Ch.88 – ได้แค่ขับไล่

Translator : Muntra / Author

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.88 – ได้แค่ขับไล่

 

ในเวลานี้ ราชันย์อัศวินไล่ค้นหาบางสิ่งบางอย่างท่ามกลางภูเขาแม่อย่างบ้าคลั่ง แต่มันก็ไม่ค้นพบอะไรเลย

 

ด้วยความโกรธ ราชันย์อัศวินตัดสินใจวิ่งฝุ่นตลบด้วยความสิ้นหวัง ตรงไปยังทิศทางค่ายของมนุษย์

 

ในขณะที่มันใกล้เข้ามา อุปกรณ์สื่อสารของทุกคนในตำแหน่งดังกล่าวก็เกิดการสั่นไหวอย่างรุนแรง

 

“อพยพ! โปรดทำการอพยพโดยด่วน!”

 

“ขอให้ผู้ใช้พลังระดับต่ำรีบหนีไปโดยเร็วที่สุด!”

 

“ระดับราชันย์ … สัตว์ร้ายระดับราชันย์กำลังบุกเข้ามา!”

 

บังเกิดความโกลาหลขึ้นภายในค่าย

 

ในจังหวะเดียวกันนั้นเอง แสงไสวก็พลันพุ่งทะยานขึ้นจากท่ามกลางความมืดมิด

 

“มาได้จังหวะจริงๆ!”

 

เสียงนี้แม้ชราภาพ แต่ก็เปี่ยมไปด้วยพลัง รูนนับไม่ถ้วนพรั่งพรูออกมา สาดแสงจนเปลี่ยนกลางคืนให้ราวกับกลายเป็นกลางวัน

 

ร่างที่แก่ชรา แต่แข็งแกร่งปรากฏตัวขึ้นหน้าค่าย ห่างออกไปราวๆ 100 เมตร

 

“นั่นมันผู้อำนวยการของสถาบันระดับสูง! ผู้ใช้อบิลิตี้แสงเติ้งเหนียน!”

 

เติ้งเหนียนเป็นผู้ใช้อบิลิตี้แสง เขาทรงพลัง แต่ก็มีอายุมากแล้วเช่นกัน

 

ยิ่งไปกว่านั้น เขายังกล่าวได้ว่าเป็นสมบัติของสถานที่ชุมชนทางตอนเหนือ และยังไม่เคยเข้าร่วมปฏิบัติการปิดล้อมมาก่อน ฉากนี้เลยพลอยทำให้ผู้คนเขตเฉิงเป่ยกลัวว่าเขาจะพลาดท่า และไม่อาจถอนตัวออกมาได้

 

เพราะท้ายที่สุดแล้ว ในกองทัพซากศพน่ะมีการดำรงอยู่ของนักฆ่าในเงามืดอย่างซากศพแห้งกรัง ดังนั้นจึงมีแนวโน้มว่าเติ้งเหนียนอาจถูกลอบสังหารเช่นกัน

 

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ราชันย์อัศวินได้บุกมาถึงที่แล้ว ทางฝั่งเติ้งเหนียนเองก็แลดูจะมีความสุขมาก ทั้งคนทั้งร่างโถมปะทะเข้าใส่มันโดยตรง

 

แสงสว่างแปรเปลี่ยนเป็นลำแสง พุ่งเข้าหาราชันย์อัศวิน

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า มาได้จังหวะจริงๆ จงอยู่เป็นเพื่อนเล่นกับฉันที่นี่ซะดีๆ!”

 

-ผู้ใช้อบิลิตี้เลเวล E ก้าวเข้าสู่สมรภูมิ เข้าเผชิญหน้ากับราชันย์อัศวินแล้ว!

 

หึ่งงงงง!

 

อุปกรณ์สื่อสารของฉินเฟิงสั่นไหวอย่างแรง

 

เป็นโจวฮ่าวที่โทรมา

 

ฉินเฟิงกดรับสาย

 

“เจ้าบ้าเอ๊ย นายไปมุดหัวอยู่ที่ไหนเนี่ย?”

 

“แค่ออกมาวิ่งเล่นตอนกลางคืนน่ะ!” ฉินเฟิงได้รับหอกเหล็กดารามาในครอบครอง ดังนั้นเขาจึงอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง และกล่าวติดตลกออกไป

 

“ถ้าอย่างนั้นนายไม่ต้องกลับมาที่ค่ายนะ ตอนนี้ไอ้ราชันย์อัศวินมันกำลังวิ่งลงเขามา ทางฉันจะช่วยลากรถนายออกไปเองสบายใจได้ ขอให้มุ่งสมาธิไปกับความปลอดภัยของตัวเองซะ!”

 

“แย่หน่อยนะ แต่พอดีว่าฉันกลับมาแล้ว”

 

ฉินเฟิงไม่คาดคิดเลยว่าโจวฮ่าวจะเชื่อคำพูดของเขา เจ้าตัวอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขบขัน

 

ถ้าเขาเอ่ยประโยคนี้กับคนอื่น ทั้งหมดคงคิดว่าฉินเฟิงชิงหลบหนีจากแนวหน้าไปแล้ว!

 

ฉินเฟิงเดินไปยังทิศทางเต็นท์ของทั้งสอง เขาพบว่าโจวฮ่าวใช้เชือกเกี่ยวกับรถของฉินเฟิงเรียบร้อยแล้ว ขณะเดียวกันก็หันไปมองรอบๆ พอเห็นฉินเฟิงเขาก็โบกมือให้

 

“เร็วเข้า เร่งมือหน่อย ถ้าหนีไม่ทันพวกเราจะรอดรึเปล่าก็ไม่รู้!” โจวฮ่าวสตาร์ทรถ

 

ฉินเฟิงพาไป๋หลีเข้าไปในรถล่องเวหา ไป๋หลีในปัจจุบันยังไม่ได้เปลี่ยนกลับร่างเดิม ก็ขึ้นไปบนรถด้วยทั้งๆแบบนั้น

 

แม้ฉินเฟิงจะสามารถลวงราชันย์อัศวินลงมาจากภูเขาได้ แต่ก็ทำให้เกิดความโกลาหลขึ้นภายในค่าย แต่สถานการณ์โดยรวมนับว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะที่นี่คือแหล่งรวมตัวของผู้ใช้พลังในเลเวล E พวกเขาน่าจะร่วมมือกันกดดัน และสามารถสังหารมันลงได้

 

การต่อสู้เริ่มขึ้นในเวลาตี 3 ลากยาวมาจนถึงช่วงเช้า ตำแหน่งที่ตั้งค่ายในปัจจุบัน ได้กลายสภาพเป็นซากปรักหักพังไปแล้ว

 

“ฟังดูเหมือนเสียงต่อสู้จะหายไปแล้วนะ”

 

“มันจบแล้วงั้นหรอ?”

 

“ข้างหน้าเป็นยังไงบ้าง?”

 

คนกลุ่มหนึ่งอดไม่ไหวต้องเอ่ยออกมา

 

ฉินเฟิงยังคงอยู่ในรถล่องเวหา แม้ความแข็งแกร่งของเขาจะเพิ่มพูนขึ้นเป็นอย่างมากในค่ำคืนเดียว แต่ฉินเฟิงก็ยังไม่ลืมที่จะฝึกฝน เพราะน่ากลัวว่าตอนนี้จะไม่มีผู้ใช้วรยุทธโบราณให้เขาสังหารเล่นเพื่อช่วงชิงกำลังภายในอีกแล้ว ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่เขาจะต้องหันมาขยันฝึกฝนกำลังภายใน เพื่อไม่ให้คุณภาพของมันตกลง

 

ในช่วงเวลานั้นเอง กระจกรถของฉินเฟิงก็ถูกเคาะ

 

“ฉินเฟิง ออกมาหน่อยสิ!” ในน้ำเสียงของโจวฮ่าวปนไปด้วยความตื่นเต้น

 

ฉินเฟิงไม่ทราบว่าทำไม แต่เขาก็เปิดประตูออกมาโดยดี

 

“มีอะไรงั้นหรอ?”

 

“ฮะฮ่าฮ่า นายเห็นรึเปล่า ว่าฉันพบพวกเดียวกันแล้ว!”

 

โจวฮ่าวกล่าวแบบนั้น ฉินเฟิงก็สังเกตเห็นว่าคนที่ยืนอยู่ข้างๆโจวฮ่าวคือหลี่เหยาเหยากับลู่เหมิง

 

ไม่เพียงแค่นั้น แต่ลู่เหมิงยังติดโลโก้เลเวล G อยู่ตรงหน้าอกอีกด้วย ดูเหมือนว่าเธอจะได้รับสถานะผู้ใช้พลังเป็นที่เรียบร้อย

 

“อ๊า! ฉินเฟิง นายก็มาด้วยงั้นหรอ!” ลู่เหมิงมีความสุขอย่างเห็นได้ชัด “คราวก่อนเหยาเหยาบอกว่าเห็นนายที่โรงเรียน แต่ฉันกลับไม่เจอนายเลยในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา”

 

“เหมิงเหมิง!” หลี่เหยาเหยาอุทานที่เพื่อนแฉเรื่องตัวเอง แม้ว่าเธอจะมีชอบฉินเฟิงมาก แต่ยังไงซะ เธอก็ยังเป็นหญิงสาวที่ขี้อายอยู่ดี

 

“พอดีว่าฉันไม่ค่อยจะได้ไปเรียนสักเท่าไหร่น่ะ” ฉินเฟิงตอบอย่างเฉยเมย

 

“แต่มันก็สมเหตุสมผลอยู่นะ เพราะด้วยความสามารถของนาย นายไม่จำเป็นต้องเข้าชั้นเรียนเลยด้วยซ้ำ ขนาดกระทั่งเพื่อนนาย ก็พลอยได้รับอานิสงส์จนกลายเป็นผู้ใช้พลังไปด้วยเลย!” ลู่เหมิงกล่าวพลางมองไปทางโจวฮ่าวด้วยความอิจฉาเล็กน้อย

 

เห็นได้ชัดว่าเด็กชายตัวน้อยคนนี้อายุน้อยกว่าเธอถึงหนึ่งปี แถมยังเป็นรุ่นน้องอีก แต่เขากลับได้รับสถานะผู้ใช้พลังเลเวล G มาในครอบครองซะแล้ว

 

ทราบกันหรือไม่ ว่าลู่เหมิงต้องจ่ายออกไปด้วยเงินจำนวนมหาศาล เพื่อจ้างวานคนมาช่วยเหลือเธอเป็นเวลากว่า 3 วัน จึงสามารถล่าสัตว์ร้ายครบทั้ง 200 ตัว และผ่านการทดสอบมาได้

 

โจวฮ่าวกล่าวด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย “ผมผ่านการประเมินเลเวล G ด้วยฝีมือตัวเองนะ! ระหว่างทดสอบ พวกสัตว์ร้ายถูกฆ่าไปจนนับกันไม่ไหวด้วยซ้ำ!”

 

“นายกำลังจะด่าว่าฉันต่างหากที่โกงใช่ไหม? รุ่นน้องเอ๋ย ถอนคำพูดเดี๋ยวนี้เลยนา ถ้านายยังอยากเดินท่องไปทั่วโรงเรียนอย่างสะดวกใจ นายรู้รึเปล่าว่าพี่สาวเหมิงเหมิงคนนี้ ในโรงเรียนมีชื่อเสียงน่าหวาดกลัวขนาดไหน?” ลู่เหมิงจิ้มๆเอวเขาและกล่าว

 

แม้จะถูกจั๊กจี้ แต่โจวฮ่าวก็ไม่หัวเราะออกมา ตอนนี้เขามีความสูงถึง 1.8 เมตร ขณะที่ลู่เหมิงสูงเพียง 1.5 เมตร ฉะนั้นหากมองเพียงภาพตรงหน้า มันจะดูเหมือนลู่เหมิงเป็นน้องสาวที่น่ารักของโจวฮ่าวซะมากกว่า

 

ทั้งสองคนดูเหมือนจะทะเลาะกัน ฉินเฟิงเลยชิงเอ่ยถามว่า “ทางแนวหน้าเป็นยังไงบ้าง? ผลลัพธ์เป็นใครที่ชนะ?”

 

ทันทีที่ฉินเฟิงเอ่ยถาม ทั้งคู่ก็หยุดเถียงกัน หลี่เหยาเหยาเลยมีโอกาสพูดแทรกเสียที

 

“การต่อสู้ได้สิ้นสุดลงแล้ว ผลคือเลเวล E ทางฝั่งเราสามารถขับไล่ราชันย์อัศวินไปได้”

 

ฉินเฟิงขมวดคิ้ว “ขับไล่? ไม่ใช่ฆ่าหรอกหรอ?”

 

“ฆ่าเฆ่ออะไรกัน! ไอ้ตัวอัศวินมันมีโล่นะ! แถมโล่นั่นน่าจะเทียบเท่าได้เลยกับอุปกรณ์รูนสีทอง มันกระทั่งสามารถต้านทานพลังแสงของผู้อำนวยการได้ แต่สภาพมันก็ยังถูกทุกคนรุมยำเหมือนเต่าในไหอยู่ดีน่ะแหละ”

 

ฉินเฟิงพอได้ยินแบบนั้น ก็ไม่รู้จะเอ่ยอะไรออกมาดี

 

ประสานงานกันถึงขนาดนั้น แต่ก็ยังฆ่าไม่ได้ คนพวกนี้มันจะกากเกินไปแล้ว!

 

ยังไงก็ตาม เมื่อคิดว่าความสามารถในการต่อสู้หลักของราชันย์อัศวินในตอนนี้คือการป้องกัน ฉินเฟิงก็นึกขึ้นได้ว่าในมิติของเสี่ยวไป๋มันมีหอกเหล็กดาราอยู่นี่นา!

 

ฉันเฟิงแทบจะรอไม่ไหวแล้ว ที่จะเปลี่ยนมันให้กลายเป็นของตัวเอง!

 

“ฉินเฟิง! วันนี้นายเองก็มาเข้าร่วมปฏิบัติการกับพวกเราสิ!” หลี่เหยาเหยาเชื้อเชิญ

 

ความคิดของฉินเฟิงถูกขัดจังหวะ แต่เขาก็ส่ายหัวอย่างเด็ดขาด

 

“วันนี้พวกเธอได้ลองอัปเดตแผนที่สมรภูมิกันรึยัง?” ฉินเฟิงถาม

 

เมื่อวานนี้ จู่ๆก็มีซากศพเลเวล F โผล่ออกมามากมาย ไหนจะซากศพนักฆ่าแห้งกรัง แล้วก็ซากศพสีแดงเพลิงนั่นอีก ฉินเฟิงตระหนักดีว่าหากเขายังคงเก็บซ่อนความแข็งแกร่งของตัวเองต่อไป เขาคงไม่สามารถสังหารพวกมันได้

 

และถ้าเขาไม่สามารถสังหารพวกมันได้ รูนแห่งความมืดบนร่างกายของพวกมันก็จะยังคงแพร่กระจายต่อไป

 

ในเวลานี้ รุ่งเช้าได้มาเยือนแล้ว แต่เมื่อมองไปยังทิศทางภูเขาแม่ คุณก็จะเห็นว่ายังคงมีเมฆทะมึนลอยปกคลุม ไม่มีทีท่าว่าจะจางหาย

 

ผู้ใช้พลังทุกคนในที่นี้สามารถรอได้ แต่เด็กกำพร้าที่อ่อนแอในสถานเลี้ยงเด็กไม่สามารถรอได้!

 

“ยังไม่ได้อัปเดตเลย!” โจวฮ่าวกล่าว

 

ระหว่างที่พวกเขากำลังคุยกัน บางคนก็เห็นว่ามีโดรนบินกลับมา จากนั้นอุปกรณ์สื่อสารของทุกคนก็ดังขึ้น

 

แผนที่ได้รับการอัปเดตใหม่แล้ว

 

เมื่อฉินเฟิงมองไป ก็พบว่าสีหน้าของทุกคนดูจะไม่สู้ดีเท่าใดนัก

 

แน่นอน เพราะวิกฤติครั้งใหญ่ได้เกิดขึ้นแล้วนั่นเอง!

 

เมื่อคืนนี้ ที่ช่องว่างมิติถูกเปิดออก ในช่วงแรกๆที่ยังมีราชันย์อัศวินคอยขัดขวางอยู่ ช่องว่างดังกล่าวได้นำพาซากศพเน่าเปื่อยเลเวล F จำนวนกว่า 2,000 ตัวเข้ามา และปัจจุบันซากศพที่ว่าก็กำลังรุกคืบ ตรงมายังซากปรักหักพังของค่ายที่เพิ่งถูกทำลายไป เกรงว่าพวกเขาและเธอจะต้องถอนทัพจากค่ายนี้ซะแล้ว!

 

“โจวฮ่าว วันนี้นายไปลุยกับคนในโรงเรียนนะ ส่วนฉันจะไปขัดขวางทางโซนเลเวล F!” ฉินเฟิงกล่าว

 

“อ่า เข้าใจแล้ว” โจวฮ่าวพยักหน้า เขาทราบดีถึงความแข็งแกร่งของฉินเฟิง หากฉินเฟิงเอ่ยปากว่าจะไปโซน F นั่นหมายความว่าเขามั่นใจว่าตัวเองไหว