EP.315 ยังคงมองเห็นกันและกัน

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา

EP.315 ยังคงมองเห็นกันและกัน

ฤดูใบไม้ผลิกำลังมาเยือนเทือกเขาฉินทำให้หิมะบนยอดละลายอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นยอดเขาสีเขียวชอุ่มไปจนถึงตีนเขา ทองตอนใต้ของเทือกเขาเป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์ มีชาวบ้านจากมณฑลหลิงหนานมาอาศัยอยู่ห่างออกไปหลายพันไมล์ บนยอดเขาสูงมีควันพวยพุ่งสู่ท้องนภา และมองเห็นนกกระเรียนบินอยู่ไกลๆ พวกมันคือนกกระเรียนอายุมากกว่าหมื่นปีที่ตกผลึกจากจิตวิญญาณแห่งสวรรค์และโลก โดยปกติพวกมันจะใจดีและไม่โจมตีผู้คนก่อน จึงเป็นสาเหตุที่เรียกยอดเขาสูงทั้งสามว่า ‘ยอดเขาศักดิ์สิทธิ์’

บนถนนสายเก่าที่สูงชัน มีกลุ่มคนกำลังเดินอย่างเชื่องช้า ท่ามกลางผู้คนมีชายชราอายุราวหกสิบปีในชุดคลุมขาวประดับดอกจื่อยินสีทอง และที่ชายเสื้อประดับอัญมณีชิ้นเล็กๆ ซึ่งดูหรูหรามาก ดวงตาทั้งสองหม่นหมองขณะที่อ้าปากหอบหายใจ

ชายในชุดผู้บัญชาการทหารด้านข้างพลันประสานหมัด “ฝ่าบาท สิ่งนี้จะคุ้มค่ากับการที่พระองค์ต้องมาเดินเช่นนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ?”

“คุ้มค่าสิ” บุคคลที่ถูกเรียกว่า ‘ฝ่าบาท’ พยักหน้าและกล่าวว่า “เขาอาจเป็น ‘เทพ’ ระดับต่ำที่สุดในแผ่นดิน ทว่าตราบใดที่เขาให้การสนับสนุน จะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แน่ แม่ทัพจื่อเย่าจะรับรู้ได้เมื่อได้พบ ครั้งสุดท้ายที่ข้าเจอเขาก็เมื่อยี่สิบปีก่อน และตลอดหลายปีที่ผ่านมาดูเหมือนว่าจะไม่มีการเคลื่อนไหวใดอีกเลย”

จื่อเย่าตกใจและพูดด้วยรอยยิ้ม “บุคคลที่สามารถทำให้องค์ราชาเจิ้นหนานต้องมาเยือนดินแดนที่แห้งแล้งไร้แม่น้ำเช่นนี้คงจะมิใช่คนธรรมดา กระหม่อมจะรอดูพ่ะย่ะค่ะ”

“ขณะที่พบ เจ้าต้องมีสัมมาคารวะ อย่าหุนหันเด็ดขาด”

“พ่ะย่ะค่ะ”

หลังจากผ่านไปสองชั่วโมง ราชาเจิ้นหนาน จื่อเย่า และผู้ติดตามก็เดินเท้ามาถึงในที่สุด บนยอดเขามีตำหนักสีทองที่จมอยู่ในก้อนเมฆ ราวกับว่าเทพเจ้าลงมายังโถงของโลกมนุษย์ ด้านนอกโถงมีบริวารกำลังกวาดใบไม้ที่ร่วงหล่น เมื่อผ่านไปชั่วครู่ เขาก็เงยหน้าขึ้นและถามว่า “มารอสิ่งใดหรือ?”

ราชาเจิ้นหนานก้าวออกไปและประสานหมัดอย่างเคารพ “ฉินอี้…ราชาแห่งเจิ้นหนาน มาเพื่อพบท่านเซียนลั่วหลาน…”

บริวารยิ้มเล็กน้อย “องค์ราชาโปรดกลับไปเถิด ท่านเซียนมิได้พบเห็นผู้คนจากโลกมรรตัยมาหลายปีแล้ว”

ฉินอี้ผงะ “นี่…”

จื่อเย่ากำด้ามดาบด้วยความโกรธและตะโกนเสียงดัง “เจ้ามันไร้เหตุผล! องค์ราชาทรงมาพบเขาด้วยตนเองเช่นนี้ ช่างหยาบคายยิ่งนัก เปิดประตูออกมาสิ จะได้เห็นกันไปเลยว่าความจริงคืออะไร”

บริวารยิ้ม “ท่านแม่ทัพ ท่านเซียนอยู่บนเขตแดนสวรรค์ ท่านจึงไม่ต้องการแปดเปื้อนโลกีย์ และหวังว่าท่านแม่ทัพจะเข้าใจ”

“เข้าใจของเจ้าไปคนเดียวเถิด!”

จื่อเย่ามีนิสัยโหดเหี้ยม เขาชักกระบี่และตวัดออกอย่างรวดเร็ว ใบมีดปกคลุมไปด้วยปราณยุทธ์ เขาต้องการตัดบริวารผู้นั้นออกเป็นสองท่อน แม้ราชาเจิ้นหนานจะห้ามไว้ ก็สายเกินไปเสียแล้ว…

ทว่าบริวารเพียงยิ้มจางๆ ทันใดนั้น! ก็กรีดร้องออกมาพร้อมเสียงดังกังวานราวกับระฆังทอง คลื่นเสียงหยุดการเคลื่อนไหวของทุกคน แม้แต่ดาบในมือของจื่อเย่าก็หยุดลง ดูเหมือนว่าจื่อเย่าไม่สามารถควบคุมร่างกายได้

เขตแดนพลัง

นี่คือเขตแดนพลัง คนกวาดพื้นผู้นี้เป็นจอมยุทธ์ขอบเขตปราชญ์!

จื่อเย่าตกตะลึง

ฉินอี้รีบประสานหมัดและกล่าวว่า “ทหารใต้บังคับบัญชาของข้าไม่รู้มารยาท และหวังว่าท่านจะให้อภัย ฉินอี้ต้องการพบท่านเซียนเพื่อรับฟังคำสอนเพียงหนึ่งหรือสองคำเท่านั้น”

บริวารถอนหายใจ “เช่นนั้นมากับข้า ทว่าต้องมาคนเดียวเท่านั้น”

“ขอรับ”

ฉินอี้สะบัดแขนเสื้อและเดินตามบริวารเข้าไปในโถงสีทอง ภายในโถงสว่างไสวและงดงามมาก มีต้นไม้สูงตระหง่านหลายต้น ต้นไม้เหล่านี้ไม่เหี่ยวเฉาและยังคงเขียวชอุ่มในฤดูหนาวอย่างน่าประหลาดใจ ฉินอี้เดินตามบริวารเข้าไปถึงสุดทางเดิน หลังจากเปิดประตูโถงก็มีพลังรุนแรงพุ่งเข้าใส่

แม้ว่าฉินอี้จะมีสายเลือดของตระกูลฉินเช่นเดียวกับฉินจิ้น ทว่าโซ่เทวะของเขาอยู่ที่ระดับหนึ่งเท่านั้น ฉินอี้ตกใจจนถอยหลังไปหลายก้าวและล้มลงบนพื้นอย่างน่าอับอาย ก่อนจะค่อยๆ ลุกและเดินเข้าไปกล่าวว่า “ราชาแห่งเจิ้นหนาน…คารวะท่านเซียนลั่วหลาน”

ด้านในโถงใหญ่ ชายชราผู้มีหนวดเคราและผมขาวนั่งอยู่บนบัลลังก์พร้อมแสงสว่างปกคลุมร่างกาย เขาสวมเสื้อสีขาว ขณะที่มีบริวารอีกหลายสิบคนด้านข้างซึ่งทุกคนดูสง่าผ่าเผย

“ราชาเจิ้นหนาน ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้ง” ลั่วหลานลืมตาและยิ้มให้ฉินอี้

ฉินอี้รีบคุกเข่าประสานหมัดกล่าว “ขอรับ ฉินอี้ยอมตายเพียงเพื่อได้พบท่านเซียนลั่วหลานอีกครั้ง”

“ว่ามาสิ เจ้ามาทำอะไรที่นี่?” ลั่วหลานถาม

ฉินอี้กระซิบ “ฉินจิ้นขึ้นครองบัลลังก์ด้วยอำนาจของเหล่าขุนนางและแบ่งแยกดินแดนออกจากกัน พวกเขาเรียกเก็บส่วยอย่างโหดเหี้ยมและจับผู้หญิงบริสุทธิ์มาเลี้ยงดูเพื่อเป็นหญิงในค่าย ผู้คนต่างโกรธแค้นและหลายชีวิตต้องถูกทำลาย ราชวงศ์ปกครองแผ่นดินอย่างไม่ชอบธรรมเช่นนี้ เป็นเหตุให้สรวงสวรรค์และโลกต้องอับอาย ฉินอี้มิได้มีความสามารถมาก ทว่ายินดีจะร่วมมือกับเหล่าองค์ชายแห่งหลิงหนานในการชิงบัลลังก์ เพื่อปฏิบัติกับผู้คนอย่างมีเมตตา ทำให้ทุกชีวิตมีความเท่าเทียม และสร้างแผ่นดินที่มีความชอบธรรมและกลมเกลียว ดังนั้นฉินอี้มาภูเขาแห่งนี้…เพื่อขอให้ท่านเซียนลงจากภูเขาและช่วยทำให้โลกสงบสุขเพื่อข้า”

“สามหาว!” ชายผู้มีหนวดเคราด้านข้างลั่วหลานตะโกนดัง “ฉินอี้! คิดว่าตัวเองเป็นใครจึงกล้าขอให้ท่านทำเพื่อตนเองเช่นนี้ ช่างยโสยิ่งนัก!”

ฉินอี้รีบคุกเข่าลงอีกครั้ง “ท่านเซียน มิใช่เพื่อฉินอี้ แต่เพื่อผู้คนบนแผ่นดิน”

ลั่วหลานยิ้มเล็กน้อยขณะที่โบกฝ่ามือแผ่วเบา ทันใดนั้นก็มีพลังไร้ลักษณ์ช่วยฉินอี้ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นลั่วหลานก็ลุกขึ้นก้าวออกไปยังรอยแยกมิติ ‘วิ้ง’ ร่างของเขาพลันปรากฏตัวที่ประตูตำหนักห่างออกไปหนึ่งร้อยเมตรในพริบตา ลั่วหลานมองกลุ่มเมฆบนท้องนภาและกล่าวว่า “ราชาเจิ้นหนาน เจ้าต้องการต่อสู้เพื่อแผ่นดินและผู้คนจริงหรือไม่?”

ฉินอี้หันกลับและกล่าวอย่างเคารพ “ขอรับ หลังจากกอบกู้แผ่นดินได้แล้ว ฉินอี้จะไม่ขึ้นครองบัลลังก์…”

“จริงหรือ?”

ลั่วหลานยิ้ม “ฉินอี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดลั่วหลานผู้นี้จึงไม่ต้องการกลับขึ้นสวรรค์หลังจากผ่านไปหลายหมื่นปี?”

“เหตุใดหรือขอรับ?”

“เพราะ…” ลั่วหลานหรี่ตาลง “เพราะเหล่าทวยเทพและพระพุทธเจ้ามิอาจทนรับเทพจากขอบเขตระดับต่ำเช่นนี้ จึงเป็นการดีกว่าที่จะอยู่อย่างอิสระและมีความสุขบนแผ่นดินมนุษย์และกลายเป็นชอบเขตเทวะคนสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่ เจ้าคิดว่าอย่างไร?”

“ความคิดของท่านเซียนช่างน่ายกย่อง”

“ฉินอี้”

“ขอรับ”

สายตาที่จับจ้องของลั่วหลานเหมือนเจาะเข้าไปในหัวใจของฉินอี้ “ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะทำสิ่งนี้เพื่อผู้คน หรือจะขึ้นครองบัลลังก์หลังได้รับชัยชนะ ข้าจะช่วยเจ้า ทว่าเจ้าต้องรับเงื่อนไขเหล่านี้”

“ท่านเซียนโปรดกล่าวมา” ฉินอี้รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย

ลั่วหลานยิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า “หลังจากที่เจ้าได้รับชัยชนะ เจ้าต้องสร้างศาลเจ้าขึ้นมาใหม่และให้ผู้คนทั่วแผ่นดินกราบไหว้ลั่วหลาน อีกทั้งส่วยที่ได้รับประจำปีของกระทรวงการคลังยี่สิบเปอร์เซ็นต์จะถูกมอบให้แก่เทพ เจ้าเพียงต้องทำสองสิ่งนี้ แล้วข้าจะออกจากภูเขาช่วยเจ้ายึดครองโลก”

ดวงตาฉินอี้สั่นไหว ส่วยยี่สิบเปอร์เซ็นต์ของแผ่นดิน…ลั่วหลานช่างเป็นราชสีห์ที่หิวกระหายยิ่งนัก กระนั้นพลังของขอบเขตเทวะก็ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่ฉินอี้จะต้านทานได้ เขาประสานหมัดและกล่าวว่า “ฉินอี้จะทำตามความประสงค์อย่างแน่นอน แต่ข้าไม่ทราบว่าท่านเซียนจะลงจากภูเขามากับฉินอี้เมื่อใด”

ลั่วหลานโบกมือ “เจ้าสามารถลงมือได้ทุกเมื่อ ขณะนี้มีขอบเขตปราชญ์ทั้งเจ็ดภายใต้อำนาจของข้าสามารถร่วมการต่อสู้ได้”

ฉินอี้พยักหน้า “ขอบคุณท่านเซียนลั่วหลาน”

ลั่วหลานยิ้มเล็กน้อยและเงยหน้าขึ้นมองกลุ่มก้อนเมฆเหนือท้องนภา “เหตุใดสรวงสวรรค์จึงเพิกเฉยเช่นนี้? กระนั้นข้าก็เป็นผู้ทรงอำนาจคนหนึ่ง…ทุกคนในยอดเขาศักดิ์สิทธิ์จะรับฟังคำสั่งและติดตามข้าไปลงโทษจักรพรรดิผู้ละโมบและโง่เขลานี้”

“ขอรับท่านเซียน”

ฉินอี้ก้มหัวลงกับพื้นขณะที่บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มจางๆ

‘พรึ่บ…’

นกส่งสารกระพือปีกขาวร่อนลงบนโรงเพาะปลูกของสมาพันธ์โอสถและกระโดดไปที่มือของฉู่เหยา นางอดไม่ได้ที่จะยิ้มและกอดนกน้อย ก่อนจะหยิบม้วนกระดาษออกมาเปิดดูซึ่งเป็นลายมือของฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน ‘พบพฤกษาแห่งสวรรค์แล้ว พี่ชายจะแกะสลักมันให้ภายในหนึ่งเดือน”

ฉู่เหยาอดไม่ได้ที่จะยิ้มและพึมพำกับตนเอง “พี่ชายเป็นคนจริงจังมาก”

นักปรุงโอสถหญิงด้านข้างกล่าวขึ้น “ผู้ดูแลฉู่เหยา พี่ชายของท่านเป็นผู้บัญชาการค่ายเขาเหิน กล่าวกันว่าค่ายเขาเหินอยู่ในป่าทางตอนเหนือของเมืองหลวงและต้องฝึกฝนทุกวัน ผู้บัญชาการต้องยุ่งกับเรื่องทางการทหารอย่างมาก ท่านขอให้เขาแกะสลักลูกปัดให้เช่นนี้ ช่างเป็นน้องสาวที่เอาแต่ใจเหลือเกิน…”

“เจ้าต้องการหาเรื่องหรือ…” ฉู่เหยายกกำปั้นขึ้นพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าไม่รู้ว่าบ้านเกิดของข้าในเมืองหยินซานมีตำนานเมือง หากทำลูกปัดจากพฤกษาแห่งสวรรค์และแกะสลักมันด้วยชื่อของคนที่ห่วงใย จะสามารถอธิษฐานขอพรให้คนผู้นั้นปลอดภัยได้”

นักปรุงโอสถหญิงหัวเราะเบาๆ “เช่นนั้นบอกข้าทีว่าท่านต้องการสลักชื่อใครบนลูกปัดสวยงามชิ้นนั้น?”

ใบหน้างามของฉู่เหยาแดงระเรื่อ “มีชื่อทั้งหมดสี่คน หนึ่งคือข้า สองคือพี่ชาย สามคือพี่สาวเจิ้งเซียง และอีกคน…”

“อีกคนคือ?” นักปรุงโอสถหัวเราะคิกคัก “ให้ข้าเดา…จะต้องเป็นผู้ดูแลแซ่หลินในวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ตรงกับสมาพันธ์โอสถเป็นแน่ กล่าวกันว่าเขาเป็นแม่ทัพพิทักษ์เมืองซึ่งเป็นทหารยศสูง”

ฉู่เหยายิ้ม “สอนเจ้าปรุงโอสถทุกวัน เจ้าไม่เคยเข้าใจ ทว่ากลับรู้ว่าเป็นหลินมู่อวี่อย่างง่ายดายเช่นนี้…หึ อาอวี่น่ะ ชีวิตวุ่นวายยิ่งกว่าพี่ชายเสียอีก ด้วยหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ เขาไม่ได้มาพบข้าที่สมาพันธ์โอสถหลายวันแล้ว”

“ท่านสามารถไปที่วิหารศักดิ์สิทธิ์เพื่อเจอเขา…”

“พวกเราเป็นผู้หญิง จักต้องสงวนท่าที…”

“โอ้ ผู้ดูแลฉู่เหยาของเราเป็นสาวรักนวลสงวนตัวนี่เอง ฮ่าๆ”

“เด็กบ้า ข้าจะสอนเจ้าเรื่องมารยาทในการพูด!”

ฉู่เหยานิ่งเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะพูดว่า “เสี่ยวหลัน เราควรไปจวนเสินโหวเพื่อเยี่ยมพี่เจิ้งเซียงดีหรือไม่?”

นักปรุงโอสถนามว่า ‘เสี่ยวหลัน’ พยักหน้า “อืม ข้าได้ยินมาว่าเสินโหวเจิ้งอี้ฝานย้ายกลับไปอยู่ที่บ้านเกิดในมณฑลเทียนชู่ ทว่าเจิ้งเซิงไม่ยินยอมที่จะกลับพร้อมเสินโหว แม้จะถูกข่มขู่ว่าจะฆ่าก็ตาม ดังนั้นเสินโหวจึงเหลือแม่ทัพไว้เล็กน้อยเพื่อปกป้องเจิ้งเซียงในจวนเสินโหว แต่ช่างน่าเสียดาย…ท่านฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนได้ให้คำสัญญาว่าจะไม่พบเจิ้งเซียงอีกตลอดชีวิต ท่านบอกว่าทั้งสองไม่สามารถรักกันได้…เหตุใดจึงยังเลือกที่จะอยู่ในเมืองเดียวกันเช่นนี้?”

ฉู่เหยาเผยสีหน้าหม่นหมอง “บางทีพวกเขาคงไม่ต้องการแยกจากกัน อย่างน้อยทั้งสองก็ยังสามารถมองเห็นกันและกันในเมืองหลันเยี่ยน…”

เสี่ยวหลัน “…”

………………………………….