บทที่ 32 ตาต่อตา ฟันต่อฟัน กลิ่นน้ำส้มลอยฟุ้ง (2) Ink Stone_Romance
หลังจากทั้งสองคนลงจากรถม้า จึงเปลี่ยนขึ้นนั่งเกี้ยวเพื่อเข้าสู่วังหลวง
ด้วยเหตุที่สตรีที่เข้าวังหลวงในวันนี้มีจำนวนมาก เกี้ยวที่นั่งจึงแยกกันอย่างรวดเร็ว เมื่อเกี้ยวมาถึงหน้าตำหนักหลักของหลัวฮองเฮานั้น หลัวซืออวี่ลงจากรถม้าก็มองไม่เห็นหลัวอวี่ก่วน
ฉวยโอกาสที่คนยังมาไม่ครบ รอบด้านยังไม่หนาแน่นด้วยผู้คน เยียนเอ๋อร์ที่อดกลั้นมาตลอดทางก็เอ่ยออกมาอย่างทนไม่ไหวว่า “คุณหนู ท่านอย่าได้หลงเชื่อคำพูดเหลวไหลของคุณหนูสามนะเจ้าคะ นางไม่ยินยอมอันใดกัน นี่ต้องการหลอกหลวงท่านชัดๆ”
หลัวซืออวี่หัวเราะอย่างอารมณ์ดี ได้แต่มองท่าทางโกรธขึ้งของสาวใช้ด้วยหางตา ยกมือขึ้นดีดหน้าผากนางหนึ่งครั้ง “เจ้าคิดว่าคุณหนูของเจ้าเป็นคนเขลาหรือไร? คิดจะใช้ข้าเป็นหอก? นางยังไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ”
เยียนเอ๋อร์เม้มปาก สุดท้ายก็ยังพูดความในใจออกมา “ยามนี้ท่านกุมความลับของนางไว้ในมือแล้ว เหตุไฉนจึงไม่บอกใต้เท้าหลัวและฮูหยินเล่าเจ้าคะ จะได้…”
หลัวซืออวี่เก็บรอยยิ้มลงทันทีและใช้สายตาตักเตือนถลึงใส่นาง “อย่าพูดจาเหลวไหล”
เยียนเอ๋อร์กัดลิ้นตัวเองไว้ ยังคงมีความไม่ยินยอมอยู่บ้าง
สายตาของหลัวซืออวี่กวาดมองออกไปไกลๆ ริมฝีปากนางโค้งขึ้นปรากฏให้เห็นรอยยิ้มอันเย็นชา ค่อยๆ เอ่ยขึ้นว่า “พวกเขาสองพี่น้องยามนี้เดินเท้าเปล่าไม่เกรงกลัวว่าจะต้องสวมรองเท้า เจ้าคิดว่าหลัวอวี่ก่วนต้องแสดงตนต่อหน้าข้าเพื่อให้ข้าใจอ่อนเพื่อเหตุอันใดเล่า?”
แววตาของเยียนเอ๋อร์เต็มไปด้วยความไม่กระจ่างแจ้ง
หลัวซืออวี่ไม่ได้หันไปมองนางอีก แต่กล่าวต่อไปว่า “นางไม่ได้อยากทำให้เรื่องราวแดงขึ้นมา นั่นย่อมหมายความว่านางมีแผนการอยู่ในใจ และยังมีความกังวลใจอยู่ด้วย ในเมื่อนางต้องการแสดงละครเช่นนั้น ข้าก็จะให้ความร่วมมือกับนางก็พอ เวลานี้ต้องไว้ทุกข์เพื่อแสดงความกตัญญูเป็นเวลาสามปี ทว่านางกลับทนรอไม่ไหวที่จะถูกเปิดโปงเรื่องนี้ขึ้นมา
ชัดเจนอย่างยิ่งแล้วว่านางรอไม่ไหวที่จะปีนขึ้นไปนั่งตำแหน่งชายา ไม่เชื่อเจ้าก็คอยดูในเวลาอันใกล้นี้หางจิ้งจอกของนางต้องโผล่ออกมาแน่นอน”
ผู้หนุนหลังล้มครืนลงแล้ว เวลาเช่นนี้ควรจะเป็นเวลาที่หลัวอวี่ก่วนต้องกระทำเรื่องต่างๆ ด้วยความระมัดระวังยิ่ง แต่นางกลับทำทุกอย่างตรงกันข้าม เจตนาเปิดโปงเรื่องระหว่างนางและซูหลิน จุดประสงค์นั้นไม่ต้องพูดก็รู้
เยียนเอ๋อร์ฟังแล้วจึงค่อยๆ จะเข้าใจขึ้นมา
กำลังจะเอ่ยปากแต่มองเห็นมีคนเดินมาจากด้านข้างจึงได้แต่ปิดปากเงียบไว้ รอจนกระทั่งคนผู้นั้นเดินผ่านไปแล้วจึงถามขึ้นอย่างครั่นคร้ามว่า “หากว่าเป็นเช่นที่คุณหนูพูดจริงๆ ยามนี้นางคงต้องเป็นดังสุนัขกระโดดกำแพงแล้วเจ้าค่ะ ท่านไม่ยอมช่วยนาง หากนางนำเรื่องมาโพนทะนาไว้ข้างนอกจะ…”
นางทั้งสองมาจากครอบครัวเดียวกัน หากหลัวอวี่ก่วนประพฤติตัวแหลกเหลวแล้วล่ะก็ หลัวซืออวี่ต้องได้รับผลกระทบไปด้วย ชื่อเสียงของนางก็จะต้องมัวหมองไปด้วย
“ที่นี่น่ะหรือ?” หลัวซืออวี่ยิ้มอย่างเย็นชา กวาดตามองไปรอบๆ ครั้งหนึ่งแล้วส่ายหน้าเอ่ยขึ้นว่า “นางไม่กล้าหรอก”
ที่นี่คือวังหลวง และวันนี้ยังเป็นวันงานพิธีศพของหลัวฮองเฮา หากหลัวอวี่ก่วนกล้าที่จะนำเรื่องราวมาเปิดโปงที่นี่แล้วละก็…
เช่นนั้นก็ถือเป็นการรนหาที่ตายอย่างแท้จริง ความผิดฐานก่อความวุ่นวายในวังหลวงนั้นเพียงพอที่จะส่งนางและซูหลินเดินทางสู่น้ำพุเหลืองด้วยกันแล้ว
เยียนเอ๋อร์ได้ฟังแผนการของนางแล้ว ยังคงไม่เข้าใจอยู่บ้าง “เช่นนั้นวันนี้มาเพื่อทำอันใดเล่า?”
“ใช่ นางต้องมาให้ได้ด้วยเหตุอันใดเล่า?” หลัวซืออวี่ดึงสายตากลับมาสบตานางทีหนึ่ง หัวเราะอย่างไร้เสียง
ด้วยเรื่องของหลัวฮองเฮา ระยะนี้ฮ่องเต้จึงอารมณ์ไม่ดีอย่างชัดเจน
ดังนั้นตลอดทั้งพิธีศพ ผู้คนต่างระมัดระวังอย่างยิ่งเพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดใดใด ขึ้น
พิธีการผ่านไปได้อย่างราบรื่น จนกระทั่งกำลังจะออกจากวังหลวง ฉู่สวินหยางกลับได้พบกับฉู่ฉีเหยียนที่กำลังจะออกจากวังหลวงเช่นกันอย่างไม่คาดคิด
ท่ามกลางผู้คน ฉู่สวินหยางมิได้หลบเลี่ยงเขาแต่ค่อยๆ พยักหน้าทักทายกับเขาอย่างใจกว้าง
ฉู่ฉีเหยียนมองนางผ่านฝูงคน ดูเหมือนลังเลอยู่อึดใจหนึ่งจากนั้นจึงรีบเบียดเสียดเข้ามาหลายก้าว
“มีเรื่องอันใด?” ฉู่สวินหยางเอ่ยขึ้นพร้อมกับส่งสายตาเป็นประกายคำถามให้เขา
“ไม่มีเรื่องอันใด?” ฉู่ฉีเหยียนเอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ มองเห็นผู้คนมากมายที่แออัด จึงมองมาที่นางแล้วเชิดคางขึ้นเล็กน้อยไปทางศาลาด้านหลังนาง เอ่ยว่า “ไม่ได้พบหน้าเจ้าหลายวันแล้ว อยากพูดกับเจ้าสักหน่อย สะดวกหรือไม่?”
ฉู่สวินหยางครุ่นคิดอยู่อึดใจหนึ่ง รู้สึกว่าปฏิเสธคนผู้นี้ก็ไม่มีเหตุผลอันใดจึงพยักหน้าตกลง
ฉู่ฉีเหยียนเดินขึ้นหน้านำไปก่อน ฉู่สวินหยางเดินตามหลังไป
บริเวณใกล้เคียงผู้คนเดินขวักไขว่ไปมา ทั้งสองมีความสัมพันธ์เป็นลูกพี่ลูกน้องร่วมสกุลเดียวกัน เมื่อไปยืนอยู่ด้วยกันในศาลาอย่างเปิดเผยจึงไม่เป็นที่สงสัยหรือสะดุดสายตาผู้คนรอบข้างอันใด
“เจ้าอยากพูดอะไร?” ฉู่สวินหยางไม่อยากเสียเวลา จึงเอ่ยถามขึ้นอย่างตรงไปตรงมา
“ได้ยินว่าพระชายารองแซ่ฟางต้องพิษอย่างรุนแรง บัดนี้ยังไม่ได้สติหรือ?” ฉู่ฉีเหยียนกล่าว เขายืนอยู่หันข้างกายให้นาง ไม่ได้ยืนอยู่เบื้องหน้านาง สีหน้านิ่งเฉยของเขาหันไปทางสวนดอกไม้ที่กำลังบานสะพรั่ง
ข่าวการต้องพิษของคนแซ่ฟางได้ถูกปกปิดเป็นความลับแล้วนี่ นอกจากฮ่องเต้และพวกเขาคนของวังบูรพาก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้อีก
แต่ในเมื่อฉู่ฉีเหยียนเอ่ยปากแล้ว เช่นนั้นแสดงว่าเขาได้ตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว ดังนั้นฉู่สวินหยางจึงไม่คิดปิดบังอีก
“หลายวันมานี้ใต้เท้าเหยียนหลิงจวินมาดูอาการนางตลอด บอกว่าเวลาพอสมควรแล้ว น่าจะฟื้นคืนสติภายในวันสองวันนี้” ฉู่สวินหยางกล่าว
ตัวของคนแซ่ฟางจัดการเรื่องราวได้อย่างรู้หนักเบา ดังนั้นจึงเลือกใช้วิธีการดื่มยาพิษ นางย่อมควบคุมยาพิษได้
ต่อให้พิษของยาพิษจะรุนแรงกว่านี้ พิษที่ทำร้ายนางนั้นก็มีขอบเขตจำกัด
เพียงแต่ผ่านการปรุงแต่งของสองพี่น้อง และมีการสนับสนุนให้มีน้ำหนักดุจขุนเขาของเหยียนหลิงจวินผู้นั้นจากสำนักหมอหลวง จึงดึงสถานการณ์ความเจ็บป่วยของนางได้ถึงตอนนี้ ตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นจนถึงบัดนี้เป็นเวลาเจ็ดวันแล้วที่นางยังไม่ได้สติ
และก็ด้วยเหตุนี้จึงสามารถคุ้มครองป้องกันให้วังบูรพาก้าวข้ามคลื่นลมในมหาสมุทรมาได้ ฮ่องเต้จึงไม่เกิดความระแวงวังบูรพาเท่าใดนัก
อีกทั้ง…
หากบอกว่าคนแซ่ฟางกรอกยาพิษด้วยตนเองเพื่อให้ร้ายหลัวฮองเฮา ซ้ำยังเกือบจะต้องเอาชีวิตตัวเองไปทิ้ง พูดอย่างไรก็ไม่ค่อยน่าเชื่อถือ
ฉู่ฉีเหยียนถอนสายตากลับมามองนางแวบหนึ่ง มุมปากของเขาโค้งขึ้นในทันใด
“เป็นฝีมือของเจ้าหรือฉู่ฉีเฟิงกันแน่?” เขาถามอย่างตรงไปตรงมา ที่จริงจากน้ำเสียงของเขาก็ฟังออกว่าเขาเข้าใจทะลุปรุโปร่ง
ฉู่สวินหยางเลิกคิ้วแล้วยิ้มออกมา “เจ้าพูดอะไรกัน? ข้าฟังไม่เข้าใจ?”
ฉู่ฉีเหยียนมองนางตาไม่กระพริบ
เดิมทีเขาก็เป็นคนเงียบขรึมอยู่แล้ว ท่ามกลางสายตานิ่งสงบที่จ้องมองมานั้นเต็มไปด้วยความกดดันอย่างแรงกล้า
ฉู่สวินหยางนั้นยืดกระดูกสันหลังตั้งตรงแหน็วเพื่อต่อตากับเขา ไม่มีแม้เพียงเศษเสี้ยววินาทีที่จะกินปูนร้อนท้อง
สองคน ดวงตาทั้งสี่จ้องมองกัน
สีหน้าของเขาล้ำลึกดุจสายน้ำ นางมีรอยยิ้มบางๆ เป็นรอยยิ้มที่เปิดเผยนัก
ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่ได้มีความเมตตาปราณีอยู่ในนั้นแม้แต่น้อย
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ ยังคงเป็นฉู่ฉีเหยียนที่ยอมลงให้ก่อน เขาเดินออกไปข้างๆ สองก้าว จากนั้นจึงเคลื่อนย้ายสายตาอีกครั้ง “เจ้าไม่ยอมรับก็ช่างเถิด ข้าเพียงแต่เตือนเจ้าประโยคเดียว…ดีที่สุดอย่าริเล่นกับไฟ”
“เจ้าก็รู้ว่าการทดลองใจด้วยวิธีเช่นนี้ใช้กับข้าไม่ได้ผล ไฉนยังต้องเสียเวลาพูดมากด้วยเล่า?” ฉู่สวินหยางหัวเราะ เหลียวกลับไปมองกลุ่มคนที่ค่อยๆ เดินออกมา “ข้ายังต้องกลับจวนไปดูแลท่านแม่ เช่นนั้นต้องขอตัวก่อน”
ฉู่ฉีเหยียนไม่ได้ขยับและไม่ได้เอ่ยอันใด จนกระทั่งสุดท้ายก็ไม่ได้หันกลับมามองนางอีก
หลี่หลินเดินเข้ามาจากไกลๆ มองตามเงาร่างของฉู่สวินหยางด้วยความกังวลใจ
“ซื่อจื่อ เป็นฝีมือของท่านหญิงสวินหยางและคังจวิ้นอ๋องจริงหรือไม่?”
หากจะบอกว่าคนทั้งสองและคนแซ่ฟางเป็นการร่วมแรงร่วมใจระหว่างแม่ลูก แต่เรื่องราวในวังหลวงเล่าจะอธิบายเช่นใด? อาศัยเพียงพวกเขาสามคนแม่ลูก เกรงว่าคงทำไม่ได้หรอกกระมัง?
แน่นอน หากบอกว่ามีฉู่อี้อันให้ความร่วมมือด้วยกลับจะสมเหตุสมผลและมีความเป็นไปได้มากกว่า
แต่หลัวฮองเฮาเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดฉู่อี้อัน แล้วนิสัยของฉู่อี้อันก็ไม่เหมือนผู้ที่จะทำการเช่นนี้ได้
นี่เป็นจุดที่ฉู่ฉีเหยียนตีไม่แตกที่สุดในเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด
คิ้วของเขาขมวดแน่นขึ้นอีกและค่อยๆ หลับตาลง คิดวิเคราะห์อย่างเงียบขรึมอยู่นานทีเดียว สุดท้ายจึงกล่าวขึ้นอย่างตัดสินใจเด็ดขาดว่า “เรื่องในวังและทางด้านวังบูรพาเจ้าไม่ต้องสนใจเป็นการชั่วคราว รวบรวมความสนใจ หาคนสักหลายคนมาให้ข้าจับตาดูหญิงคนแซ่ฟางนั้นให้ดี”
หญิงผู้นี้ เมื่อก่อนถูกทุกคนมองข้ามการมีตัวตนของนาง แต่ทว่าเมื่อมีการเคลื่อนไหวก็แทบจะทำให้ผู้คนตกตะลึง แม้กระทั่งหลัวฮองเฮายังต้องมาสิ้นชีวิตในมือของนาง
หลี่หลินเองก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ช่างเหลือเชื่อยิ่งนัก พูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ซื่อจื่อยังคงสงสัยว่าเรื่องนี้เป็นพวกเขาที่ลุกขึ้นมาแสดงเองใช่หรือไม่?”
“ไม่ใช่สงสัย” ฉู่ฉีเหยียนกล่าวย้ำพร้อมกับหัวเราะเสียงเย็นขึ้นครั้งหนึ่งแล้วก้าวเท้าเดินจากไป
ดูเหมือนว่าทันทีที่เกิดเรื่องขึ้นเขาก็รู้และมั่นใจแล้ว เรื่องนี้เป็นการกระทำของวังบูรพาแน่นอน แม้ว่าในขณะนี้ยังไม่สามารถมองเห็นเหตุการณ์อย่างละเอียดโดยตลอดก็ตาม แต่ไม่มีผลกระทบต่อการวิเคราะห์ของเขาแม้แต่น้อย
พูดขึ้นมาแล้ว เขายังคงประมาทคนของวังบูรพาเกินไป
—————————————-