ตอนที่ 95.1 ทำความรู้จักซึ่งกันและกัน (1)

ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน

ตอนที่ 95 ทำความรู้จักซึ่งกันและกัน (1)

สนามฝึกหมายเลขหนึ่ง

พวกนักศึกษาจับกลุ่มอยู่กันสองสามคน คนที่มาคนเดียว ส่วนมากจะเป็นนักศึกษาจากโซนหนึ่ง

โซนหอพักอื่นๆ โซนสี่ก็จับกลุ่มสี่คน โซนสามจับกลุ่มกันสามคน

ฟางผิงเดินพร้อมสำรวจไปพลาง ผ่านไปพักใหญ่คล้ายจะนึกอะไรได้ “แล้วพวกผู้หญิงจัดการยังไง?”

โซนหอพักนักศึกษาใหม่ มีแค่สี่โซน แล้วพวกนักศึกษาหญิงไปอยู่ที่ไหนกัน?

ฟู่ชางติ่งเอ่ยอย่างแปลกใจ “นายไม่เห็น?”

“อะไร?”

“โซนหนึ่งก็มีผู้หญิง!”

ฟู่ชางติ่งเอ่ยด้วยความอึ้ง “สายตานายนี่มันอะไรกัน? หรือจะบอกว่าผู้หญิงพวกนั้นหน้าตาเหมือนผู้ชายเกินไป?”

“โซนสอง โซนสาม โซนสี่มีผู้หญิงพักด้วยกัน ส่วนโซนหนึ่งนั้นพักคนเดียว มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ไม่แบ่งหอพักหญิงชาย อย่างแรกคือคนน้อย อีกอย่างคือผู้ฝึกยุทธ์ไม่ใส่ใจกับเรื่องเล็กน้อย บางภารกิจชายและหญิงต้องออกปฏิบัติร่วมกัน ปกติต้องปรึกษาหารือ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ฝึกวิชาอยู่แล้ว จัดให้อยู่ด้วยกันจะสะดวกกว่า”

ฟางผิงตกใจ “อย่างนี้นี่เอง? ฉันไม่ทันสังเกตจริงๆ!”

“คำพูดนี้ถ้าพวกผู้หญิงโซนหนึ่งได้ยินเข้า คงจะตามมาฆ่านายแน่”

ฟู่ชางติ่งทำหน้าหมดคำพูด ตอนที่เดินลงตึกมา เขาเห็นผู้หญิงอยู่เต็มตา ฟางผิงกลับมองไม่ออกซะงั้น

แม้ผู้หญิงที่เจอจะหน้าตาธรรมดา แต่ทุกคนต่างรู้ดีแก่ใจอยู่แล้ว ทำไมฟางผิงตาถั่วถึงขนาดนี้

ฟางผิงยิ้มเจื่อนอยู่บ้าง ตะกี้เขาไม่ทันสังเกตจริงๆ

ประเด็นคือโซนหนึ่งมีผู้หญิงน้อยเกินไป รวมทั้งรีบลงมาจากตึก เขาเลยไม่ได้สนใจเรื่องนี้

รอจนลงมาชั้นล่างเห็นผู้หญิง เขาก็คิดว่าอีกฝ่ายไม่ได้พักอยู่ที่โซนหนึ่งอีก

มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ไม่สนใจเรื่องเล็กน้อย จัดให้ผู้หญิงอยู่รวมกับผู้ชายซะงั้น!

หนุ่มสาวรุ่นนี้ฮอร์โมนพลุ่งพล่านง่าย อยู่ด้วยกันแบบนี้จะไว้ใจได้เหรอ?

ตอนที่ฟางผิงคิดเรื่องนี้ ฟู่ชางติ่งเหมือนจะคาดเดาได้ เอ่ยพลางหัวเราะ “ถือเป็นการทดสอบอย่างหนึ่งด้วยละมั้ง”

“อะไรนะ?”

“ทดสอบความมีสติ ผู้ฝึกยุทธ์ต้องอดทนต่อความโดดเดี่ยวได้ นายเองก็เคยฝึกวิชามาก่อน น่าจะเข้าใจดี เวลาของพวกเราค่อนข้างเร่งรัด หลอมกระดูก จวงกง เคล็ดต่อสู้ รวมทั้งวิชาวัฒนธรรม แม้วิชาวัฒนธรรมจะสอบเหมือนกับมหาวิทยาลัยทั่วไป แต่ยังคงมีวิชาเฉพาะของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ด้วย แทบไม่ต้องคิดก็รู้ว่าพวกเรายุ่งกันขนาดไหน เวลาแบบนี้นายยังจะมีใจมาคิดเรื่องความรักหรือไง? หากมัวมาเสียเวลาเรื่องนี้ ในอนาคตข้างหน้า นายคงไม่พ้นล้าหลังกว่าคนอื่น หรือคิดว่ามีแฟนแล้วจะมีแรงผลักดัน? นายเสียเวลาส่วนใหญ่ไป ทั้งคนอื่นยังไม่ได้ด้อยกว่านาย ตอนที่นายพัก คนอื่นกำลังขยันบากบั่น นานวันเข้านายคงตกไปอยู่ท้ายแถว”

ฟางผิงเอ่ยหยอกว่า “แม้มหาวิทยาลัยจะถือว่าเป็นการทดสอบ แต่ก็ควรจัดนักศึกษาหญิงหน้าตาดีมาหน่อยสิ? ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ ฉันจะไปมีความรู้สึกอย่างนั้นได้ยังไง”

“ยอมนายจริงๆ ใจกล้าแท้!”

ส่วนมากผู้หญิงจากโซนหนึ่งเป็นผู้ฝึกยุทธ์ทั้งนั้น หญิงสาวที่ฝึกวิชาจนเป็นผู้ฝึกยุทธ์ได้นั้นต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจมากกว่าผู้ชายอยู่แล้ว

หญิงสาวพวกนี้ไม่ได้บอบบางอ่อนโยนเหมือนลูกคุณหนู หากฟางผิงกล้าหยอกเล่นแบบนี้ต่อหน้าพวกเธอ เจอคนเก่งๆ เข้า อาจจะถูกอัดจนหน้าช้ำเลยด้วยซ้ำ

ฟู่ชางติ่งครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยอย่างเห็นด้วย “ก็ถูกของนาย ไม่แปลกใจที่มหาวิทยาลัยจะไว้ใจพวกเราเรื่องผู้หญิง แต่ฉันจำได้ว่าฉันรู้จักหญิงสาวที่มีพรสวรรค์ทั้งหน้าตาสะสวยไม่น้อย ครั้งนี้ทำไมไม่โผล่มาให้เห็นสักคนเลยล่ะ?”

ผู้ฝึกยุทธ์หญิง ฐานะทางบ้านไม่ธรรมดากันทั้งนั้น ตั้งแต่เด็กมีความเป็นอยู่ที่ดี บำรุงตัวเองอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

ไม่แปลกอยู่แล้วที่ตระกูลร่ำรวยจะมีลูกหลานหน้าตาดี

สาวงามนั้นมีเรื่องฐานะมาเกี่ยวข้อง ทั้งสภาพแวดล้อมภายหลังก็มีส่วนเกี่ยวเช่นกัน

แม้ตอนกำเนิดสาวงามจะหน้าตาดียังไง แต่ถ้าใช้ชีวิตอย่างแร้นแค้น ผิวพรรณหยาบกร้าน ตากแดดจนดำคล้ำ มีสิวเม็ดเล็กๆ ไม่รู้จักจัดการ พอนานวันเข้า สาวงามย่อมกลายเป็นคนขี้เหร่

แต่คนที่อยู่ในตระกูลร่ำรวยกลับไม่เหมือนกัน บุคลิก การมองโลก การแต่งกาย อาหารการกิน…ของพวกนี้ส่งผลกระทบทั้งสิ้น

ขอแค่พอมีพื้นฐานอยู่บ้าง ปกติคงไม่อาจหน้าตาน่าเกลียดได้ นอกเสียจากจะขี้ริ้วขี้เหร่จริงๆ

และตระกูลที่ร่ำรวย เพื่อเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมให้ดีขึ้น ตอนแต่งงานก็จะแต่งกับคนสวย เมื่อสืบทอดต่อมาหลายรุ่น พันธุกรรมจะเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น

ฟางผิงนั้นไม่แสดงท่าทีอะไรกับคำพูดของฟู่ชางติ่ง

ก่อนหน้านี้หมอนี้ทำท่าราวกับร้อนใจ เหมือนคนเคยเห็นสาวงามมาก่อนที่ไหนกัน?

ระหว่างที่สองคนคุยเล่นกัน เวลาค่อยล่วงเลยมาถึงสามโมง

บนเวที จู่ๆ ก็มีชายวัยกลางคนหน้าเหลี่ยมคนหนึ่งตะโกนขึ้นมาว่า “เข้าแถว!”

ในสนามมีแต่นักศึกษาทั้งหมด ไม่มีอาจารย์สักคน ทั้งไม่มีรุ่นพี่ปีสูงมาจัดแถวให้ด้วย

เมื่อชายคนนั้นตะโกนว่าเข้าแถว ทุกคนจึงสับสนเป็นอันดับแรก ก่อนจะค่อยๆ ทยอยต่อแถวกัน

แถวนั้นขาดๆ หายๆ นักศึกษาบางคนยังคงยืนคุยเล่นกันนอกแถว

ไม่มีใครตำหนิ ไม่มีใครลงมาจัดแถวให้เช่นกัน

หลังจากนั้นสามนาที

ชายหน้าเหลี่ยมตะโกนอีกครั้ง “เวลารวมตัวสิ้นสุดแล้ว คนที่มาสาย คนที่อยู่นอกแถว หักยี่สิบคะแนน!”

คล้อยหลังจากเสียง ‘ปิดประตู’ ประตูตาข่ายเหล็กของสนามก็ถูกนักศึกษาที่สวมชุดฝึกดันประตูปิดอย่างรวดเร็ว ส่วนนักศึกษาที่ยังอยู่นอกแถว ต่างรีบทยอยวิ่งเข้าในแถว

เวลานี้ชายหน้าเหลี่ยมตะเบ็งเสียงแข็ง “ยืนอยู่ที่เดิมให้หมด!”

สิ้นเสียงดังกร้าวนั้น ตามมาด้วยแรงกดดันปราณที่ทรงพลังจนทำให้คนถึงขั้นลืมหายใจ

โรงฝึกหมายเลขหนึ่งมีขนาดกว้าง กว้างจนถึงขั้นแม้จะมีคนอยู่นับพัน ก็ยังถือว่าเป็นส่วนเล็กๆ ในสถานที่นั้นอยู่ดี

ชายคนนั้นยืนอยู่บนเวที ห่างจากพวกเขาสิบกว่าเมตรเป็นอย่างต่ำ แถวข้างหลังน่าจะห่างเขาเป็นร้อยเมตรด้วยซ้ำ

แม้จะเป็นแบบนี้ ปราณของอีกฝ่ายที่ระเบิดออกมา กลับคล้ายจะโอบล้อมครอบคลุมไปทั่วทั้งสนาม

นักศึกษาไม่กล้าขยับเขยื้อนสักคน คล้ายว่าหากพวกเขาเคลื่อนไหว ร่างกายก็จะแหลกเป็นผุยผง

“แข็งแกร่งชะมัด!”

ท่ามกลางผู้คนมากมาย ฟางผิงลอบสะท้านในใจ นี่มันพลังอะไรกัน?

เขาเคยเห็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามมาก่อน ระเบิดปราณส่งผลกระทบระยะสิบเมตรนั้นถือว่าดีมากแล้ว

ผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ในความคิดของฟางผิง สามารถส่งผลในระยะห้าสิบเมตรก็แข็งแกร่งมากแล้ว

ในที่นี้พูดถึงการส่งผลกระทบที่ทำให้คุณรับรู้ถึงการระเบิดปราณเท่านั้น

แต่การสร้างแรงกดดันควบคุมนักศึกษานับพันในครั้งเดียว นับว่าแข็งแกร่งเกินกว่าจะจินตนาการได้ซะอีก!

ฟางผิงถึงขั้นจินตนาการได้ว่า ผู้ฝึกยุทธ์แบบนี้คงจะเผชิญหน้ากับกองทัพของคนธรรมดาได้สบายๆ

แค่แรงกดดันปราณ ก็สามารถทำให้คนจำนวนมากสูญเสียพลังต่อสู้ ไม่กล้าขยับอย่างสิ้นเชิง

“นักศึกษาทุกคน ฉันขอแนะนำตัวหน่อย ฉันชื่อหวงจิ่ง คณบดีสาขายุทโธปกรณ์!”

ชายหน้าเหลี่ยมไม่ต้องใช้โทรโข่ง ทั้งไม่ต้องพูดสั้นกระชับ กลับทำให้ทุกคนได้ยินอย่างทั่วกัน

“วันนี้อธิการบดีไม่อยู่ รองอธิการทั้งสองติดภารกิจเช่นกัน ฉันจึงได้มาเป็นประธานในพิธีรับนักศึกษาใหม่!”

ฟางผิงเข้าใจความนัยของคำพูดนี้ ในมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ นอกจากอธิการบดีทั้งสาม ตำแหน่งที่สูงสุดรองลงมาอาจจะเป็นคณบดีสาขายุทโธปกรณ์คนนี้ ทั้งอาจรวมถึงด้านพลังด้วย หวังจินหยางบอกว่า มหาวิทยาลัยแห่งนี้มีปรมาจารย์ทั้งหมดสี่คน หรือคณบดีของสาขายุทโธปกรณ์คนนี้ จะเป็นหนึ่งในสี่คนนั้นด้วย?

ตามความเข้าใจของฟางผิง สาขายุทโธปกรณ์คงจะเป็นสาขาที่สำคัญที่สุดในมหาวิทยาลัยแล้ว

“เข้ามาเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ เรื่องแรกที่ฉันอยากจะสอนทุกคนคือต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบ! รวมตัวสามโมง เมื่อสามโมงแล้ว จะมาต่อรองไม่ได้! คนที่มาไม่ถึง คนที่มาสาย คนที่ไม่เข้าแถวตามคำสั่ง ต้องถูกหักทั้งหมดยี่สิบคะแนน!”

———————