังกังวานภายใต้ท้องฟ้ายามราตรี

กระโจมที่พักถูกเผาไฟ สมาชิกของสำนักล่าอสูรกุหลาบไฟล้มลงตกตายคนแล้วคนเล่า

ประกายกระบี่แวววาววูบวาบในสายลม

ทุกครั้งที่คมกระบี่สาดประกาย จะต้องมีฝ่ายผู้บุกรุกตกตายหนึ่งชีวิต

แต่พวกมันมีกันเยอะเกินไป

อู๋หง จอมยุทธ์หญิงร่างกายกำยำ ใช้สองมือกระชับกระบี่ สังหารศัตรูด้วยกระบวนท่าเดียว ในเวลาเดียวกันนั้น นางก็คำรามออกมาว่า “พวกเจ้าเป็นใคร? มาโจมตีสำนักล่าอสูรกุหลาบไฟเพื่ออะไร?”

“นางตัวดี คืนนี้พวกเจ้าต้องลงนรกไปให้หมด”

เสียงแหบต่ำที่คุ้นเคยดังตอบกลับมา

“โจวเฉิง?”

อู๋หงจำเสียงนั้นได้ คิดไม่ถึงเลยว่าผู้นำการโจมตีครั้งนี้ ก็คือโจวเฉิงซึ่งหลบหนีไปได้เมื่อตอนกลางวัน

“เจ้าตายซะเถอะ”

โจวเฉิงระเบิดพลังลมปราณ

ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันดุเดือด

ด้วยระดับพลังที่แตกต่างคนละชั้น อู๋หงจึงไม่ใช่คู่มือของโจวเฉิงตั้งแต่แรก ผ่านไปไม่กี่กระบวนท่า จอมยุทธ์หญิงร่างกำยำก็มีเลือดไหลทะลักออกมาทั่วตัวแล้ว

แต่นางไม่ยอมแพ้

“คนที่สมควรลงนรกคืนนี้ ต้องเป็นพวกเจ้าต่างหาก”

ถึงอู๋หงจะได้รับบาดเจ็บ แต่นางก็ตวัดกระบี่พุ่งเข้าหาโจวเฉิงไม่หยุดยั้ง เปรียบเสมือนช้างตกมันที่เอาอะไรมาฉุด ก็หยุดไม่อยู่อีกแล้ว

แต่การต่อสู้รอบกายบัดนี้ มีสมาชิกของสำนักล่าอสูรกุหลาบไฟ ล้มลงสิ้นใจตายมากขึ้นเรื่อยๆ

อู๋หงดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์

จังหวะนั้น เฟิงซือเหนียงพลิ้วกายเข้ามายืนเผชิญหน้าโจวเฉิง

“พี่หง ท่านรีบพาหลิงเอ๋อร์หนีไป”

ขณะตะโกนเสียงดัง หญิงสาวก็ชักกระบี่ออกมาพัวพันกับโจวเฉิง

“นายหญิงนั่นแหละไป ข้าจะอยู่จัดการพวกมันเอง” อู๋หงกัดฟันพูด น้ำเสียงหนักแน่น “หลิงเอ๋อร์ไม่มีท่าน นางจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร นายหญิงรีบหนีไปเถิด”

ทันใดนั้น เด็กหญิงตัวน้อยก็เดินร้องไห้ด้วยความตื่นกลัวออกมาจากกระโจมที่พักหลังหนึ่ง “ท่านแม่ ท่านป้าหง พวกท่านอยู่ที่ไหน…”

ลูกศิษย์ทั้ง 4 ของสถานศึกษากระบี่ที่สามทนดูอยู่เฉยๆ ต่อไปแทบไม่ไหวแล้ว

แต่ฉู่เหินก็ยังห้ามพวกเขาเช่นเดิม

“อากวง” หลินเป่ยเฉินกระซิบเรียก

อดีตราชันย์หนูอสูรเงยหน้ามองหลินเป่ยเฉิน

“ไปช่วยคน”

หลินเป่ยเฉินออกคำสั่ง

“จี๊ด!”

เจ้าหนูพยักหน้ารับคำ มันขุดดินมุดลงไปด้านล่าง ดำดินเข้าไปช่วยเหลือใจกลางค่ายที่พักของสำนักล่าอสูรกุหลาบไฟ

ก้อนหินปลิวว่อนในอากาศ

กลุ่มผู้บุกรุกหัวร้างข้างแตกไปจำนวนไม่น้อย

ถึงช่วยเหลือได้ก็จริง

แต่ก็ช่วยได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์การต่อสู้ได้อยู่ดี

เยว่หงเซียงทนดูไม่ไหวอีกต่อไป “อาจารย์ฉู่ ให้พวกเราเข้าไปช่วยพวกเขาเถอะนะเจ้าคะ”

ฉู่เหินยังคงเงียบไม่ตอบคำใด

เยว่หงเซียงอธิบายต่อว่า “แค่พวกเราจับกลุ่มกันไว้ก็ปลอดภัยแล้วเจ้าค่ะ อาจารย์ฉู่จะตามไปคุมพวกเราอีกทีก็ได้ แต่เราไม่มีทางลืมเลือนสิ่งที่อาจารย์สอนเด็ดขาด เมื่อพบเห็นผู้อ่อนแอถูกรังแก มือกระบี่ต้องยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ไม่ใช่ว่าพวกเราร้อนวิชาหรืออยากขัดคำสั่งอาจารย์ แต่หากเราไม่ช่วยเหลือพวกเขาในคืนนี้ แล้วในภายภาคหน้า เราจะเรียกตัวเองว่าเป็นมือกระบี่ที่แท้จริงได้อย่างไร”

“ใช่แล้วขอรับอาจารย์ ให้พวกเราเข้าไปช่วยเหลือผู้คนเถอะ”

ฮันปู้ฟู่กำด้ามจับกระบี่แนบแน่น

ไป๋ชินหยุนยกมือขึ้นทุบหน้าอกตัวเองและคำรามว่า “ข้าน้อยก็ทนดูอยู่เฉยๆ ไม่ได้เช่นกัน หลิงเอ๋อร์กำลังตกอยู่ในอันตราย…”

ฉู่เหินลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็พยักหน้า ตอบตกลง “ก็ได้ พวกเราจะเข้าไปช่วยเหลือคน แต่จงจำไว้ว่าอย่าอยู่ห่างข้างกายข้าเด็ดขาด พวกเราไป”

ลูกศิษย์ทั้ง 4 โห่ร้องออกมาด้วยความยินดี

“ลุยโลด”

“ศิษย์น้อง ระวังตัวด้วย”

ฮันปู้ฟู่กับไป๋ชินหยุนพุ่งทะยานนำหน้า

หลินเป่ยเฉินตามติดไปด้านหลัง แขนเสื้อของเขาโบกสะบัดเป็นระยะ

ฟ้าว! ฟ้าว! ฟ้าว!

ชายฉกรรจ์ในชุดดำล้มลงไปสามคน พร้อมกันนั้นก็ต้องส่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

ยิ่งแฝงตัวอยู่ในความมืด อานุภาพของอาวุธลับ ก็ยิ่งมีความอันตรายมากกว่าเดิม

“พวกเจ้าตายซะเถอะ!”

ไป๋ชินหยุนเหวี่ยงดาบใหญ่ในมือไปรอบกายด้วยความโกรธแค้น ทุกชีวิตที่อยู่ในรัศมีคมดาบต่างก็ต้อง ‘กลับบ้านเก่า’ โดยไม่รู้ตัว

ฉัวะ! พรึบ!

ร่างของผู้บุกรุกถูกดาบใหญ่ฟาดฟันลงไปจนแยกขาดออกเป็นสองส่วน

“ตัววายร้ายอย่างพวกเจ้า ต้องลงนรกไปซะ”

ฮันปู้ฟู่เสียบแทงกระบี่ใส่ลำคอของคู่ต่อสู้ด้วยความดุดัน

เยว่หงเซียงลงมือด้วยความเยือกเย็น นางใช้กระบวนท่าที่เรียบง่ายธรรมดา แต่ก็ทำให้ชายฉกรรจ์ชุดดำลอยกระเด็นออกไปจำนวนนับไม่ถ้วน

หลินเป่ยเฉินถือกระบี่โดรานอยู่ในมือขวา ฟาดฟันคู่ต่อสู้ที่อยู่ตรงหน้า ระหว่างนั้นก็ใช้พลังจิตตรวจจับตำแหน่ง และยกแขนซ้ายขึ้นยิงอาวุธลับออกไปจากแขนเสื้อ เพียงเขาคนเดียว ก็ช่วยกอบกู้สถานการณ์ของสำนักล่าอสูรกุหลาบไฟจากหน้ามือเป็นหลังมือแล้ว

“ตรงนั้น” สายตาของเยว่หงเซียงสะดุดเข้ากับหนูน้อยหลิงเอ๋อร์ที่ยืนร้องไห้อยู่ข้างกองไฟกองหนึ่ง “พวกเราเข้าไปช่วยเด็กก่อน”

ฮันปู้ฟู่เป็นหัวหน้ากลุ่ม นำทุกคนฝ่าวงล้อมศัตรูเข้าไปช่วยเหลือหลิงเอ๋อร์

ฉู่เหินตามติดลูกศิษย์ทั้ง 4 คนไปอย่างใกล้ชิด นานๆ ทีก็จะฟันกระบี่สักครั้ง ด้วยระดับพลังของเขา ณ ปัจจุบัน เพียงโคจรพลังลมปราณลงไปที่ตัวกระบี่ ชายฉกรรจ์ชุดดำเหล่านี้ก็อย่าหวังเลยว่าจะอยู่รอด แต่ฉู่เหินก็ไม่ทำเช่นนั้น เขาปล่อยให้ลูกศิษย์ทั้ง 4 ได้ลิ้มรสประสบการณ์ต่อสู้ที่แท้จริง สถานการณ์ในตอนนี้จะสอนให้พวกเขามีสติ คอยรับมือการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

“อาจารย์ฉู่ ระวังตัวด้วย มีบางอย่างผิดปกติ”

จู่ๆ เสียงของพานเว่ยหมินพลันดังขึ้นข้างหูของเขา

ฉู่เหินส่งกระแสจิตตอบรับกลับไปว่า “ยังไม่ต้องพูดก็ได้ ท่านจัดการคู่ต่อสู้ให้เรียบร้อยก่อนเถอะ”

“ข้ายังเอาชนะมันไม่ได้เลยเนี่ย ฝีมือของมันไม่ธรรมดาจริงๆ” พานเว่ยหมินตอบ

ฉู่เหินส่งกระแสจิตกลับไปอีกครั้ง “น่าจะเป็นคนของสมาคมนักล่าอสูร ถ้าเป็นเช่นนั้น ท่านคงรับมือมันได้อีกไม่นานแล้ว”

พานเว่ยหมินส่งกระแสเสียงกลับมาว่า “ข้าถึงได้บอกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ท่านระวังตัวหน่อยก็แล้วกัน”

“รับทราบ”

เสียงของฉู่เหินดังกังวานในห้วงคิด

จังหวะนั้น ลูกศิษย์ของสถานศึกษากระบี่ที่สามทั้งสี่ 4 ก็ไปถึงข้างตัวเด็กหญิงหลิงเอ๋อร์เรียบร้อยแล้ว

“น้องสาวจ๋า พี่มาช่วยแล้ว” ไป๋ชินหยุนอ้าแขนกว้างวิ่งเข้าไปหา

“พี่ชาย…”

เมื่อเด็กหญิงมองเห็นหลินเป่ยเฉิน คนอื่นๆ ก็ไม่อยู่ในสายตาของนางอีกต่อไป หลิงเอ๋อร์วิ่งผ่านหน้าไป๋ชินหยุนและกระโดดเข้ามาสวมกอดหลินเป่ยเฉินแนบแน่น

ไป๋ชินหยุนเหลียวหน้ามองตาขวาง อ้าปากค้างไม่อยากจะเชื่อ

หลินเป่ยเฉินอุ้มเด็กหญิงขึ้นมากอดในอ้อมอก

“ที่นี่คงต้านไม่อยู่แล้ว” เขาพูด หันไปมองทางเฟิงซือเหนียง “เจ้าสำนักเฟิง ข้าว่ารีบถอนกำลัง…”

พลัน เสียงของเด็กหนุ่มชะงักหายกลางคัน

หน้าอกรู้สึกเย็นวาบ

ความอ่อนล้าถาโถมรุนแรง

ร่างกายของเขาเหมือนลูกโป่งที่ถูกปล่อยลม

หลินเป่ยเฉินก้มหน้ามองตามสัญชาตญาณ

แล้วสิ่งที่เด็กหนุ่มได้เห็นก็คือ ในมือของหลิงเอ๋อร์กำลังถือมีดสั้นอยู่เล่มหนึ่ง และนางใช้มีดสั้นเล่มนั้นแทงสวบใส่หน้าอกของเขาจนมิดด้าม