ตอนที่ 144 ภาพบนผนัง

เศษกระจกปักเข้าที่หัวของชายที่ตัดผมทรงทหารราวกับสวมเครื่องประดับศีรษะ เลือดเริ่มไหลซึมลงมาอย่างช้าๆ

เขายืนนิ่งประมาณสองสามวินาที และเดินเซไปมาอยู่หลายก้าว ก่อนจะล้มลงท่ามกลางเสียงกรีดร้องของผู้คนรอบข้าง

โจวเจ๋อเคยอ่านบันทึกความทรงจำของทหารอาชญากรสงครามญี่ปุ่นบางคน ข้างในเคยมีคนเขียนว่าศพหลังจากที่ถูกตัดหัวขาดไปแล้วเหมือนว่ายังสามารถชักกระตุก รวมไปถึงหัวที่ตกลงพื้นยังสามารถขยับดวงตาได้สองสามครั้งด้วย

บางทีอาจจะเป็นเพราะเสียชีวิตอย่างกะทันหันและเด็ดขาดจนเกินไป ไม่ใช่แค่เจ้าตัวที่ไม่ทันได้รู้ตัวเท่านั้น แม้แต่ร่างกายก็ดูเหมือนว่าจะไม่ทันได้ตอบสนองเลยด้วยซ้ำ

ด้านล่างของหอพักวุ่นวายอีรุงตุงนังไปหมด

โจวเจ๋อวางมือทั้งสองไว้บนราวจับพลางถอนหายใจ แล้วมองนักพรตเฒ่า

ในเวลานี้นักพรตเฒ่าสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ตกใจกลัวจนใบหน้าซีดเซียว

“เถ้าแก่…”

“เฮ้อ คุณดูเอาเถอะ คนดีๆ คนหนึ่ง ถูกปากพาซวยของคุณบีบคั้นจนตายไปเลย”

“…” นักพรตเฒ่า

นักพรตเฒ่าเสียใจมาก เขาไม่ได้ต้องการให้เป็นแบบนั้นเสียหน่อย เขาหวังว่าชายที่ตัดผมทรงทหารจะมีชีวิตยืนยาว ร่างกายอึดถึกทนชนิดที่คืนหนึ่งได้สิบแปดรอบประมาณนั้น

แต่เขาตายแล้ว และตายอย่างกะทันหันอย่างนี้ ถ้าอย่างนั้นภาพวาดทั้งหก ก็เหลือเพียงภาพเดียวแล้วสินะ

มีภาพยนตร์ซีรีส์เรื่องหนึ่งที่รู้จักกันดีในชื่อว่า ‘โกงความตาย’ ตอนนี้นักพรตเฒ่ารู้สึกว่าเขาได้กลายเป็นตัวละครในเรื่องนี้ และมันได้บอกคุณอย่างแจ่มแจ้งชัดเจนว่า คุณกำลังจะตาย แล้วยังบอกคุณอีกว่าคุณจะตายอย่างไร

จริงๆ แล้วตายอย่างกะทันหันแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยยังจะดีกว่า ปล่อยให้คุณได้ตายสบายๆ ไม่ต้องมีความเจ็บปวดใดๆ

ในเวลานี้นักพรตเฒ่าอิจฉาชายที่ตัดผมทรงทหารคนนั้นขึ้นมาเล็กน้อยจริงๆ เกิดอุบัติเหตุโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวแล้วก็จากไปเลย แต่ตอนนี้เขายังต้องแบกรับความทนทุกข์ทรมานที่ไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไร

นี่มัน…อยู่ไม่สู้ตายชัดๆ

เมื่อมองเถ้าแก่ที่อยู่ข้างๆ เขากลับกำลังสูบบุหรี่อยู่

“ลงไปดูหน่อยแล้วกัน”

หลังจากโจวเจ๋อพูดจบ เขาก็เดินนำหน้าออกไปจากห้องนอน ในเวลานี้นักพรตเฒ่าไม่กล้าอยู่ห่างจากโจวเจ๋อไปโดยปริยาย ถึงอย่างไรเขาก็ตัดสินใจเอาไว้แล้ว แม้ว่าโจวเจ๋อจะไปเข้าห้องน้ำเขาก็จะตามติดไปด้วยอย่างใกล้ชิด

ที่ประตูใหญ่ตรงชั้นหนึ่งของอาคารหอพัก มีกลุ่มนักเรียนยืนล้อมรอบศพของชายที่ตัดผมทรงทหารอยู่ และยังมีครูผู้ดูแลหอพักอีกหลายคนรักษาความสงบเรียบร้อยอยู่ภายใน

ความรู้สึกแบบนี้ มันประหลาดมาก เพราะเวลานี้ควรโทรแจ้งรถพยาบาลกับแจ้งตำรวจสิถึงจะถูก ความเป็นจริงนั้นพวกเขาก็โทรแจ้งแล้ว และทำทุกอย่างที่ควรทำไปแล้ว แต่ดูเหมือนว่าการที่มีคนตายกลางวันแสกๆ นั้นเป็นแค่เรื่องใหญ่ที่น่าตื่นตระหนกตกใจในมุมหนึ่งของโรงเรียนเท่านั้น

นักเรียนที่อยู่ด้านหน้า ควรจะไปโรงเรียนก็ไปโรงเรียน ควรจะไปกินอาหารเช้าที่โรงอาหารก็ไปกินอาหารเช้า ราวกับไม่ได้สนใจเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ

โจวเจ๋อเขี่ยบุหรี่ เงยหน้าขึ้นมองอาคารหอพักหลังนี้

นักพรตเฒ่าหวาดกลัวจนตัวสั่นอยู่ข้างๆ แอบเหลือบมองศพของชายที่ตัดผมทรงทหาร และรีบเบนสายตาออกไปทันที เมื่อคิดว่าเขากำลังจะเดินตามรอยไป ในใจของนักพรตเฒ่าก็รู้สึกทรมานเหลือทน

โจวเจ๋อนั่งลงบนขั้นบันได เฝ้ามองดูทุกสิ่งรอบๆ ตัวเขาต่อไปราวกับเป็นผู้ชมคนหนึ่ง

“เถ้าแก่ เรากลับกันก่อนดีกว่ามั้ง” นักพรตเฒ่าเสนอ

เขาไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว เขาอยากกลับไปที่ร้านหนังสือ อย่างน้อยๆ ร้านหนังสือก็ช่วยให้เขารู้สึกปลอดภัยได้บ้าง

โจวเจ๋อส่ายหน้า “ไปไม่ได้”

ไม่ได้ตอบว่า ‘ไม่ไป’ แต่ตอบว่า ‘ไปไม่ได้’

นักพรตเฒ่าชะงักไปครู่หนึ่ง เขาสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติ

โจวเจ๋อหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในหอพักอีกครั้ง และตรงไปหาที่นั่งในห้องทำงานของครูผู้ดูแลหอพัก หยิบใบชาของพวกเขามาชงสักถ้วย

นักพรตเฒ่ายืนอยู่ข้างๆ เหมือนกับนกกระทาตัวเล็กๆ

เขาไม่รู้ว่าโจวเจ๋อกำลังคิดจะทำอะไร แต่ราวกับว่าเถ้าแก่ของเขาดูเหมือนจะจับจุดข้อมูลอะไรบางอย่างได้แล้ว แม้จะไม่รู้ว่าเถ้าแก่กำลังแสร้งทำเป็นไม่สะทกสะท้านหรือไม่สะทกสะท้านจริงๆ แต่อย่างน้อยก็ทำให้ในใจเขามีความหวังขึ้นมาบ้าง

พวกนักเรียนต่างก็เข้าเรียนกันหมดแล้ว และในอาคารหอพักก็เงียบขึ้นมาก

เหล่าอาจารย์ผู้ดูแลหอพักยังไม่กลับมา ไม่มีใครกลับมาห้องทำงานแม้แต่คนเดียว อาจจะกำลังยุ่งอยู่กับเรื่องศพของชายที่ตัดผมทรงทหารอยู่ก็ได้

ตำรวจไม่มา

รถพยาบาลก็ไม่มา

หลังจากนั่งดื่มชาไปแล้วสองถ้วยและเวลาผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมงแล้ว โจวเจ๋อก็เดินออกจากห้องทำงาน

ทางเข้าหอพักทุกแห่งมีกระติกน้ำร้อนวางเรียงเป็นแถว ก่อนจะออกจากหอพักไปเข้าเรียนในตอนเช้า พวกนักเรียนจะหยิบกระติกน้ำร้อนของตัวเองออกมาวางไว้ด้านนอก จากนั้นก็จะมีป้าแม่บ้านที่ดูแลโดยเฉพาะถือท่อพลาสติกมาเติมน้ำที่ต้มแล้วลงไปในกระติกน้ำร้อนเหล่านี้

เนื่องจากน้ำที่ต้มแล้วเหล่านี้ไหลผ่านท่อพลาสติก ดังนั้นจึงมีกลิ่นพลาสติกอยู่บ้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยทั่วไปแล้วพวกนักเรียนไม่ใช้ดื่มกิน แต่เอาไว้ซักเสื้อผ้าหรือแช่เท้าเท่านั้น

ในเวลานี้ป้าแม่บ้านคนหนึ่งเข้ามาพร้อมกับปืนฉีดน้ำพลาสติกเตรียมจะเติมน้ำพอดี เธอเดินมาจากอีกฝั่งของระเบียงทางเดิน กำลังเดินมาทางฝั่งนี้อย่างช้าๆ

โจวเจ๋อยืนนิ่งอยู่ตรงนั่น นักพรตเฒ่ายืนอยู่ข้างโจวเจ๋อ ดูเหมือนว่าป้าแม่บ้านคนนั้นจะมองไม่เห็นโจวเจ๋อ ยังคงตรงมาทางนี้เรื่อยๆ

“นักพรตเฒ่า คุณรู้สึกว่ามันแปลกๆ บ้างไหม ที่นี่มีเรื่องราวประหลาดๆ เยอะมากเกินไปหน่อย” โจวเจ๋อพูด

“อื้อ”

“ก่อนอื่นเลยก็คือ ซุนชิวตายแล้วแต่กลับยังคงดำเนินชีวิตตามความเคยชินของเขา แม้ว่าจะมีรอยจ้ำหลังจากตายโชว์หราอยู่บนร่างกายก็ตาม แต่ก็ไม่มีใครสังเกตเห็น จากนั้นก็มีเรื่องราวไม่คาดคิดทยอยเกิดขึ้นมาทีละอย่าง แล้วก็มีภาพแปลกๆ ปรากฏออกมาทีละภาพ

หรือว่าตึกหอพักแห่งนี้จะเป็นสถานที่ชั่วร้ายที่ร้อยปียากที่จะพบได้สักครั้ง ดังนั้นถึงได้มีภูตผีและตัวประหลาดมากมายผุดขึ้นมา ถ้าอย่างนั้นทำไมก่อนหน้านี้ถึงไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรเลย แต่กลับระเบิดออกมาตรงๆ ในช่วงนี้”

“เอ่อ…เถ้าแก่ เจ้าหมายความว่ายังไงกันแน่”

โจวเจ๋อเงียบไปพักหนึ่ง เมื่อคิดๆ ดูแล้วก็เอ่ยขึ้น “ผมคิดว่าพวกเรากลับกันเถอะ”

“ครับผม”

นักพรตเฒ่าคนนี้เต็มใจอย่างยิ่ง ไม่ว่าเขาจะประสบอุบัติเหตุหรือไม่ แต่ตายอยู่ที่นี่หรือตายที่ร้านหนังสือ เขาเต็มใจเลือกอย่างหลังมากกว่า

ทั้งสองเดินไปที่ประตูหอพักด้วยกัน ศพของชายที่ตัดผมทรงทหารด้านนอกถูกจัดการไปแล้วเรียบร้อย

โจวเจ๋อยืนอยู่บนบันไดหน้าประตู ไม่ได้รีบร้อนเดินลงไป แต่มองนักพรตเฒ่าเดินออกไปทีละก้าว

เมื่อนักพรตเฒ่ากำลังจะเดินออกจากเขตหอพัก โจวเจ๋อเงยหน้าขึ้น เขาเห็นตึกโค้งลงมา ราวกับจะทรุดอย่างไรอย่างนั้น

นักพรตเฒ่าไม่ได้เอะใจอะไรกับมัน ยังคงเดินไปตามทางของตัวเองเรื่อยๆ

“นักพรตเฒ่า อย่าขยับ” โจวเจ๋อเตือน

“อะไรนะ”

นักพรตเฒ่าก้าวออกไปอีกก้าวแล้วหันกลับมา

เพียงชั่วพริบตา เลือดสาดออกมาจากหน้าต่างหอพักด้านบนสักห้อง แล้วพุ่งไปทางนักพรตเฒ่า นี่น่าจะเป็นห้องที่โจวเจ๋อเจอภาพที่วาดด้วยปากกามาก่อน มันน่าจะอยู่บนชั้นสาม แต่ตอนนี้เป็นเพราะว่าทั้งตึกแห่งนี้โค้งงออย่างแปลกประหลาด ทำให้หน้าต่างของห้องนี้ตรงกับจุดที่นักพรตเฒ่าอยู่พอดิบพอดี

เมื่อเลือดพุ่งทะยานออกมา นักพรตเฒ่าก็ถูกกวาดม้วนเข้าไป

“เวร…”

นี่เป็นคำสุดท้ายที่นักพรตเฒ่าพูดออกมาทัน ทั้งกายและใจของเขาแทบจะสลายไปหมดแล้ว ผีจะมากี่ตนนั้นไม่เคยว่า และไม่ใช่ว่าเขาจะไม่เคยเห็นผีมาก่อน

แต่ทว่าตึกขนาดใหญ่แห่งนี้กลับโค้งงอราวกับกำลังเต้นระบำรูดเสาไปเสียได้ ใครล่ะจะเคยเห็นบ้าง

เวรเอ๊ย เล่นแบบนี้เลยเหรอวะ!

โจวเจ๋อหันกลับมามองผู้หญิงที่ยังคงเทน้ำต้มลงในกระติกน้ำร้อนด้านหลังเขา

เพียงแต่กระติกน้ำของผู้หญิงคนนั้น ราวกับว่าเติมเท่าไรก็ไม่เต็มสักที หยุดอยู่ที่กระติกน้ำร้อนใบนั้นมาตลอด อีกทั้งด้านในยังมีเสียงน้ำดังออกมาอย่างต่อเนื่อง

ถ้าพูดตามคนมีประสบการณ์ชีวิต เวลาเทน้ำลงในกระติกน้ำร้อน เสียงจะเปลี่ยนไปตามระดับน้ำที่เพิ่มขึ้น แต่ในที่นี้กลับไม่เปลี่ยนไปเลย

“นี่ กระติกมันรั่วแล้ว”

โจวเจ๋อชี้ไปที่กระติกน้ำร้อนและเตือนผู้หญิงคนนั้น

ผู้หญิงคนนั้นชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะหันหน้ากลับมามองโจวเจ๋อ ใบหน้าของเธออัดแน่นไปด้วยรังแตนเต็มไปหมด เหมือนกับตาปลาบนผิวหนังนับไม่ถ้วน และบางที่ยังเปิดๆ ปิดๆ และคลายออกเหมือนไม่ได้ตั้งใจอีกด้วย

เป็นภาพที่น่าสยดสยองมาก น่าขยะแขยงจริงๆ

ผู้หญิงคนนั้นยังคงถือท่อน้ำพลาสติกอยู่ในมือ และนักพรตเฒ่ายังคงดิ้นรนอยู่ในน้ำเลือดที่ด้านนอกหอพัก ท่ามกลางน้ำเลือดนั้นสามารถมองเห็นเงาสีดำสองสามเงากำลังเข้าใกล้เขาอย่างช้าๆ และเงาดำก็ถือมีดวาววับเล่มใหญ่ไว้ในมือ

โจวเจ๋อเดินเข้าไป กำลังจะเข้าไปรับเอาท่อน้ำจากในมือหญิงสาว

รอยยิ้มน่าหวาดผวาปรากฏบนใบหน้าของหญิงสาว ทันใดนั้นท่อน้ำก็บิดม้วนขึ้นมาพันรอบตัวโจวเจ๋อ สิ่งที่ไม่มีชีวิตก่อนหน้านี้ ในตอนนี้ราวกับกลายเป็นงูหลามยักษ์ที่มีชีวิต!

เล็บทั้งสิบนิ้วของโจวเจ๋องอกยาวออกมา เขาไม่ได้ต่อต้านงูหลามยักษ์ แม้ว่าอีกฝ่ายรัดเขาเอาไว้ก็ตาม จนกระทั่งโจวเจ๋อได้ยินเสียงกระดูกในร่างกายของเขาแตกหักอย่างชัดเจน

พูดจริงๆ นะ มันค่อนน่าฟังเลยทีเดียว

ที่ปากทางเข้าโถงทางเดินไกลๆ นั้น เด็กชายครึ่งท่อนเริ่มคลานมาทางนี้อีกครั้ง ดิ้นรนไปมาราวกับหมาบ้า และในปากก็ขมุบขมิบคำรามอะไรสักอย่าง

อีกด้านหนึ่ง ซุนชิวที่เต็มไปรอยจ้ำหลังจากตายก็เดินโซซัดโซเซมาทางนี้ด้วยความมึนงง

ชายที่ตัดผมทรงทหารก็ปรากฏตัวขึ้นเช่นกัน เศษกระจกยังปักอยู่ที่ศีรษะของเขาตรงนั้น เลือดสดๆ ไหลรินลงมา

แม้กระทั่งรองเท้าหนังที่โจวเจ๋อกำจัดไปแล้ว ก็ไม่รู้ว่าผุดออกมาจากไหน ส่งเสียงดัง ‘ตึงตังๆ’ ไม่หยุด

“เผยไต๋ออกมาแล้วสินะ เพราะพวกคุณรู้ว่าผมเห็นมันชัดเจนแล้วใช่ไหม”

โจวเจ๋อพึมพำกับตัวเอง

ไกลออกไป นักพรตเฒ่าจมลงไปท่ามกลางน้ำเลือดแล้ว เหลือเพียงพื้นที่ให้หายใจและมีฟองอากาศผุดขึ้นมาเป็นครั้งคราวเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าเขายืนหยัดต่อไปไม่ไหวแล้ว

เงาดำเหล่านั้นดูเหมือนกำลังจะเข้าใกล้เขา และท่ามกลางน้ำเลือด มีเงาร่างผอมพรียวสายหนึ่ง มันไม่ใช่มนุษย์ แต่มันเป็นเหมือนแมวที่กำลังรอคอยอาหารเย็นของมัน

เล็บของโจวเจ๋อไม่ได้กวาดไปรอบๆ แต่กลับเจาะตรงเข้าหน้าอกของตัวเองด้วยความแน่วแน่และเด็ดเดี่ยว ขณะเดียวกันก็หมุนวนหนึ่งรอบ

‘ฉึก…’

ความเจ็บปวดนั้นชัดเจนมาก กระทั่งร่างกายของโจวเจ๋อเริ่มชักกระตุก แต่ในเวลานี้เอง ภาพรอบๆ ตัวเริ่มหดถอยกลับไปอย่างรวดเร็ว ผู้หญิงถอยออกไป ชายที่ตัดผมทรงทหารผู้ดูแลหอพักถอยออกไป เด็กชายครึ่งท่อนถอยออกไป รองเท้าหนังเริ่มถอยออกไป และแม้แต่ตึกหอพักที่โค้งงอก็กลับมาเป็นปกติ

ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนจะกลับคืนสู่ปกติ

ท่ามกลางการพลิกกลับอย่างรวดเร็วทั้งหมดนี้ ดูเหมือนว่าโจวเจ๋อจะเห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ลึกเข้าไปในทางเดินและมองมาที่เขา ลักษณะของเด็กผู้หญิงคนนั้นดูคุ้นๆ

‘พึ่บ!’

เสียงดังคมชัดสะท้อนมา

เสียงของหน้าหนังสือถูกพับปิดลง

‘เฮือก…แฮกๆๆ…แคกๆ…’

นักพรตเฒ่าหายใจหอบถี่และแผ่หลาอยู่บนสนามหญ้า ขณะเดียวกันก็ไออย่างรุนแรง สองมือกุมคอของตัวเองแน่น ผ่านไปพักหนึ่งถึงได้ค่อยๆ สงบสติลง จากนั้นก็มองไปรอบๆ อย่างอธิบายไม่ถูก

เขาเห็นโจวเจ๋อยืนอยู่ข้างๆ พร้อมกับถือสมุดบันทึกที่พับปิดอยู่ในมือ

เสียงที่ดังคมชัดก่อนหน้านี้เป็นเสียงที่ดังออกมาจากสมุดบันทึกที่โจวเจ๋อพับปิด

โจวเจ๋อแหงนหน้าขึ้น ดูเหมือนจะรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่หน้าอกอยู่

“เถ้าแก่…นี่มันเกิดอะไรขึ้น” นักพรตเฒ่านึกว่าเขากำลังจะตาย แต่ทำไมจู่ๆ ถึงได้กลับตาลปัตรได้ล่ะ

“คุณลองคิดดูให้ดีว่าเราเข้ามาได้ยังไง” โจวเจ๋อพูดช้าๆ

“เราขับรถเข้ามา ข้าหลอกยามที่หน้าประตูโรงเรียนแล้วขับเข้ามา จากนั้นเราก็ลงจากรถ เดินไปเขตที่อยู่อาศัย แล้วก็หาตึกบีเจอ แล้วพวกเราก็แอบเข้าไป หลังจากเจอซุนชิวแล้วก็มีเรื่องทะเลาะวิวาทกับผู้ดูแลหอพัก…”

“คุณลองคิดให้ละเอียดหน่อย” โจวเจ๋อเตือน

“ละเอียดหรือ” นักพรตเฒ่าเกาหัว จากนั้นก็เผยสีหน้าตกใจ “เรา…เรา…พวกเราขับรถเข้ามาไม่ผิดแน่ แต่เมื่อพวกเราลงรถ ดูเหมือนว่าจะเห็นแมวดำตัวหนึ่ง แมวดำตัวนั้นจ้องเราจากสนามหญ้า ข้ายังพูดอยู่เลยว่าเราจะจับเอามันไปเป็นสัตว์เลี้ยง

จากนั้นเราเดินไปที่สนามหญ้า และพบว่าแมวดำหายไปแล้ว แต่มีสมุดบันทึกอยู่บนพื้น และเถ้าแก่ก็หยิบสมุดบันทึกขึ้นมา ข้ายังถามเจ้าอีกว่ามีอะไรเขียนไว้หรือวาดอะไรไว้บนนั้นหรือไม่…แล้ว…แล้วพวกเราก็…”

โจวเจ๋อมองสมุดบันทึกเก่าๆ ขาดๆ ในมือของเขา เขาไม่กล้าเปิดไปหน้าใดๆ ในนั้นอีก

“เถ้าแก่ หอพักตึกนั้นอยู่ไหนแล้วล่ะ” นักพรตเฒ่ามองไปรอบๆ และพบว่ามีบางอย่างขาดหายไป

“คุณลองดูหอพักอื่นที่อยู่ใกล้ๆ สิ บนนั้นทำเครื่องหมายอะไรไว้บ้าง”

“ตึกหนึ่ง ตึกสอง ตึกสาม…” นักพรตเฒ่านับ จากนั้นเขาก็หยุดนับอย่างช้าๆ ที่นี่ตั้งชื่อแยกหอพักแต่ละหลังตามเลขอารบิก ไม่ได้ตั้งชื่อตามตัวอักษรภาษาอังกฤษเลย!

“เถ้าแก่…ถ้าอย่างนั้นตึกบีล่ะ ตึกบีอยู่ที่ไหน”

โจวเจ๋อชี้ไปที่สมุดบันทึกในมือของเขา

“ตึกบีก็วาดอยู่ในนี้ยังไงล่ะ”

………………………………………………