ตอนที่ 133-3 อวิ๋นซานขอบุตร กับ นางซิงซื่อช่วยหลาน

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

ขณะเดียวกัน ณ ท้องพระโรง ขุนนางทั้งหลายต่างได้กลิ่นแปลกๆ หลังจากได้กลิ่นนั้นจึงส่งคนในวังไปตรวจสอบ ปรากฏว่าเป็นกลิ่นตัวของท่านชายรองแห่งจวนโหว แม้กระทั่งหนิงซีฮ่องเต้ก็ได้กลิ่นเหม็นจนหน้าเสียเช่นกัน เวลาเพียงชั่วครู่พระเนตรของพระองค์ก็มืดลงและทรงขมวดพระขนง ทันใดนั้น เหยาฝูโซ่วกลัวว่าจะส่งผลเสียต่อพระวรกาย จึงรีบเรียกขันทีและนางกำนัลรับใช้ยกกระถางธูปแล้วจุดธูป ทำให้กลิ่นหอมฟุ้งกระจาย กลิ่นภายในท้องพระโรงจึงดีขึ้น

 

 

นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ต้าเซวียนที่ต้องวางกระถางธูปขณะไต่สวนคดี ทุกคนมองหน้ากันและอดไม่ได้ที่จะปิดปากยิ้มเยาะ มู่หรงไท่คุกเข่าลงต่อหน้าพระพักตร์ด้วยสีหน้าแดงก่ำ รู้สึกเพียงว่าได้แบกความอัปยศอดสูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกไว้บนบ่าของตน ครานี้แม้จะมีชีวิตรอดออกไป ต่อไปก็คงไม่มีหน้าที่จะพบใครได้อีกแล้ว

 

 

การพิจารณาคดีโดยกรมอาญาได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว เมื่อนำหลักฐานออกมาทีละอย่าง มู่หรงไท่ไม่มีทางที่จะโต้แย้งได้เลย ความเจ็บปวดทางร่างกายและความอัปยศอดสูทางจิตใจแทบจะบดขยี้เขาให้แตกออกเป็นส่วนๆ ได้หมดแล้ว ขณะนี้กำลังฟังคำถามอย่างเข้มงวดจากหนิงซีฮ่องเต้ โดยคิดว่าท่านปู่ของตนคงจะไม่ช่วยพูดแม้สักครึ่งประโยค รสชาติชีวิตในคุกของชาติปางก่อนย้อนกลับมาอีกครั้ง

 

 

หลักฐานครบถ้วนและมัดตัวเช่นนี้ ใช้เวลาไม่นาน ผู้ต่ำต้อยก็ถูกระวางโทษแล้ว หลานชายคนโตจากเรือนรองแห่งจวนกุยเต๋อโหวมูหรงไท่มีความผิดฐานยุยงพระโอรสและปองร้ายไทเฮา โทษฐานโกหกหลอกลวงกษัตริย์ โดยมีเว่ยอ๋องเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย แม้จะไม่รู้เรื่องรู้ราวใดๆ มาก่อน แต่ก็ต้องรับผิดชอบด้วยเช่นกัน

 

 

แม้ว่าคดีความจะมีชื่อของเว่ยอ๋องอยู่ด้วยก็ตาม ทว่าได้เปลี่ยนจากผู้บงการเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด โดยไม่ได้เจตนา บทลงโทษจึงเบาลงไปมาก

 

 

หลังจากที่เจ้ากรมอาญาได้อ่านคำพิพากษาออกมา มเหสีรองเหวยที่อยู่หลังม่านลูกปัดก็หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมา มุมปากโค้งงอขึ้นและถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก อภิชาตบุตรมีพระคอยปกป้องคุ้มครองและหนีรอดมาได้อีกครั้ง

 

 

หนิงซีฮ่องเต้ก็รู้สึกโล่งใจเช่นกัน เหตุการณ์ที่โอรสทั้งหลายใส่ร้ายกันจนเกือบจะเอาชีวิตของไทเฮาโดยประมาท พูดออกไปคงไม่น่าฟังแน่ และจะทำให้ชื่อเสียงของราชวงศ์เสียหาย เมื่อมีมู่หรงไท่คอยรับผิดส่วนใหญ่แทน ก็สามารถเรียกชื่อเสียงของราชวงศ์คืนได้และอย่างน้อยเว่ยอ๋องก็ยังมีทางหนีทีไล่

 

 

มู่หรงไท่คนนี้ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม คงถูกลิขิตให้เป็นแพะรับบาปไปเสียแล้ว

 

 

เมื่อมู่หรงไท่เห็นสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า ก็รู้ว่าตนไม่สามารถหลุดพ้นจากความตายไปได้ แม้แต่ความเจ็บป่วยของร่างกายก็ลืมไปหมดแล้วด้วยซ้ำ เขากลั้นหายใจและมองเห็นเพียงดวงตาของโอรสสรรค์ที่จ้องมองมา แล้วสบตากับเจ้ากรมอาญา โดยส่งสัญญาณให้อ่านคำพิพากษาว่าทั้งมู่หรงไท่และเว่ยอ๋องต่างต้องได้รับโทษ

 

 

เจ้ากรมอาญาเป็นบุคคลอาวุโสสองแผ่นดิน ถือสมุดบันทึกคดีขึ้นมาแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดังและเด็ดขาด “ชายรองมู่หรงไท่แห่งจวนกุยเต๋อโหว เขตเยว่จิงยุยงเว่ยอ๋อง ใส่ร้ายฉินอ๋อง ไม่ซื่อสัตย์ต่อไทเฮา ได้รับโทษสูงสุดตามกฎหมาย…”

 

 

พูดไม่ทันจะจบและเสียงยังคงดังก้องกังวานระหว่างเสาสีทองภายในท้องพระโรงเหลืองอร่าม ก็มีเสียงฝีเท้าและเสียงดังโวยวายเข้ามาจากด้านนอกท้องพระโรง ซึ่งเป็นเสียงของหญิงชรานางหนึ่ง โดยเปร่งเสียงสั่นและแหบแห้งเล็กน้อย แต่เสียงกลับดุจระฆังวัดและอดใจรอไม่ไหว

 

 

“ฮ่องเต้ โปรดวางมีด ไว้ชีวิตด้วยเถิด!”

 

 

ฮ่องเต้และขุนนางระดับสูงที่อยู่ในท้องพระโรงต่างตกตะลึง ในระหว่างการพิจารณาคดีเช่นนี้ กล้ามีหญิงชราวิ่งเข้ามาตะโกนวางมีด ไว้ชีวิตด้วยหรือ ช่างบังอาจยิ่งนัก ทว่า เมื่อมองโดยละเอียดอีกครั้งแล้ว กลับประหลาดใจ ทันใดนั้นนอกจากหนิงซีฮ่องเต้แล้ว ทุกคนต่างกระซิบกันยกใหญ่

 

 

มู่หรงไท่เห็นทีจะรอดแล้ว

 

 

มองเห็นเพียงแต่นางซิงซื่อชายาของผู้อาวุโสโหวสวมใส่ชุดและมงกุฎสตรีบรรดาศักดิ์ข้างนอกขั้นหนึ่งแห่งราชวงศ์ต้าเซวียน โดยสวมพระมาราปิดทองสองชั้นฝังมุกตะวันออกและปะการัง สวมเสื้อคลุมปักลายนกยูงสีแดงทอง ปกเสื้อมัดด้วยหินสีฟ้า คาดเอวด้วยเหล็กบังเ**ยนไพฑูรย์สีทอง สวมใส่ชุดเต็มยศ ไม่พลาดแม้แต่ชิ้นเดียว พร้อมกับถือป้ายเหล็กปกหยกที่ฝังด้วยขอบทอง มุ่งตรงเข้าไปที่ประตูของตำหนักจินหลวน เมื่อขุนนางชุดเหลืองและทหารองครักษ์ที่อยู่ข้างๆ เห็นนางซิงซื่อสวมชุดสตรีบรรดาศักดิ์ข้างนอกขั้นหนึ่ง มีลักษณะอันน่าเกรงขาม ในมือถือป้ายเหล็กละตายอาญาสิทธิ์ที่พระราชทานโดยฮ่องเต้องค์ก่อน จะบังอาจขวางไว้ได้อย่างไร แม้แต่เหยาฝู่โซ่วลงมามองอย่างชัดเจนแล้ว ยังต้องโค้งคำนับให้กับป้ายเหล็กที่เปรียบเสมือนกับเป็นตัวแทนของฮ่องเต้องค์ก่อนพร้อมกับขุนนางที่อยู่ภายในท้องพระโรง โดยมิบังอาจละเลย

 

 

หนิงซีฮ่องเต้ไม่ได้คาดคิดว่านางซิงซื่อจะมา เมื่อเห็นนางแสดงท่าทางองอาจ และหยิบสมบัติที่มีค่าทั้งหมดที่อยู่ในกล่องออกมา คงจะขอร้องอ้อนวอนอย่างแน่นอนพร้อมกับโบกมือตรัสว่า “เตรียมที่นั่งสำหรับฮูหยินมู่หรง” ขุนนางในวังหลวงรีบนำเก้าอี้ไม้จินสื่อหนานที่มีพนักเท้าแขนและพนักพิงเป็นรูปกลมมาทันที

 

 

นางซิงซื่อชำเลืองมองที่มู่หรงไท่ซึ่งกำลังคุกเข่าอยู่และไม่ได้นั่งลง “ครั้งนี้หลานชายมู่หรงไท่มีความผิดจริงและตายไปก็ไม่เสียดาย ดั่งโบราณว่าไว้ เลี้ยงดู สั่งสอนลูกไม่ดีเป็นความผิดของพ่อแม่ ทว่า บิดาของอาไท่ทำคุณให้แผ่นดิน ไม่มีแม้แต่เวลาที่จะมาสั่งสอนบุตรชายเพียงคนเดียวของตน ตั้งแต่เล็กจนโตจึงมีหม่อมฉันเป็นผู้เลี้ยงดู ครั้งนี้เขาทำผิดมหันต์ ก็ล้วนเป็นความผิดของหม่อมฉันเองที่สั่งสอนไม่ดี เอาอกเอาใจจนเกินไป ดังนั้น ครั้งนี้หม่อมฉันเข้าวังมาเพื่อจะขอให้ฮ่องเต้ทรงโปรดลงโทษหม่อมฉันตามกฎหมายไปด้วยพะยะค่ะ”

 

 

ทุกคนต่างลอบถอนหายใจ เพราะเดิมทีคิดว่านางซิงซื่อเข้าวังมาเพื่อจะร้องไห้โวยวายเสียงดัง และใช้ป้ายเหล็กละตายอาญาสิทธิ์ช่วยชีวิตหลานชาย พวกเขาไม่คาดคิดว่าจะประเมินนางต่ำไป การกระทำเช่นนี้เรียกได้ว่าเป็นชั้นครู อยู่มาถึงอายุปูนนี้แล้ว ย่อมพูดจาฉะฉาน โดยเอาความผิดทั้งหมดไว้ที่ตนก่อน แล้วค่อยแสดงอารมณ์ออกมาเพื่อเล่นกับความรู้สึกของมนุษย์ และพูดถึงสกุลมู่หรงที่ต้องสละชีวิตลูกชายในสงครามถึงสองคน ซึ่งนางซิงซี่เป็นแม่นมของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน เป็นบุตรีคนโตของกั๋วกงรัชกาลก่อน และได้รับการแต่งตั้งเป็นฮูหยินขั้นหนึ่ง ตามหลักการและความรู้สึกแล้ว ฮ่องเต้จะลงโทษนางได้อย่างไร หากดูจากสถานะทางราชวงศ์แล้ว พูดอย่างน่าเกลียดคือ แม้ว่าสกุลมู่หรงจะทำผิดพลาดร้ายแรงมหันต์เช่นใด ฮ่องเต้ก็จะช่วยนางให้แคล้วคลาดปลอดภัย

 

 

หากนางใช้ป้ายเหล็กละตายอาญาสิทธิ์ข่มขู่และร้องไห้โวยวายโดยตรง ฮ่องเต้อาจจะแสดงอาการเกรี้ยวโกรธตามสถานการณ์นั้นได้ ทว่า บัดนี้นางกลับพูดจาเช่นนี้ ฮ่องเต้จะปฏิเสธความต้องการของนางได้อย่างไร

 

 

แน่นอนว่าใบหน้าของหนิงซีฮ่องเต้ตกตะลึงแล้วตรัสว่า “ฮูหยินมู่หรงกล่าวเกินไปแล้ว ท่านมาจากสกุลที่มีชื่อเสียง ได้รับการศึกษา พร้อมด้วยคุณธรรมและจิตใจที่มั่นคง รวมถึงเคยเลี้ยงดูเรามา ซึ่งถือว่ามีบุญคุณกับเรามาก จะสั่งสอนลูกหลานไม่ดีได้อย่างไร”

 

 

ดวงตาของนางซิงซื่อสว่างใสและรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย “ปากพระโอษฐ์ทองของฮ่องเต้จะยกย่องข้าน้อยเช่นไรคงจะไม่สำคัญแล้ว หากอาไท่ถูกประหารชีวิตต่อหน้าสาธาณะชน และนี่ก็คือหลักฐานที่สำคัญที่สุดสำหรับหม่อมฉันที่สั่งสอนหลานได้ไม่ดี ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันอายุมากแล้ว บุตรชายสองคนก็ได้จากไปแล้ว จากไปกันหมดแล้ว หม่อมฉันยังจำได้แม่นว่าฮ่องเต้องค์ก่อนเคยกล่าวชื่นชมหม่อมฉันตั้งแต่ในวัยเด็กว่าโหงวเฮ้งของหม่อมฉันต้องเป็นคนโชคดีมีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองอย่างแน่นอน ทว่า บัดนี้…พระโอรสทำผิดกฎหมายต้องได้รับโทษเช่นเดียวกับราษฎรทั่วไป ข้าจะไม่ยอมปล่อยให้ทุกคนกล่าวหาได้ว่าราชสำนักลงโทษไม่ยุติธรรม เพียงแต่จะขอให้ฮ่องเต้ทรงโปรดนิรโทษกรรมและไว้ชีวิตของอาไท่ก็เพียงพอแล้วเพคะ”