บทที่ 332
บทที่ 332

แม้ว่าเขาจะสูญเสียม้าศึกและอยู่ลึกเข้าไปในแนวทัพของพวกหนิง ทว่าชายเลือดร้อนก็ยังคงไม่เจอปัญหาใด เขาพุ่งออกไปตามเส้นทางที่เปื้อนเลือดอย่างรวดเร็ว !

ด้วยเป็นขบวนรบของพวกหนิง จึงมีนายทหารหนิงวิ่งออกมากันมากมาย ทำให้หยวนยู่ที่เห็นดังนั้นหัวเราะลั่น ก่อนจะยกดาบในมือขึ้นและพูดว่า “พี่น้องตามข้ามา เราจะฆ่าพวกมันให้หมด !”

“ฆ่าให้หมด !!!”

ทหารม้าทั้ง 5 พันคนตะโกนพร้อมเพรียงกัน เช่นเดียวกับขวัญกำลังใจของพวกเขาที่พุ่งขึ้นสูง จนพร้อมแล้ว ที่จะเอาคืน !

ความกล้าหาญของชายเลือดร้อนได้กระตุ้นจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้และศักยภาพของทหารที่อยู่รอบ ๆ ตัวเขา ถ้าแต่เดิมฝูงชนสามารถดึงพลังการต่อสู้ของพวกเขาออกมาได้เต็มสิบส่วน งั้นครานี้ เมื่อมีหยวนยู่ พวกทหารก็สามารถดึงพลังออกมาได้มากถึง 20 ส่วนจาก 10 ส่วน !!

เมื่อหยวนยู่เป็นผู้นำทัพ แม้จะมีภูเขาใบมีดและทะเลเพลิงอยู่ข้างหน้า พวกเขาก็สามารถเข้าโจมตีได้โดยไม่ต้องกลัว !

หยวนยู่หันไปสั่งให้พวกทหารม้าวนกลับออกมา จากนั้นโดยไม่รอช้า พวกเขาก็พลันเลี้ยวม้าและพุ่งไปที่แนวรบฝั่งกองทัพหนิงอีกครั้ง !!

ทหารม้า 5 พันคนวิ่งไปมาท่ามกลางแนวรบฝั่งกองทัพหนิง ทั้งเข้าและออก ทำให้แนวทัพของพวกหนิงปั่นป่วน จนแนวหน้าของพวกเขาไม่อาจตั้งมั่นได้อีกต่อไป ได้แต่ถูกบังคับให้ล่าถอยกลับไปอย่างไร้ทางเลือก

หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายก็สูญเสียกันไปไม่มากก็น้อย พวกหนิงเสียคนไปมากกว่า 5 หมื่นนาย ในขณะที่พวกเฟิงล้มตายลงราว ๆ 1 หมื่นนาย

…ส่วนสิ่งที่น่าตกใจที่สุด ก็เห็นจะเป็นทหารม้าทั้ง 5 พันคนที่ติดตามหยวนยู่ออกไป ด้วยพวกเขาได้รับบาดเจ็บเพียงกลับมาเพียง 500 คนเท่านั้น และก็ไม่มีใครในพวกเขาตายสักคน !

จ้านอู่ฉางและจ้านอู่ตี้กลับไปที่ค่ายของตัวเอง พวกเขาพากันหันมองไปยังประตูตงจากระยะไกลและถอนหายใจแผ่วเบา “ตอนนี้คงมีเพียงคนเดียวในโลกนี้ที่สามารถต่อสู้กับทั้งกองทัพได้ ! ….คือหยวนยู่ !”

แม้จะเป็นศัตรู ทว่าจ้านอู่ฉางก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจและนับถือในความกล้าหาญของหยวนยู่ !!!

จ้านอู่ตี้ผู้หยิ่งผยองที่ยืนอยู่ข้าง ๆ พี่ชายของเขาไม่ได้พูดสิ่งใดโต้ตอบสักคำ เขาเพียงแค่ยืนอยู่แบบนั้น และถอนหายใจออกมาเบา ๆ

อีกด้านหนึ่ง กองทัพชานชุยกว่า 3 หมื่นนายได้อาศัยความสูงและความแข็งแกร่งของกำแพงฝั่งตะวันตก เพื่อที่จะต่อสู้กับกองทัพหนิง 2 แสนนายภายใต้การบัญชาของหมิงเสี่ยวเทียน ซึ่งมันก็ได้สร้างความเสียหายให้กับทางฝ่ายหนิงหนักพอควร พวกเขาส่วนใหญ่ล้มลง ก่อนที่ต่อมาจะจำต้องถอยทัพกลับไปเพราะไม่อาจยื้อเช่นนี้ได้อีกต่อไปแล้ว

หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ หมิงเสี่ยวหยวนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องประเมินความแข็งแกร่งของกองทัพเทียนหยวนอีกครั้ง และไม่กล้าที่จะเปิดการโจมตีอย่างผลีผลาม !

กองทัพที่นำโดยหมิงเสี่ยวหยวนอยู่ห่างจากกองทัพหนิงของสองพี่น้องตระกูลจ้านเพียงนิดเดียวเท่านั้น ทว่าพวกเขากลับถูกเขตหน้าด่านประตูตงขว้างกันเอาไว้ ไม่อาจข้ามผ่านมาเจอหน้ากันได้เสียที !!!!

ในระหว่างการต่อสู้อันดุเดือดที่บริเวณประตูตง ทางด้านซ่งเทียนก็ไม่ได้ว่างเช่นกัน

หากเขารอให้กองทัพเทียนหยวนเข้าโจมตี มันก็เหมือนกับการรอคอยความตาย กุนซือภายใต้การบังคับบัญชาของเขาทุกคนรีบตรงไปหาซ่งเทียน บอกให้เขาใช้โอกาสนี้ เข้าโจมตีกองกำลังหลักของกองทัพเทียนหยวนเสีย !

อันที่จริงซ่งเทียนเองก็รู้สึกเช่นกันว่านี่เป็นโอกาส แต่เขาไม่แน่ใจว่าจะส่งใครไปดี แล้วไหนจะกำลังพลอีก ต้องนำไปเท่าไหร่ถึงจะเพียงพอกัน ?

ในจังหวะนั้นเอง ก็เป็นผู้ใต้บังคับบัญชานายหนึ่งของซ่งเทียนที่ได้แนะนำออกมา บอกว่าควรให้ซ่งอู่นำกำลังทหาร 2 แสนนายเป็นทัพหลวงบุกตี !

ประการแรกซ่งอู่เป็นถึงรัชทายาท และด้วยการที่เขาขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่นำกองทัพ มันก็เกือบจะเหมือนกับซ่งเทียนไปเอง ทำให้ขวัญกำลังใจของกองทัพเพิ่มสูงขึ้น และอีกอย่าง ฝีมือของซ่งอู่ก็ไม่ใช่ธรรมดา ด้วยเขาถือได้ว่าเป็นแม่ทัพที่ทรงพลังหาตัวจับยากคนหนึ่งเลยทีเดียว !

ทว่าตอนนี้เขามีเพียงซ่งอู่เป็นลูกชายเพียงคนเดียว ถ้าซ่งเทียนส่งซ่งอู่ออกไปทำสงคราม แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นได้บ้าง ? ไม่ มันเสี่ยงเกินไป !!!

ซ่งเทียนไม่เต็มใจที่จะส่งซ่งอู่ออกไปรบ เขามองไปยังแม่ทัพที่อยู่ภายใต้เขาและพูดอย่างเฉยเมย “ข้าให้เวลา 1 พันวันในการเดินทัพ เป็นไปได้ไหมว่าไม่มีแม่ทัพคนใดภายใต้คำสั่งของอ๋องผู้นี้กล้าแบกรับความรับผิดชอบนี้ ?”

ถึงซ่งเทียนจะไม่ใช่ทหาร แต่เขาเป็นรัฐบุรุษที่โดดเด่น ด้วยประโยคเดียว แม่ทัพทุกคนที่อยู่ภายใต้คำสั่งของเขาก็พากันหน้าแดงจนถึงหู ก่อนจะเป็นนายทหารวัยกลางคนผู้หนึ่งที่ก้าวมาข้างหน้าและกล่าวว่า “อ๋องผู้ยิ่งใหญ่ แม่ทัพผู้ต่ำต้อยผู้นี้ปรารถนาที่จะออกไปรบ !”

นายทหารวัยกลางคนคนนี้คือจีหยิง หนึ่งในแม่ทัพผู้เก่งกาจเพียงไม่กี่คนที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของซ่งเทียน ทำให้ซ่งเทียนรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งและถามว่า “นายพลจีหยิง ต้องการกำลังทหารกี่นาย ?”

จีหยิงที่ได้ยินแบบนั้นก็ต้องถอนหายใจออกมา ด้วยเมืองหยานในปัจจุบันมีกำลังทหารเพียง 2 แสนนายเท่านั้น และแม้ว่าเขาจะเป็นผู้นำทัพในศึกนี้ เขาก็ไม่สามารถต่อสู้กับกองทัพเทียนหยวนได้ ดังนั้นเขาจึงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “นายท่าน ข้าขอกำลังทหาร 1 แสนคน !”

“1 แสนนายเหรอ ?” ซ่งเทียนตกใจมาก ปากร้องถามกลับในทันที “ท่านแม่ทัพ มันไม่น้อยเกินไปหรือ ?”

จีหยิงจับมือของเขาและพูดว่า “ท่านอ๋อง ด้วยจำนวนทหารที่มี ข้าจะเน้นไปที่การป้องกันเพียงเท่านั้น โดยข้านั้น จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อถ่วงเวลากองทัพเทียนหยวนและป้องกันไม่ให้มันลงมาทางใต้ …ส่วนเรื่องที่จะให้เอาชนะพวกมัน ข้าคงไม่อาจทำได้ด้วยกำลังทหารทั้งหมดที่มีในตอนนี้ !”

แม้ว่าซ่งเทียนจะรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยที่ได้ยิน แต่เขาก็ยังคงผงกศีรษะและยอมรับคำพูดของจีหยิง “เจ้ามั่นใจไหมว่ารับมือไหม ?”

“กองทัพเทียนหยวนมีคนมากมาย ข้าไม่มีความมั่นใจนัก แต่ข้าเต็มใจที่จะต่อสู้แม้ตัวตาย เพื่อตอบแทนความเมตตาของท่าน !” คำพูดที่ดังและมีพลังของจีหยิง ทำให้ซ่งเทียนซึ้งใจเป็นอย่างมาก

ว่าแล้วซ่งเทียนก็ได้ใช้แขนเสื้อเช็ดมุมตา ก่อนจะหยิบสัญลักษณ์ทางทหารมอบให้แก่จีหยิงแล้วพูดว่า “ท่านแม่ทัพ ทั้งตัวข้าเองตลอดจนประชาชนนับล้านในแคว้นฝากชีวิตไว้กับเจ้าแล้ว ถ้าเจ้าชนะ พวกเราก็จะยังยืนหยัด แต่ถ้าไม่ สิ่งที่พวกเราทำมาทั้งหมดมันจะสูญเปล่า !”

ในเวลานี้ดวงตาของจีหยิงได้เปลี่ยนเป็นสีแดง เขาคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ก่อนจะยกมือขึ้นเพื่อรับสัญลักษณ์ทางทหารและพูดด้วยเสียงอันสั่นเครือว่า “ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่ เพื่อปกป้องเมืองหลวงของเรา !”

เมื่อทุกอย่างเสร็จสรรพแล้ว จีหยิงก็ไม่รอช้า นำกำลังทหารจำนวน 1 แสนนายออกเดินทางในทันที โดยพวกเขานั้นจะไปตั้งค่ายที่เชิงเขาและบนยอดเขาตามลำดับที่แนวชายแดนของเขตหลีฮู่

จีหยิงไม่ใช่แม่ทัพธรรมดา เขามากไปด้วยประสบการณ์รบ และสามารถเลือกตำแหน่งตั้งรับที่มีประสิทธิภาพที่สุดได้อย่างง่ายดาย !

ภูเขาเขี้ยวพยัคฆ์ตั้งอยู่บนถนนที่นำไปสู่เมืองหยาน ซึ่งหากใครต้องการผ่านสถานที่แห่งนี้ พวกเขาจะต้องกำจัดกองทัพกลางทั้งหมดที่ประจำการอยู่บนภูเขาหรือที่เชิงเขา มิฉะนั้นกองทัพกลางบนภูเขาจะมองลงมาจากด้านบนและโยนก้อนหินจากภูเขา !!!

และถ้าต้องการจะตีค่ายกองทัพเปิงบนภูเขา งั้นแล้วพวกเปิงบนภูเขาก็จะหันมาใช้ค่ายที่เชิงเขาเพื่อต่อต้านแทน

นอกเหนือจากนั้น จีหยิงยังได้เตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ระยะยาวแล้ว เขาสะสมอาหารจำนวนมากไว้บนภูเขา และสำหรับสิ่งของอื่น ๆ อย่างไม้ซุงและก้อนหิน มันก็ค่อนข้างจะสะดวกสำหรับพวกเขา เนื่องจากมีหินอยู่ทั่วไปบนภูเขา ที่มากพอสำหรับจะใช้เป็นแนวป้องกัน !

หลังจากตั้งค่ายและเตรียมการที่เหมาะสม จีหยิงก็เริ่มออกลาดตระเวนรอบภูเขา เขาถอนหายใจขณะมองและแอบส่ายหัว ด้วยภูเขาเขี้ยวพยัคฆ์เป็นสถานที่ป้องกันได้ง่าย แต่โจมตีสวนกลับได้ยาก

…เมื่อสถานที่แห่งนี้ได้รับการคุ้มกันโดยกองทัพหลวง 1 แสนคน ภูเขาเขี้ยวพยัคฆ์ก็จะกลายเป็นดั่งปราการเหล็กกล้า แม้ว่าศัตรูจะมีนับล้าน ก็ไม่มีอะไรที่จะต้องกังวล !!

บางส่วนของกองกำลังแสนคนเหล่านี้เป็นพลเรือน บางคนเป็นผู้ลี้ภัยไร้ที่อยู่อาศัยและบางคนเป็นทาส คงไม่อาจจะนับว่าเป็นกำลังรบที่สมบูรณ์ได้ ถ้าพวกเขาอยู่ในสนามรบพวกเขาจะกลัวศัตรูก่อนที่จะเริ่มต่อสู้หรือไม่ ? เกี่ยวกับคำถามเหล่านี้ทำให้หัวใจของจีหยิงหนักอึ้ง

จีหยิงนำกองทัพใหญ่จำนวนหนึ่งแสนมาประจำการที่ภูเขาเขี้ยวพยัคฆ์ ทำให้หน่วยสอดแนมของกองทัพเทียนหยวนที่ทราบข่าวรีบส่งต่อเรื่องนี้กลับไปยังเมืองสีไป่ในทันที

หลังจากได้รับข่าว ชิวเจิ้นก็ได้รวบรวมแม่ทัพและกุนซือทั้งหมดของกองทัพเทียนหยวนเข้ามาทันที เพื่อปรึกษาหารือเกี่ยวกับมาตรการรับมือ

เมื่อพวกเขาได้ยินว่ากองทัพเปิงประจำการอยู่ที่ภูเขาเขี้ยวพยัคฆ์ และหลังจากดูแผนที่แล้ว พวกเขาก็เข้าใจถึงความตั้งใจของอีกฝ่ายทันที ที่แท้กองทัพเปิงกำลังวางแผนที่จะยืมความแข็งแกร่งของภูเขาเพื่อปกป้องเส้นทาง ใช้ป้องกันไม่ให้กองทัพใหญ่ของพวกเขาไปทางใต้ !!!!

เปิงเฮาฉูที่ได้ยินแบบนั้น เขาก็ได้หันไปพูดกับชิวเจิ้น ว่าตนต้องการจะส่งกองกำลังไปโจมตีกองทัพเปิงที่ประจำการอยู่ที่ภูเขาเขี้ยวพยัคฆ์ทันที ด้วยหากไม่ทำเช่นนั้น งั้นแล้วก็อย่าหวังเลยว่าหลังจากนี้จะสามารถจัดการพวกนั้นได้ง่าย !!

เมื่อเห็นว่าแม่ทัพทุกคนมีความตั้งใจเช่นเดียวกับเปิงเฮาฉู ดังนั้นชิวเจิ้นจึงยอมรับข้อเสนอแนะของทุกคน และถามกลับไปว่า “มีแม่ทัพคนไหนยินดีที่จะนำทัพ ?”