“ดังนั้นเล่า ท่านมาหาข้าทำไม มาเพื่อให้ข้าดูท่านแสดงละครเสียใจสิ้นหวัง?” สีหน้าของเยี่ยเม่ยยังคงเป็นความเสียดสีตั้งแต่แรกเริ่ม ทั้งยังส่งสายตาประเมินมองเป่ยเฉินอี้ตั้งแต่หัวจรดเท้า
นางถามแกมขบขันแต่ไม่ขำว่า “หรือว่าข้าสมควรถามอี้อ๋องว่า สรุปแล้วท่านคิดทำอะไรกันแน่ ท่านวางแผนอันใดอยู่ในใจ คิดจะผลักไสข้าสู่ความตายอีกครั้งอย่างไร ไม่สู้ท่านบอกมาเลย อย่างไรเสียข้าก็สู้ท่านไม่ได้อยู่แล้ว…”
“เยี่ยเม่ย!” เป่ยเฉินอี้ตัดบทนาง
อากัปกิริยาของเขายังดูสูงศักดิ์ แต่ไม่อาจบิดบังความทุกข์ตรมในดวงตาไปได้
เยี่ยเม่ยหัวเราะเย็นชา “ทำไมกัน แค่ไม่กี่ประโยคก็ฟังไม่ได้ ทนไม่ไหวแล้ว ท่านเคยคิดบ้างไหม ตอนที่ท่านให้ร้ายท่านพ่อท่านแม่ข้า ข้ารู้สึกอย่างไร เป่ยเฉินอี้ หากแค่สองประโยคนี้ท่านยังทนไม่ได้ ข้าก็ได้แต่บอกว่า จิตใจท่านอ่อนแอเกินไปแล้ว!”
หากคำพูดสามารถกลายเป็นคมกระบี่แหลมเฉือนคนตรงหน้าออกเป็นชิ้นๆ ได้ เยี่ยเม่ยก็ไม่เสียดายคำพูดโหดร้ายพวกนี้ ขอเพียงทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดเป็นระลอกๆ สำหรับนางแล้วถือเป็นเรื่องน่าเบิกบานยิ่งนัก
เป่ยเฉินอี้หลับตาลง ไม่เอ่ยปากอีก ตัดสินใจปล่อยให้เยี่ยเม่ยเย้ยหยันเขาต่อไป
ขอเพียงนางรู้สึกสบายใจขึ้นบ้าง ไม่ว่านางจะพูดอะไรเขาก็ต้องรับ
ครั้นเห็นท่าทางของเขา เยี่ยเม่ยกลับเกิดความกลัดกลุ้มหงุดหงิด นางจ้องบุรุษตรงหน้า เอ่ยว่า “อี้อ๋อง ท่านมีอะไรก็เอ่ยมาเถอะ ข้ารู้ว่าที่ท่านปล่อยข้าในวันนี้ ต้องมีสาเหตุแน่ ท่านต้องการอะไร หรือท่านเตรียมแผนการไว้อีกฉากหนึ่ง ไม่รู้ว่าข้าในตอนนี้อยู่ในตำแหน่งใดบนกระดานหมากของท่านแล้ว…”
“อาซี ข้าไม่ขอให้เจ้าอภัยให้ เพียงแต่ข้าอยากเล่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทุกอย่างในปีนั้นให้เจ้าฟัง” เป่ยเฉินอี้โพล่งออกมา ในแววตาล้ำลึกสุดหยั่งนั้นแฝงไปด้วยความเจ็บช้ำยากอธิบายได้ด้วยคำพูด
ความจริงเยี่ยเม่ยอยากรู้มากว่า เพราะยึดมั่นแบบใด ถึงทำให้เป่ยเฉินอี้ทรยศมิตรภาพระหว่างพวกนางได้
ไม่ว่าอย่างไรในยามที่พวกเขาสองคนอยู่ร่วมกันในปีนั้น เป่ยเฉินอี้แสดงออกว่ามีความสุขมาก และไม่ได้เสแสร้ง เพราะอะไรนางถึงเชื่อใจเป่ยเฉินอี้เช่นนั้น ก็เพราะว่าเขาในตอนนั้นทำให้นางเห็นถึงความจริงใจ
ดังนั้นนี่จึงเป็นสาเหตุที่นางกล้าใช้หน้ากากผีมาเดิมพันในครั้งนี้
แต่ว่า…
สุดท้ายในปีนั้นเขาก็เลือกทรยศ เลือกเส้นทางที่เขาต้องการเดิน
เป่ยเฉินอี้ก้มหน้าลง เอ่ยเบาๆ “อาซี บางทีเจ้าอาจไม่รู้ ถึงข้าเป็นอ๋องของเป่ยเฉิน แต่ก็เป็นลูกของพระสนม มารดาข้าเป็นเพียงหญิงขับร้อง ยามที่เสด็จพ่อเมามายถึงได้โปรดปรานนาง จนมีข้า”
เยี่ยเม่ยเงียบลง รอฟังเขาเล่า
“ต่อให้ให้กำเนิดองค์ชาย แต่ด้วยฐานะของนางก็ไม่มีโอกาสสูงศักดิ์ได้เพราะลูก ดังนั้นพวกเราสองแม่ลูกจึงมิได้รับความโปรดปราน ถูกรังแกอยู่ในวังหลวง เสด็จแม่ของข้าล้มป่วยจนตาย ไม่มีหมอหลวงมาตรวจอาการแม้แต่คนเดียว ไม่มีใครสนใจความเป็นตายของพวกเรา ข้าได้แต่มองดูนางตายอยู่ในอกของข้า” เป่ยเฉินอี้เล่าไปกระบอกตาก็แดงเรื่อ
เขามองเยี่ยเม่ย ยิ้มออกย่างขมขื่นเล่าต่อว่า “ก่อนเสด็จแม่ตายจาก บอกว่าข้าต้องช่วยนางระบายโทสะ ข้าเข้าใจดีว่าทุกอย่างเป็นเพราะข้าเกิดมา ดังนั้นข้าร้อนรนอยากสลัดฐานะลูกนางสนม เพื่อเปลี่ยนชะตาชีวิตของตน เปลี่ยนเป่ยเฉินอี้ที่เคยได้รับแต่การรังแก มีชะตาชีวิตอ้างว้างเดียวดายในวังหลวง ข้าจึงค่อยๆ แสดงความสามารถในการวางแผน ตอนข้าอายุสี่ขวบ ได้ถวายสัตย์สาบานจะกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ เสด็จพ่อก็ให้ความสำคัญกับข้า แต่ว่ายามแต่งตั้งรัชทายาท เขากลับเลือกเป่ยเฉินเซี่ยว สาเหตุก็ยังคงเป็นเพราะชาติกำเนิดของข้า!”
ครั้นเล่ามาถึงตรงนี้ เยี่ยเม่ยก็เข้าใจแล้ว ดังนั้นเพราะอะไรเป่ยเฉินอี้ถึงรีบร้อนอาศัยความพยายามของตนเพื่อเปลี่ยนชะตาชีวิต เพราะชาติกำเนิดของเขาทำให้ได้รับการปรนนิบัติอย่างอยุติธรรม
แต่นางไม่อาจอภัยเขาได้เพราะเหตุนี้
เป่ยเฉินอี้ถอนหายใจเบาๆ เขาเล่าต่อด้วยเสียงขรึม “แต่ในยามนี้เสด็จพ่อกลับให้โอกาสข้าครั้งหนึ่ง ยามที่เสด็จพ่อแต่งตั้งรัชทายาทนั้นพระองค์กำลังป่วยหนัก เสด็จพ่อทรงมอบราชโองการให้ข้าต่อหน้าเป่ยเฉินเซี่ยว หากภายในยี่สิบปีนี้ ข้าสามารถสยบดินแดนสามแคว้นให้สงบสุขได้ เป่ยเฉินเซี่ยวต้องส่งต่อบัลลังก์ให้ข้า!”
“ในเวลานั้นข้าเพิ่งอายุสี่ขวบ เป่ยเฉินเซี่ยวไม่สนใจข้า ดังนั้นต่อให้มีราชโองการฉบับนั้น เขาก็ไม่คิดป้องกัน ทั้งยังให้ข้ามีชีวิตรอดอยู่ท่ามกลางการต่อสู้ทางการเมืองมาได้ แต่ก็เพราะเรื่องหลังจากนั้น!”
จากนั้นเป่ยเฉินอี้เล่าต่อ “หลังจากผ่านไปหลายปี ข้าเข้มแข็งขึ้น จนกระทั่งปีที่อายุสิบเจ็ด ข้าเริ่มลงมือ! ในยามนั้นยังมีอีกสามแคว้นที่เข้มแข็งทัดเทียมกับราชสำนักเป่ยเฉิน ทั้งสี่แคว้นต่างก็มีความเข้มแข็งของตัวเอง ในระยะเวลาสั้นๆ ไม่กี่ปี ข้าสยบสองดินแดนนั้นได้ เป้าหมายสุดท้ายก็เหลือเพียงราชสำนักจงเจิ้งเท่านั้น!”
ครั้นเล่ามาถึงตรงนี้ สายตาที่เขามองเยี่ยเม่ยก็ลุ่มลึกขึ้น
ไม่ช้า เขาหัวเราะเสียงเบาเล่าว่า “ในเวลานี้ เป่ยเฉินเซี่ยวเริ่มรู้สึกถึงความอันตราย เขาคิดให้เสินเซ่อเทียนกำจัดข้า แต่วรยุทธ์ของข้าในยามนั้น ถึงแม้ไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้เสินเซ่อเทียนได้ แต่ก็ห่างไกลกันไม่มาก อาศัยอำนาจในมือของข้าตอนนั้น ต่อให้เป็นเสินเซ่อเทียน ก็ไม่กล้าผลีผลามลงมือ ดังนั้นข้าจึงไปที่ราชสำนักจงเจิ้ง!”
จากนั้นเขาก็ยิ้มขมขื่น “อาซี เจ้าพูดไม่ผิด นับตั้งแต่แรกเป้าหมายของข้าก็คือหลอกใช้เจ้า ขอเพียงหลอกใช้เจ้าทำลายราชสำนักจงเจิ้งได้ เช่นนั้นก็เท่ากับว่าข้าทำตามราชโองการของเสด็จพ่อได้ในภายเวลายี่สิบปี ไม่ว่าเป่ยเฉินเซี่ยวจะยินยอมหรือไม่ ขอเพียงราชโองการฉบับนั้นเผยออกมา เขาก็ต้องมอบตำแหน่งให้ข้า อีกอย่างเป่ยเฉินอี้ในเวลานั้นก็ไม่มีใครกล้าดูแคลนอีก!”
ในเวลานั้นเขาชนะทุกศึก การโจมตีแว่นแคว้นแข็งแกร่งสองแคว้น ภายในสายตาของคนจำนวนมากถึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะกับการเป็นกษัตริย์ ในเวลานั้นสิ่งที่คุกคามเป่ยเฉินเซี่ยวหาใช่เพียงแค่ราชโองการฉบับนั้น ซ้ำยังเป็นฐานะของเป่ยเฉินอี้ในจิตใจของเหล่าขุนนางและประชาชนด้วย
“ขอเพียงล้มราชสำนักจงเจิ้งลงได้ รวบรวมแผ่นดินของจงเจิ้งเข้ามาเป็นดินแดนของเป่ยเฉิน เป่ยเฉินอี้ก็จะเปลี่ยนแปลงฐานะของตัวเองในสายตาทุกคน เปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตอันต่ำต้อยได้ แต่ว่า…” เมื่อถึงตรงนี้ เขาก็หัวเราะขมขื่นออกมา
เยี่ยเม่ยมองเขา ถามออกว่า “ท่านทำได้ แล้วทำไม…ท่านไม่ได้เป็นฮ่องเต้ ซ้ำยัง…”
หรือว่า… เขาถูกฮ่องเต้ตลบหลัง
“เพราะเจ้า!”
เป่ยเฉินอี้มองนาง สายตาจริงจังอย่างไม่เคยพบเห็นมาก่อน เอ่ยปากเสียงขรึมว่า “เยี่ยเม่ย! เป็นเพราะเจ้า เพราะข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าข้าจะรักเจ้า ยามที่ทหารของเป่ยเฉินทำลายวังของจงเจิ้ง จู่ๆ เสด็จพี่ก็คล้ายคนคลุ้มคลั่ง สั่งให้สังหารคนของจงเจิ้งทั้งหมด รวมถึงชาวบ้านในเมืองหลวงด้วย ข้าเข้าใจดี เพราะว่าเขาแพ้แล้ว การเดิมพันยี่สิบปีนี้ เขาสูญเสียตำแหน่งฮ่องเต้ไป เขาจำเป็นต้องระบายโทสะในใจ…”