ตอนที่ 13 หากเราเป็นคนรวย เราก็จะไม่จำเป็นต้องกังวลในทุกสิ่งทุกอย่าง

เกิดใหม่เป็นสาวน้อยชนบท [特工狂妃:农妇山权有点田

บทที่ 13 หากเราเป็นคนรวย เราก็จะไม่จำเป็นต้องกังวลในทุกสิ่งทุกอย่าง

“โอ๊ย! นี่มันเกิดอะไรขึ้นอีก! ข้าโมโหแล้วนะ!” ซูหวานหว่านโกรธมากที่เห็นชายชราด้านหลังหน้าต่างโยนตราไม้ของนางทิ้ง หญิงสาวเอื้อมมือไปเก็บตราไม้พร้อมกับหยิบก้อนหินก้อนเล็ก ๆ ขึ้นมาด้วยพร้อมปาใส่หน้าต่างอย่างอารมณ์เสีย

คนในชุดผ้าไหมน้ำเงินเขียวด้านในรู้สึกตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น หนวดเคราของเขาปลิวไสวตามสายลม “ไอ้เฒ่าฮวง เจ้ากล้าทำเช่นนี้งั้นรึ!”

ชายชราเปิดหน้าต่างออกมาพร้อมสบถใส่ แต่ก็พบว่าด้านหน้าของตนกลับกลายเป็นหญิงสาวคนหนึ่งเท่านั้น “…เหตุใดถึงกลายเป็นแม่นางได้ แล้วไอ้เฒ่าฮวงไปไหน?” คนหลังหน้าต่างถามอย่างเก้อเขิน

“ตาเฒ่าฮวงอะไรกัน! เขาเป็นคนมอบตราไม้ให้แก่ข้า! อีกทั้งยังบอกอีกว่ามีเงินอยู่ประมาณ 2,000 ตำลึงเงิน!” ซูหวานหว่านถลึงตามองอีกฝ่าย ทว่าชายแก่กับเพียงมองหญิงสาวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยคำถามราวกับไม่ได้ฟังในสิ่งที่หญิงสาวพูดเมื่อครู่ เขาเกาที่ลำคอของตนก่อนจับไปที่หูพร้อมทำท่าเงี่ยหูฟัง “ห๊ะ!! เจ้าว่าอะไรนะ พูดให้มันดัง ๆ หน่อย!”

ดูท่าชายชราคนนี้คงจะหูตึง… เช่นนี้แล้วเขามาทำงานที่ร้านแลกตั๋วเงินได้อย่างไรกัน? สุดท้ายแล้วซูหวานหว่านก็ย้ำเรื่องตราไม้อีกครั้งจนชายชราเข้าใจในสิ่งที่นางจะสื่อ เขามองไปที่ตราไม้ด้วยสีหน้ารังเกียจพร้อมตอบกลับหญิงสาวไปด้วยใบหน้าถมึงทึง

“ไอ้เฒ่าฮวงไม่มีเงินแม้แต่เหรียญเดียว หากเจ้านั่นกล้ามาเหยียบที่นี่ข้าก็จะไล่ตะเพิดไป ต่อให้จะกี่รอบต่อกี่รอบก็ตาม! เฮอะ…ไอ้แก่โง่ยังกล้ายกตราไม้ให้กับเจ้าอีกรึ ช่างเลอะเลือนไร้ประโยชน์เสียจริง!”

ชายชราร่ายยาวจนจบก็ปิดหน้าต่างบานเล็กลง ส่วนซูหวานหว่านก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา นางใช้สายตาจ้องมองตราไม้โดยไม่รู้จะกล่าวคำใด ในใจของหญิงสาวนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกหลายอย่างผสมปนเปกันไปหมด

เฮ้อ ตอนแรกก็หลงคิดว่าตัวเองจะได้เป็นเศรษฐี สุดท้ายก็เป็นแค่ยาจกเหมือนเดิม…

ซูหวานหว่านคิดแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าเบา ๆ อย่างปลงตก นางเงยหน้ามองไปบนท้องฟ้า ไม่อยากจะยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นเลยสักนิด ทว่าอย่างไรก็ต้องยอมรับมัน หญิงสาวตัดสินใจจะกลับไปทวงเงินกับตาเฒ่าฮวงอีกครั้ง แต่เมื่อนางหันหลังกลับไป หน้าต่างบานเล็กนั่นก็พลันถูกเปิดออกอีกครั้ง พร้อมกับคำเตือนของชายชราที่อยู่ด้านในที่ดังขึ้น “นังหนู! อย่าไปเชื่อในสิ่งที่ไอ้เฒ่าฮวงนั่นพูดเด็ดขาด และอย่าไปขายยาหรือสมุนไพรอะไรให้เขาเชียว เขาไม่ได้มีเงินอย่างที่เจ้าคิดหรอก …ไม่มีสักเหรียญ!”

‘เฮ้อ…’

หญิงสาวกำลังถอนหายใจอีกครั้ง พลันใดก็ได้กลิ่นใบป๋อเหอโชยเข้าจมูก

ซูหวานหว่านใช้มือโบกพัดหน้าจมูกของนางเพื่อเป็นการไล่กลิ่นที่โชยมาตามลม หญิงสาวพยายามมองหาที่มาของกลิ่น จึงได้พบกับตาเฒ่าฮวง!! ชายชราหันมายิ้มให้หญิงสาวด้วยท่าทีที่ไม่มั่นใจ “แม่นาง ฤดูร้อนแถวนี้ยุงเยอะนัก เราใช้ใบป๋อเหอไล่ยุงได้”

เขายังกล้าตีหน้าซื่อใส่นางอีกงั้นหรือ? หญิงสาวปรี่เข้าไปหาตาเฒ่าและกระชากคอเสื้อเขาอย่างแรงด้วยความโมโห “ข้าไม่ต้องการคำแนะนำจากตาแก่อย่างท่าน! ข้าว่าท่านจ่ายเงินค่าโสมมาให้ข้าเสียดีกว่า!”

“ได้! ได้สิ! ข้าจ่ายแน่!” พ่อเฒ่าฮวงหัวเราะและใช้มือเคาะไปยังหน้าต่างบานเล็ก “ตาเฒ่าหนวดขาว ข้าจะมาฝากเงิน รีบเปิดเร็วเข้า!”

ตาเฒ่าหนวดขาวได้ยินน้ำเสียงคุ้นเคยจึงเปิดหน้าต่างบานเล็กออกมาดู

“เจ้าเนี่ยนะจะมาฝากเงิน คนอย่างเจ้ามีเงินกับเขาด้วยเหรอ!”

ตาเฒ่าฮวงโยนถุงผ้าให้อีกฝ่าย ชายชราหนวดขาวรับถุงผ้านั้นมา จากนั้นก็เทเงินในถุงออกมานับอย่างขัดใจ เมื่อนับเสร็จเขาก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงกระแทกกระทั้น “ทั้งหมด 10,000 ตำลึงเงิน เสร็จแล้วก็รีบไสหัวไปซะสิ!”

ความสัมพันธ์ของทั้งสองนี่มันยังไงกัน? สายตาที่ใช้มองกันคล้ายกับเป็นอริที่เกลียดกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน แต่ก็ดูเหมือนเพื่อนสนิทมิตรเก่าแก่ ทว่านางจะไปสนใจความสัมพันธ์ของชายชราคู่นี้ไปทำไม! …สิ่งที่นางต้องสนใจคือเงินต่างหาก ดังนั้นซูหวานหว่านจึงเอ่ยขอเงินในส่วนของตนมา จากนั้นหญิงสาวก็เอ่ยลาทั้งคู่ก่อนจะรีบวิ่งออกมาจากตรงนั้น

ซูหวานหว่านวิ่งมาถึงที่ร้านอาหารก็เห็นผู้เป็นแม่กำลังชะเง้อคอมองหาอย่างตื่นตระหนก จากนั้นเมื่อเห็นนางกลับมาก็ตำหนิเสียยกใหญ่ก่อนจะชักชวนกันกลับบ้าน ทว่าหญิงสาวยังไม่อยากกลับ นางยังมีสิ่งของหลายอย่างที่ยังไม่ได้ซื้อ แต่ซูหวานหว่านยังบอกกับแม่ไม่ได้ว่านางมีเงินมากมายเพียงใดเพราะมันอาจมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้น จึงขอให้ท่านแม่ใช้เงินที่ได้มาจากการขายปิ่นปักผมซื้อของไปก่อน นางซื้อข้าว 10 ชั่ง เส้นบะหมี่แห้ง 2 ชั่ง น้ำตาลทรายแดงครึ่งชั่ง

…การซื้อของที่มากมายเช่นนี้ทำให้แม่เจิ้นกำเงินเอาไว้แน่น “ข้าไม่มีเงินเหลือแล้ว เราไม่สามารถซื้ออะไรได้แล้ว” แม่เจิ้นพูดกับลูกสาวเสียงแข็ง

ทว่ากลิ่นขนมหอม ๆ ที่ลอยโชยมาตามลมก็ทำให้นางนึกถึงบางอย่างออก เนื้อสัตว์… อย่างน้อยก็ควรซื้อเนื้อสัตว์บ้าง อย่างไรเสียน้องชายและน้องสาวของนางก็ยังต้องกินเนื้อเพื่อให้ร่างกายเจริญเติบโต ซูหวานหว่านหันไปบอกสิ่งที่ต้องการกับผู้เป็นแม่ ซึ่งแม่เจิ้นเองก็เห็นด้วยว่าควรซื้อเนื้อไปให้ลูก ๆ บ้าง

“ถือดี ๆ นะขอรับฮูหยิน นี่คือเนื้อหมูติดมันชั้นดีจากร้านของเรา! ฮูหยินต้องการรับอะไรเพิ่มอีกหรือไม่?” พ่อค้าร้านขายเนื้อ นำเนื้อสะอาดชั้นดีมาห่อพร้อมยื่นให้กับแม่เจิ้นอย่างเป็นมิตร

“ไม่ล่ะ ไม่ดีกว่า” แม่เจิ้นปฏิเสธ พลางรับเนื้อหมูจากพ่อค้าก่อนจะนำมาใส่ถุงผ้าที่ถืออยู่ ทว่าเมื่อแม่เจิ้นหันหลังกลับไปหาลูกสาว นางกลับพบว่าลูกสาวของตัวเองได้หายไปอีกแล้ว…

ด้านซูหวานหว่านที่แอบหลบแม่ของตนออกมาเดินอยู่บนถนนที่มีร้านขายเสื้อผ้า เครื่องประดับเต็มสองข้างทาง นางมองไปตามร้านต่าง ๆ ด้วยสายตาลุกวาว เสื้อผ้าหลากหลายแบบ หลากหลายสีสัน วางเรียงรายกันอย่างสวยงาม ซูหวานหว่านตะลึงกับภาพตรงหน้า ถึงแม้ว่านี่จะเป็นยุคโบราณทว่ารูปแบบของเสื้อผ้าดูไม่เลวเลยทีเดียว

ขณะที่ซูหวานหว่านกำลังเดินชื่นชมความงามของเสื้อผ้าอาภรณ์ต่าง ๆ พลันเหลือบไปเห็นผ้าผืนหนึ่งที่มีลายปักของทิวทัศน์อันสวยงามเสมือนของจริง และเมื่อเข้าไปใกล้ลวดลายบนผ้าก็ปรากฏชัดแก่สายตาของนาง ผ้าผืนนี้ปักด้วยลายของทิวทัศน์บนภูเขา หากเพ่งมองให้ดีจะเห็นผู้คนปรากฏบนอยู่ผืนผ้าด้วย มีผู้หญิงกำลังซักเสื้อผ้าอยู่ที่ริมน้ำ มีเด็กหญิงผมเปียกำลังวิ่งเล่นอยู่ เป็นงานปักที่ประณีตและสวยงามที่สุดเท่าท่านางเคยเห็นมาเลย

หากได้สวมใส่ผ้าผืนนี้บนร่างกายก็คงจะทำให้ผู้ที่สวมใส่ดูสง่างามมากทีเดียว

ซูหวานหว่านอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปสัมผัสสิ่งสวยงามตรงหน้า ทว่าก็ต้องชะงักมือเสียก่อนเพราะเสียงตำหนิดังขึ้นมาจากด้านในร้าน “นี่เจ้าจะทำอะไรน่ะ? ข้าจะบอกให้นะว่ามูลค่าของพวกนี้มันแพงมาก มันถูกถักทอขึ้นมาอย่างประณีตด้วยฝีมือของเจ้าของร้านแห่งนี้ เจ้าอย่าแม้แต่จะทำให้มันแปดเปื้อน!”

คนในเมืองนี่ท่าจะมีแต่ปากสุนัขจริง ๆ นั่นแหละ นางเปรยตามองเจ้าของเสียงก่อนจะวางมือของตนลงบนผืนผ้าอย่างจงใจ เมื่อเจ้าของเสียงเห็นนางวางมือลงจึงเดินตรงมาหานางด้วยท่าทางเอาเรื่อง

“นี่เจ้าไม่มีหูหรือยังไง! หรือว่าเจ้าฟังภาษาคนไม่เข้าใจ?”

“ข้าน่ะมีหู หากข้าเพียงไม่เข้าใจภาษาสัตว์ อย่างเช่น…ข้าไม่เข้าใจที่เจ้าพูด” ซูหวานหว่านพูดพลางมองไปที่บุคคลคนนั้นด้วยแววตาเฉยชา

“หากเจ้ามีหูแล้วเช่นใด…” จู่ ๆ ชายหนุ่มคนนั้นก็หยุดพูดกะทันหัน ราวกับเพิ่งเข้าใจสิ่งที่ซูหวานหว่านพูดไปเมื่อครู่ “เดี๋ยวนะ…เมื่อกี้เจ้าด่าว่าข้าเป็นสัตว์รึ!”

“ยังมีหน้ามาถามอีก ใครกันจะเป็นสัตว์หากไม่ใช่เจ้า เพราะตรงนี้ก็มีแค่เจ้า” ซูหวานหว่านพูดพร้อมกับค่อย ๆ ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อและหยิบตราไม้ออกมาอย่างใจเย็น ตราไม้ไม่ได้เป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกฐานะแต่อย่างใด ทว่าเป็นตัวแทนของความมั่งคั่งต่างหาก!

แน่นอนว่าหลังจากที่ได้เห็นตราไม้ในมือของหญิงสาว สีหน้าท่าทางของเขาแปรเปลี่ยนไปทันที “โอ้ว แม่นางลองเข้ามาเดินชมในร้านก่อนเถิด ผ้าของร้านเราคุณภาพดีมากเลยนะขอรับ!”

“เหอะ จะดีสักแค่ไหนเชียว?” ซูหวานหว่านเบ้ปากพูด ทว่าก็ยอมเดินเข้าไปชมเสียหน่อย นางเดินเข้าไปในร้านตามคำเชิญของเขาอย่างวางมาด “…ชุดนี้ก็ไม่เลวนะ”

“…แม่นางตาถึงมาก ชุดนี้ของร้านเรายังมีเหลืออยู่อีก” ลูกน้องร้านเสื้อผ้าต้อนรับยิ้มอย่างดีใจ

“งั้นหรือ? งั้นห่อมาให้หมด” นางยกไม้ยกมือชี้ชุดนั่นทีชุดนี้ที “ไม่เอาชุดนี้ เอาชุดนี้ดีกว่า!”

“ได้ขอรับ ได้!” ชายหนุ่มยิ้มอย่างดีใจ เนื่องจากเสื้อผ้าตัวนั้นมีมูลค่าสูง หากว่าเขาสามารถขายตัวนั้นได้ เขาก็จะได้รางวัลเป็นเงิน 1 – 2 ตำลึงเงินเลยทีเดียว!

ซูหวานหว่านสั่งซื้อเสื้อผ้าหลายต่อหลายตัว เมื่อนางก้าวออกจากประตู หญิงสาวก็พลันหันกลับมาชี้เสื้อผ้าชุดหนึ่งที่ดูจะเป็นชุดผ้าฝ้ายธรรมดา “เอาของพวกนั้นไปเก็บให้หมดเลย ข้าว่าเข้าเอาชุดนี้ดีกว่า มันดูเรียบง่ายเข้ากับข้าดี”

ชายหนุ่มนิ่งอึ้งเนื่องจากนางเลือกเสื้อผ้าที่ราคาถูกที่สุดในร้านแทนเสียอย่างงั้น!

เขาช่วยนางเลือกเสื้อผ้าเสียมากมาย จากนั้นนางก็ไม่ต้องการและเปลี่ยนไปซื้อชุดที่ถูกที่สุดภายในร้านแทน

ชายหนุ่มต้องการเข้าไปเกลี้ยกล่อมนาง ทว่าพอเห็นตราไม้นั้นก็มิกล้าเอ่ยอันใดออกมา

หลังจากที่เลือกซื้อเสื้อผ้าจากร้านนี้ไปเรียบร้อยแล้ว ซูหวานหว่านจึงวิ่งต่อไปยังร้านเสื้อผ้าเล็ก ๆ เพื่อซื้อเสื้อผ้าเพิ่มเติมก่อนที่จะกลับไปหาแม่ของตน

เมื่อซูหวานหว่านกลับมาก็ทำให้แม่เจิ้นตกใจกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า เสื้อผ้ามากมายขนาดนี้ ถึงแม้จะดูธรรมดาแต่ย่อมต้องใช้เงินไม่น้อย หากเป็นนาง นางคงไม่กล้าใช้เงินซื้อเสื้อผ้าพวกนี้แน่!

แม่เจิ้นตั้งใจจะตำหนิลูกสาวของตัวเอง ทว่าเมื่อเหลือบมองไปยังรอยปะรอยเย็บต่าง ๆ บนเสื้อผ้าที่ลูกสาวสวมใส่อยู่จึงเงียบลง นางพูดอะไรไม่ออกและตัดสินใจจะไม่ดุลูกสาวในเรื่องนี้ ความรู้สึกผิดก่อตัวขึ้นในหัวใจ หากตนเองเข้มแข็งมากกว่านี้ตั้งแต่แรก ชีวิตของลูก ๆ คงไม่เป็นแบบนี้!

สองแม่ลูกกลับมายังที่จอดเกวียนวัวอีกครั้ง และพบว่ามีคนนั่งอยู่บนเกวียนนั้นเพียงไม่กี่คน ฮวงอี๋ฮวนก็เป็นหนึ่งในคนที่นั่งอยู่บนเกวียนด้วย สภาพของอี๋ฮวนไม่ได้ผิดแปลกไปจากเมื่อเช้าเท่าไหร่นัก เว้นก็แต่… มีบางอย่างผิดสังเกตไป ‘บางอย่าง’ ที่ค่อนข้างสะดุดตา

บางอย่างที่ว่านั่นก็คือดอกไม้มากมายหลากหลายสีที่อยู่ในอ้อมกอดนาง หากจะให้ซูหวานหว่านอธิบายว่ามันแปลกยังไงล่ะก็

ดอกไม้สีสดหลากหลายสีสันรายล้อมตัวนาง ซูหวานหว่านนึกว่านางยกสวนทั้งสวนติดตัวมาด้วยเสียอีก

“โอ้ว! นั่นซูหวานหว่านนิ ข้าอยากจะรู้เหลือเกินว่าเจ้าซื้ออะไรมาบ้าง!” ฮวงอี๋ฮวนจีบปากจีบคอพูดเยาะเย้ยพลางหยิบดอกไม้สีแดงสดออกมาจากก่อนจะนำมาประดับบนผมของตัวเอง นางลูบดอกไม้ที่อยู่บนผมสองสามทีก่อนจะจีบปากจีบคอพูดต่อ “หากเจ้าขอร้องข้าดี ๆ ล่ะก็ ข้าจะยอมให้ดอกไม้เจ้าสักหนึ่งดอก แต่ต้องทำใจหน่อยนะเพราะถึงแม้เจ้าจะนำดอกไม้นี่ไปทัดผม เจ้าคงไม่งามเหมือนข้าหรอก!”