เล่มที่ 11 บทที่ 310 อ๋องอวี้เสด็จ

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

วังหลวงมีข่าวลือที่เล่าต่อๆ กันมาว่าอ๋องอวี้เป็นคนโหดเหี้ยมอำมหิต ตอนแรกพวกนางคิดจะกล่าวเสี้ยมท่านอ๋องแต่เพียงเท่านั้น คิดไม่ถึงเลยว่าท่านอ๋องจะเชื่อพระทัยพระชายาเช่นนี้

“ทำยังไงดี? หากพระชายารู้เข้า เช่นนั้นพวกเรา…”

หมาหน่าวร้องไห้โฮ สีหน้าของเจินจูขมขื่นไม่แพ้กัน

“อย่าร้องไห้ แม้พระชายาจะรู้ แต่ก็คงไม่ทำอะไรพวกเราหรอก พระชายารู้ว่าพวกเราเป็นคนสอดแนม ดังนั้นนางย่อมไว้หน้าฮองเฮาและไว้ชีวิตพวกเราอย่างแน่นอน”

เจินจูพยายามสงบสติอารมณ์ นางไม่กลัวหลินเมิ้งหยาจะมาคิดบัญชีกับพวกนาง อย่างมากก็คงถูกพระชายาเอาคืนเล็กๆ น้อยๆ แต่ถ้าหากนางทำเรื่องเกินควรแล้วล่ะก็ พวกนางจะขอร้องให้ฮองเฮาออกหน้าแทน

หลงเทียนอวี้เบนสายตามองทางตำหนักของฮ่องเต้ ทั้งที่ตอนนี้เป็นช่วงเวลากลางวัน แต่องครักษ์กลับมีมากกว่าตอนกลางคืนมาก

ฮองเฮาเป็นเป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ไม่ผิดแน่

โชคดีที่ระยะทางระหว่างตำหนักชิงกงและสำนักหมอหลวงไม่ไกลกัน เพียงเขาทอดสายตามองก็เห็นหมอหลวงเดินเข้าๆ ออกๆ ประตู

คำถามเกิดขึ้นในใจ เมื่อลองไตร่ตรองคำพูดของนางในคนเมื่อครู่ดูแล้ว เขาเองก็อยากรู้ว่าเมื่อคืนนางหายไปไหน

สำนักหมอหลวงล้วนมีแต่ผู้ชาย นี่นางไม่กลัวอันตรายเลยอย่างนั้นหรือ?

ความหึงหวงเริ่มแผ่ซ่าน แม้แต่หลงเทียนอวี้เองก็ไม่รู้ว่าความรู้สึกเช่นนี้คืออะไรกันแน่

ไม่มีหมอในสำนักหมอหลวงคนใดไม่รู้จักหลงเทียนอวี้ ทันทีที่เขามาถึง พวกหมอหลวงล้วนออกมาต้อนรับเขาด้วยรอยยิ้ม

ปรายสายตาเย็นชาไปทางหมอหลวงเหล่านั้น ก่อนจะละสายตาไปมองทางเรือนเล็กซึ่งเป็นห้องทำงานของหญิงสาวผู้เปรียบเสมือนโลกทั้งใบของตน

ครุ่นคิด นางกำลังพบเจอปัญหาอยู่หรือไม่ เหตุใดเรื่องทุกอย่างบนโลกใบนี้จึงเข้ามาเกี่ยวข้องกับนางทั้งสิ้น

สายตาของเขาหยุดตรงที่ร่างของหญิงสาวคนนั้น

สืบเท้าเข้าไปทีละก้าว หัวใจรู้สึกเหมือนมีมือข้างหนึ่งลูบไล้ด้วยความอบอุ่นอ่อนโยน ความกังวลที่เคยมีล้วนมลายหายไป

อยากเข้าใกล้อีกสักเล็กน้อย หลงเทียนอวี้สาวเท้าเข้าไปตามคำสั่งของหัวใจ

มองดูเส้นผมสีดำขลับสยายตกลงบนแก้มนวลราวกับกำลังหยอกล้อผู้เป็นนาย นางไม่รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อย เหตุเพราะนางยังคงง่วนอยู่กับยาที่ถืออยู่ในมือ

“ท่าน…”

ยกมือขึ้นห้ามหลินขุย หลงเทียนอวี้ระมัดระวังฝีเท้าและการเคลื่อนไหวให้เบาที่สุด ก่อนจะยืนมองหลินเมิ้งหยาจากทางด้านหลังเงียบๆ

ไม่นาน หลินเมิ้งหยายืดตัวขึ้นเพราะอาการเมื่อยล้า

มองดูสูตรยาตรงหน้าด้วยความพึงพอใจ ขอเพียงยาเหล่านี้ใช้ได้ผลก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว ของเหล่านี้มิต่างอันใดจากขนมหวานของท่านอาจารย์เลยแม้แต่น้อย ซ้ำยังเหมาะที่จะใช้ในช่วงฤดูหนาว

หนึ่ง เพื่อสร้างความอบอุ่นให้กับรากเพื่อหล่อเลี้ยงพวกมันให้เติบโตจนถึงช่วงฤดูใบไม้ผลิปีหน้าได้

สอง เพื่อถอนพิษออกจากของต้นโต่วเทียน

“ป๋ายซู เจ้าจงสั่งให้คนนำของพวกนี้ไปต้มด้วยไฟอ่อนสามชั่วโมง”

เงยหน้า แย้มยิ้มกว้างแล้วรีบเรียกป๋ายซู

ทว่าแม้จะรออยู่นาน สาวใช้กลับยังไม่ส่งเสียงขานรับ หลินเมิ้งหยาเงยหน้าขึ้นมองก่อนจะเห็นหญิงสาวกำลังมองทางด้านหลังของนาง ท่าทางมิต่างอันใดจากคนโง่

“เกิดอะไรขึ้น? เจอผีหรือไง?”

หลินเมิ้งหยาเอ่ยถามด้วยความสงสัย ทว่าสีหน้าของป๋ายซูกลับเผยให้เห็นอาการตกตะลึง

“นายหญิง ท่าน….”

ป๋ายซูคิดจะตอบ แต่มือข้างหนึ่งกลับยื่นเข้ามาวางลงบนไหล่ของนาง

“กำลังทำสิ่งใดอยู่หรือ?”

เสียงทุ้มต่ำอ่อนโยนพลันดังขึ้น

หลินเมิ้งหยาผงะ เอี้ยวตัวไปมองก่อนจะเห็นเป็นใบหน้าหล่อเหลาของหลงเทียนอวี้ คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะมาที่นี่

นานมากแล้วที่มิได้เห็นสีหน้าตกตะลึงของนาง หลงเทียนอวี้อารมณ์ดีขึ้นมาก เขาชี้นิ้วไปทางห่อยาตรงหน้าของนางก่อนจะเอ่ยถาม

“เจ้าสั่งยาให้ใครอย่างนั้นหรือ?”

หลินเมิ้งหยามองตามนิ้วของเขา สมองหมุนติ้ว ก่อนจะตอบ

“หม่อมฉันไม่มีงานอะไรให้ทำ สิ่งที่พอจะทำได้ก็คือการดูแลต้นไม้ใบหญ้าในสวน นี่เป็นวิธีที่คนสวนของพวกเราใช้ในการบำรุงรักษาต้นไม้เพคะ คาดว่าปีหน้าสมุนไพรในสวนแห่งนี้จะต้องงอกงามมากขึ้นอย่างแน่นอน”

เพียงประโยคเดียว แต่กลับทำให้สายตาของหลงเทียนอวี้แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา

พวกขุนนางต่างรับรู้เรื่องการเข้าวังของหลินเมิ้งหยาเพื่อมารักษาพระอาการประชวรของฮ่องเต้เป็นอย่างดี

แต่หมอหลวงเหล่านี้กลับกีดกันนาง ซ้ำยังปล่อยให้ชายาของเขาเอาเวลามาเลี้ยงดูต้นไม้ใบหญ้าอย่างเปล่าประโยชน์

หลงเทียนอวี้กวาดสายตามองทางพวกหมอหลวงเหล่านั้น ดูเหมือนชายาของเขาจะใจดีเกินไปอย่างนั้นสินะ?

“ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าหมอหลวงของสำนักหมอหลวงจะว่างงานถึงเพียงนี้ หากเป็นเช่นนั้น เปิ่นหวังจะลองปรึกษากับเหล่าขุนนางเพื่อลดจำนวนหมอหลวงในวังดู ดีหรือไม่?”

หลงเทียนอวี้จงใจเอ่ยให้เหล่าหมอหลวงได้ยิน ทันใดนั้นพวกเขาต่างพากันวิ่งหนีหายไป ไม่รู้ว่ากำลังไปขอความช่วยเหลือจากใคร

หลินเมิ้งหยาแอบใช้ประโยชน์จากหลงเทียนอวี้ในการกดดันพวกหมอหลวง เหตุเพราะเรื่องบางเรื่องก็เกินขีดความสามารถของนาง

นางก้มหน้า ลอบยิ้มเจ้าเล่ห์ ดูเหมือนคนพวกนั้นจะไม่รู้ว่าท่านอ๋องของนางเก่งกาจเพียงใด

“เหตุใดท่านอ๋องจึงมีเวลาว่างเสด็จเข้าวังเพคะ? ได้ยินมาว่าช่วงนี้พระองค์แทบไม่มีเวลาพักผ่อน เหตุใดจึงไม่อยู่พักผ่อนที่จวนเล่าเพคะ?”

ห้องเล็กๆ แห่งนี้มีครบทุกอย่าง แม้แต่ชาหอมและขนมก็พร้อมสรรพ

หลงเทียนอวี้นั่งลงบนเก้าอี้ มองสำรวจรอบๆ ห้อง

แม้จะไม่กว้างขวางเท่าจวนอวี้ แต่คนเหล่านั้นก็ไม่กล้าทำอะไรพระชายาของเขา

“ชายาของเปิ่นหวังไม่อยู่จวน เช่นนั้นเปิ่นหวังจะพักผ่อนอย่างสบายใจได้เช่นไร?”

หลงเทียนอวี้เลิกคิ้ว ท่าทางเหมือนคนขี้บ่น สายตามองหลินเมิ้งหยาที่กำลังจิบชา เขากระแอมเล็กน้อยก่อนจะแย่งถ้วยชาจากมือของนางมาดื่มอึกใหญ่

“นี่…หม่อมฉันดื่มไปแล้วนะเพคะ”

หลงเทียนอวี้กลับดื่มต่อจนหมดถ้วย เสมือนกำลังแสดงบางอย่างให้หลินเมิ้งหยาเห็น

“ร้อนกำลังดี หากร้อนเกินไปข้าก็คงดื่มไม่ไหว”

หลินเมิ้งหยาพูดไม่ออก นับตั้งแต่คืนวันงานเลี้ยง เขามักแสดงท่าทางขี้เล่นจนนางไม่รู้เลยว่าผู้ชายที่มักจะเงียบขรึมเย็นชาคนนั้นหายไปไหนแล้ว

“หม่อมฉันเอือมพระองค์เหลือเกินเพคะ”

หลินเมิ้งหยาขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงกับเขา กลอกตาเล็กน้อยราวกับกำลังมองคนเสียสติอย่างไรอย่างนั้น

“จริงสิ เจ้ามีโอกาสได้เข้าเฝ้าเสด็จพ่อบ้างหรือไม่?”

หลงเทียนอวี้กดเสียงเบา ความกังวลฉายชัดในแววตา

หลินเมิ้งหยาส่ายหน้า อย่าว่าแต่ได้พบเลย แม้ตอนนี้นางจะอยู่ในสำนักหมอหลวง แต่ก็มิต่างอันใดจากการถูกขัง หากนางกระทำการบุ่มบ่าม เกรงว่าคนเหล่านั้นจะต้องหาข้ออ้างมาใส่ร้ายนางอย่างแน่นอน

“แม้แต่รายงานชีพจรของฮ่องเต้หม่อมฉันก็ยังไม่ได้เห็นเลยเพคะ ท่านอ๋อง หม่อมฉันคิดว่าสำนักหมอหลวงแห่งนี้ไม่ธรรมดาเลย”

ทั้งสองเหยียดยิ้มกระซิบกระซาบ หากมองจากระยะไกล พวกเขามิต่างอันใดจากข้าวใหม่ปลามันที่กำลังพูดคุยสัพเพเหระ

“ข้าเดาไว้อยู่แล้วว่าจะต้องเป็นเช่นนี้ คนของสำนักหมอหลวงเป็นพวกหัวแข็ง อย่าว่าแต่เจ้าเลย แม้ข้าจะเป็นผู้เอ่ยถาม แต่คำตอบที่ได้รับกลับไร้ซึ่งความจริงใจ เจ้ามีวิธีจัดการกับคนพวกนั้นหรือไม่?”

ใบหน้านวลหยักยิ้มเจ้าเล่ห์ สายตาเหมือนคนกำลังนึกสนุก อยู่ๆ หลงเทียนอวี้พลันรู้สึกว่าหัวใจกำลังคันยุกยิก

ทุกครั้งที่หลินเมิ้งหยายิ้มเช่นนี้มักจะมีคนเคราะห์ร้าย!

“วิธีจัดการกับคนเหล่านี้ไม่ยากเพคะ พวกเราเพียงแค่ต้องหาผลประโยชน์มาล่อ”

หลินเมิ้งหยาหยิบขนมซูปิ่งเข้าปาก แม้ตาคู่สวยจะหรี่เล็กลงเหมือนกำลังดื่มด่ำกับรสชาติ ทว่าหางตากลับปรายมองทางเหล่าหมอหลวงที่พยายามหลบซ่อนตัวอยู่หลังกำแพง

เหตุที่สำนักหมอหลวงขึ้นมามีอำนาจดั่งเช่นทุกวันนี้ได้นั่นก็เพราะชีวิตของฮ่องเต้ สนมและพวกองค์ชายล้วนอยู่ในกำมือของพวกเขา

ปกติแล้วพวกเขามิกล้าแสดงท่าทีหยิ่งผยอง แต่เพราะตอนนี้ฮ่องเต้กำลังประชวร ฮองเฮาเองก็พยายามแสวงหาอำนาจ ดังนั้นพวกเขาจึงย่ามใจ โดยไม่รู้เลยว่ากำลังเริงระบำอยู่บนปลายมีด

ได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง กลั่นแกล้งคนชนชั้นสูงและพยายามปกปิดความผิด พวกเขาทำให้สำนักหมอหลวงกลายเป็นขยะ ตอนแรกเหล่าหมอหลวงคงคิดว่าชายาของเขาคนนี้เป็นเพียงเครื่องประดับบารมี แต่ใครจะรู้เล่าว่านางจะกลายเป็นหนามแหลมคอยทิ่มแทงพวกเขา

“ดูเหมือนชายาของข้าจะเฉลียวฉลาดยิ่งนัก เช่นนั้นเจ้าจะทำเช่นไรต่อไปได้โปรดเล่าให้ข้าฟังหน่อยเถิด”

ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด หลงเทียนอวี้อยากเห็นวันที่นางทำให้สำนักหมอหลวงต้องอลหม่านจนนั่งไม่ติด

หลินเมิ้งหยากระพริบตาปริบๆ ยื่นหน้าเข้าไปกระซิบข้างหู ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่ว

“เช่นนั้นท่านอ๋องต้องเหนื่อยหน่อยแล้วล่ะเพคะ”

ทั้งสองสบตากันแล้วแลกเปลี่ยนความคิด ตอนนี้เป็นโอกาสเหมาะ เหตุเพราะพระสนมเสียนเฟยกำลังก่อความวุ่นวายเนื่องจากอาการบาดเจ็บขององค์ชายสิบ

ดังนั้นฮองเฮาจึงต้องส่งคนไปตรวจสอบเรื่องนี้

ส่วนนางจะต้องแอบออกแรงเพื่อเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ พระสนมเสียนเฟยเป็นคนฉลาด ดังนั้นนางรู้ว่าควรจะลงมือยามใด

หากเป็นตามคาด ฮองเฮาจะตกอยู่ภายใต้ความกดดัน

ขณะเดียวกัน หากนางและหลงเทียนอวี้ร่วมมือกันเพื่อทำให้สำนักหมอหลวงวุ่นวายได้แล้วล่ะก็ เช่นนั้นกว่าฮองเฮาจะรู้ตัว นางก็ไม่อาจทำอะไรได้อีกแล้ว

นางอยากเห็นเหลือเกินว่าฮองเฮาที่นั่งครองตำแหน่งอยู่ในวังหลวงอย่างมั่นคงเสมอมาจะร้อนรุ่มกลุ้มใจสักเพียงไหน

“พระชายาทำงานหนักมาตลอดหลายวันจึงจำเป็นต้องพักผ่อนให้มาก เช่นนั้นเปิ่นหวังจะออกจากวังหลวงแล้ว จริงสิ จงไปบอกพวกหัวหน้าหมอหลวงของพวกเจ้าด้วยว่าชายาของข้าได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีมาตลอด นางมิเคยต้องลำบากตรากตรำ หากคราวหน้าเปิ่นหวังเข้าวังมาแล้วพบว่าพระชายาผอมลงไปแม้แต่น้อย เช่นนั้นพวกเจ้าจะต้องถูกเชือดเนื้อเฉือนหนังมาทดแทน”

หลงเทียนอวี้กดเสียงต่ำ ท่าทางจริงจังราวกับท่านอ๋องผู้ลุ่มหลงในพระชายาจนยอมทำทุกอย่างเพื่อนาง

หลินเมิ้งหยาพยายามไม่เผยรอยยิ้มออกมาให้เห็น ก่อนจะบอกให้เขาดูแลตนเอง ท่าทางอ่อนหวานรักใคร่ทำให้คนอื่นขนลุก

กว่าจะส่งหลงเทียนอวี้ออกจากสำนักหมอหลวงไปได้มิใช่เรื่องง่าย เมื่อเขาจากไปแล้ว เหล่าหมอหลวงปฏิบัติต่อหลินเมิ้งหยาเสมือนนางเป็นเทพธิดา

กลับมายังห้องของตนเอง หลินเมิ้งหยาได้เห็นของที่หลินขุยนำมาให้

เมื่อพลิกดู สิ่งเหล่านั้นคือเสื้อผ้าและปิ่นปักผม ทว่าในห่อของเหล่านั้นมีหนังสือเล่มหนึ่งถูกซ่อนเอาไว้ด้วย