ตอนที่ 96 วิธีทำตัวเด่นที่ถูกต้อง (1)
ด้านหน้าสนามฝึก
นักศึกษาใหม่สิบเก้าคน ระเบิดปราณของตัวเองอย่างสุดพลัง
นักศึกษาคนอื่นๆ ต่างพากันถอยไปด้านหลัง บางคนเผยสีหน้าไม่พอใจ บางคนเต็มไปด้วยความผิดหวังโศกเศร้า
คนที่เข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ ใครจะไม่ทระนงตัวกัน?
ไม่มีใครคิดว่าตัวเองด้อยอยู่แล้ว!
คนที่เข้าเรียนที่นี่ได้ นั่นหมายความว่าพวกเขาคืออัจฉริยะ เหนือกว่าคนอื่นอยู่หนึ่งขั้น!
แต่เวลานี้ภายใต้แรงกดดันของอาจารย์ทั้งสิบสองคน นักศึกษานับพัน มีแค่สิบเก้าคนเท่านั้นที่สามารถแนะนำตัวเองต่อหน้าทุกคนได้
—
ด้านหน้าทุกคน
ฟางผิงมองสำรวจโดยรอบ เขาลอบตกใจอยู่บ้าง
ในสิบเก้าคนนี้ นอกจากผู้ฝึกยุทธ์สองคนที่หลอมกระดูกครั้งที่สองแล้ว จะมีปราณต่ำกว่าเขานิดหน่อย คนที่เหลือกลับไม่ด้อยไปกว่าเขาเลย
อย่าลืมว่าตอนนี้ปราณของเขาแตะที่สองร้อยเก้าแคลแล้ว!
ตอนแรกถานเจิ้นผิงที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งตอนปลาย หากระเบิดปราณออกมาสุดกำลัง ก็คงมีประมาณสองร้อยห้าสิบแคลเท่านั้น
ถานเจิ้นผิงหลอมกระดูกขาแล้ว ทั้งยังรักษาระดับอยู่ที่ขั้นหนึ่งมาหลายปี
ไม่ว่าพลังการต่อสู้จะเป็นยังไง แต่ท่ามกลางผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่ง ปราณของถานเจิ้งผิงไม่นับว่าต่ำอย่างแน่นอน
ตอนนี้นักศึกษาใหม่สิบเก้าคน แม้จะไม่มีใครเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งตอนปลาย แต่คนพวกนี้เพิ่งจะอายุเท่าไหร่กัน?
แต่ละคนต่างมีปราณสองร้อยแคลเข้าไปแล้ว บางคนยังเรียนวิชาต่อสู้ พลังทำลายล้างต้องมากกว่าถานเจิ้งผิงอยู่แล้ว
นี่ก็คือมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้!
ฟู่ชางติ่งที่อยู่ด้านข้าง เริ่มสำรวจเช่นกัน พอเห็นว่ามีหลายคนสามารถต้านแรงกดดันได้ คล้ายจะคิดอะไรออก เอ่ยทันทีว่า “ฟางผิง นายยังไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ นึกไม่ถึงว่าจะสามารถต้านได้จนมาถึงตอนนี้ ฉันประเมินนายต่ำไป!”
ฟางผิงเห็นเขาขยิบตา พลันเข้าใจความหมายทันที รู้สึกเขินอายทั้งขายหน้าอยู่บ้าง
ใช่แล้ว ขายหน้า!
แต่พอเห็นฟู่ชางติ่งทำท่าคล้ายร้อนใจอยากจะต่อยคน ฟางผิงทำได้เพียงเอ่ยออกไปว่า “ฟู่ชางติ่ง นายไม่ธรรมดาเหมือนกันแหละ! ผู้ฝึกยุทธ์ที่หลอมกระดูกครั้งที่สอง นึกไม่ถึงว่าจะหลอมกระดูกข้างหนึ่งไปแล้ว!”
“เหมือนกันนั่นแหละ ฟางผิง นายพูดความจริงมาเลย หลอมกระดูกครั้งที่สามแล้วใช่ไหม?”
“ฟู่ชางติ่ง นายไม่ลองเดาสักหน่อยล่ะ?”
“ฟางผิง ฉันเดาไม่ออก วันนี้ไม่สะดวกให้ลงไม้ลงมือด้วย ไม่งั้นฉันคงจะแสดงความเก่งกาจให้นายเห็นแล้ว!”
“ฟู่ชางติ่ง…”
“ฟางผิง…”
“ฟู่ชางติ่ง…”
“ฟางผิง…”
ทั้งสองคนเรียกกันจนคนทั้งหมดแทบจำชื่อได้แล้ว ในหมู่นักศึกษาใหม่ปี 2008 มีคนหนึ่งชื่อฟางผิง อีกคนชื่อฟู่ชางติ่ง คนหนึ่งสงสัยว่าอาจหลอมกระดูกครั้งที่สามแล้ว อีกคนเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่หลอมกระดูกครั้งที่สอง ทั้งกำลังจะหลอมกระดูกขาสำเร็จ
—
ที่นั่งผู้ชม
นักศึกษาปีสูงจำนวนมากต่างอ้าปากค้าง หญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างฉินเฟิ่งชิงหัวเราะจนท้องแข็ง อดเอ่ยไม่ได้ “เด็กใหม่สองคนนี้น่าสนใจดี ตอนนี้ทั้งมหาวิทยาลัยน่าจะรู้จักพวกเขาแล้ว”
บทสนทนาของทั้งสองคน ต่างคนต่างทวนชื่อของอีกฝ่ายออกมา
คนปกติเขาคุยกันแบบนี้หรือไง?
ลูกเล่นแบบนี้ ทุกคนมองออกอยู่แล้ว
ในขณะที่หลายคนกำลังหัวเราะ ฉินเฟิ่งชิงกลับแค่นเสียงว่า “ปัญญาอ่อน ไม่เห็นน่าตลกตรงไหน!”
“พูดเรื่องเหลวไหลด้วยกำลังเต็มเปี่ยมภายใต้แรงกดดันของผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางสิบสองคน นึกไม่ถึงว่าคนปัญญาอ่อนอย่างพวกนายจะหัวเราะออกมาได้!”
ฉินเฟิ่งชิงไม่สนใจสักนิดว่าจะล่วงเกินใครหรือไม่ กระทั่งอาจารย์หลายคนที่อยู่ด้านข้างยังถูกคำพูดเขากระทบไปด้วย
เจ้าพวกปัญญาอ่อน!
อย่าลืมว่า ทางนั้นเป็นแค่นักศึกษาใหม่สองคน กลับพูดน้ำไหลไฟดับในสถานการณ์ที่มีผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางสิบสองคนกดดัน รวมทั้งนักศึกษาคนอื่นที่ปะทุปราณขึ้นมาด้วย
คนอื่นนั้นปัญญาอ่อนกันหรือไง?
หรือพวกเขาจะไม่เข้าใจ?
แต่ตอนนี้สิบเจ็ดคนที่เหลือ คนที่สามารถเอ่ยปากพูดอย่างสบายๆ จะมีสักกี่คน?
คนธรรมดาสองคนที่หลอมกระดูกครั้งที่สองแล้ว ใบหน้าชื้นไปด้วยเหงื่อ มองออกว่าแทบจะไม่ไหวแล้ว หากจะเอ่ยปากเวลานี้ คงขายหน้าแน่นอน
คนอื่นยังแม้จะอาการดีกว่า แต่ก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันมาก ให้พวกเขาคุยเล่นสบายๆ จะกล้างั้นเหรอ?
เมื่อคำพูดนี้ออกมา หลายคนเหมือนจะดึงสติกลับมาได้
ไม่นาน เริ่มมีคนนึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ เอ่ยว่า “นายฟางผิงคนนั้น หลอมกระดูกครั้งที่สามแล้วจริงๆ เหรอ?”
“เขาไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์?”
ตอนแรกที่ฟางผิงระเบิดปราณ คนพวกนี้ต่างคิดว่าเขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ พอตอนนี้ได้ยินฟู่ชางติ่งพูด ทุกคนค่อยรู้ว่า ความจริงฟางผิงไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์
“เหลวไหล!”
ฉินเฟิ่งชิงกล่าวอย่างดูแคลน ก่อนจะพึมพำว่า “จำได้แล้ว!”
เขานึกออกแล้ว นี่ไม่ใช่เด็กใหม่ที่เขาเจอหน้าประตูมหาวิทยาลัยเมื่อเดือนที่แล้วหรอกเหรอ?
ตอนนั้นเขาสัมผัสได้ว่าปราณของฟางผิงสูงไม่น้อย น่าจะหลอมกระดูกครั้งที่สองแล้ว
แต่คาดไม่ถึงว่า อีกฝ่ายไม่ได้หลอมครั้งที่สอง แต่เป็นครั้งที่สามต่างหาก
ในมหาวิทยาลัยมีคนที่หลอมกระดูกครั้งที่สองแล้วหลายคน แต่สามครั้งนั้นมีน้อยจริงๆ
ตอนนี้มีแค่เซี่ยเหล่ยปีสองที่หลอมครั้งที่สามแล้ว กำลังอยู่ขั้นสองตอนปลาย
ขั้นสองตอนปลาย ยังไม่อยู่จุดที่ทำให้ฉินเฟิ่งชิงสนใจ แต่ถ้าเซี่ยเหล่ยทะลวงขั้นสาม
นั่นถึงจะเป็นคู่แข่งกับเขาได้ แม้ตอนนี้เซี่ยเหล่ยจะสามารถปะมือกับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามได้อย่างแพ้บ้างชนะบ้างก็ตาม
—
เวทีหลัก
แววตาของอาจารย์หลายคนปรากฏรอยยิ้มออกมา
มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ไม่คิดเล็กคิดน้อยเรื่องที่นักศึกษาใช้ลูกเล่นอยู่แล้ว ผู้ฝึกยุทธ์ต้องแย่งชิง พยายามแสดงความสามารถของตัวเอง ฟู่ชางติงและฟางผิงนั้นต่างทำตามกฎเกณฑ์
ในเมื่ออยู่ในกฎเกณฑ์ นั่นก็ถือว่าเหมาะสมกับมหาวิทยาลัยแห่งนี้
อาจารย์ถังเฟิงสาขายุทโธปกรณ์ พลันขมวดคิ้วขึ้น “นักศึกษาสองคนนี้ พยายามพูดเอาดีใส่ตัว คนแบบนี้รับไว้ไม่ได้!”
“ใช่แล้ว!”
มีคนเห็นด้วยทันที “หลอมกระดูกครั้งที่สามแล้วก็ไม่ใช่วิเศษวิโสอะไร พวกเราแค่ไม่อยากสิ้นเปลืองเวลาและทรัพยากรไปกับการสั่งสอนเด็กใหม่เท่านั้น”
“เห็นด้วย เด็กใหม่ทั้งสองคน คิดลำพองตัว ความจริงการกระทำเช่นนี้ถือเป็นเรื่องรับไม่ได้ที่สุด!”
“ใช่ คนแบบนี้ภายหลังจะชอบใช้เล่ห์เหลี่ยม อาศัยกลโกง รับไว้ไม่ได้!”
“…”
ทุกคนพากันตำหนิ หญิงกลางคนที่พูดก่อนหน้านี้ว่าจะไปค้นหาข้อมูลฟางผิง เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ในเมื่อพวกคุณไม่ถูกใจ ฉันจะฝืนรับไว้เอง”
“หน้าไม่อาย!”
“ใครว่าพวกเราจะไม่รับ? นักศึกษาแบบนี้ จำเป็นต้องให้พวกเราคอยสั่งสอนต่างหาก!”
“ใช่แล้ว!”
“…”
หวงจิ่งปวดหัวอยู่บ้าง พวกปัญญาอ่อน ไม่รู้จะเล่นใหญ่กันทำไม!
ความจริงถูกใจ กลับหาเรื่องมาด้อยค่าทั้งสองคนให้ไม่มีอะไรดี คิดว่าคนอื่นโง่เหมือนพวกคุณ จะเชื่อคำพูดของพวกคุณหมดหรือไง
หวงจิ่งไม่สนใจการโต้แย้งของพวกเขาแล้ว เอ่ยเรียบนิ่งว่า “ตอนนี้มองแค่ปราณไม่มีประโยชน์หรอก ปราณสามารถสั่งสมได้ บางเรื่องกลับต้องพึ่งแค่ตัวเอง หากดูแต่ปราณอย่างเดียว งั้นในอนาคตยังต้องจัดสอบเกาเข่าอีกทำไม? ทำไมไม่ให้จบแค่การตรวจร่างกายไปเลย”
คำพูดนี้เตือนสติอาจารย์ทุกคน การเลือกนักศึกษาจะดูที่ปราณอย่างเดียวไม่ได้ ความฉลาดทางสติปัญญา การวางแผน การต่อสู้ล้วนขาดไม่ได้ทั้งสิ้น
ตอนแรกพวกเขาไม่ได้บอกว่าจะเลือกใคร แต่ต่อมากลับจะเลือกฟางผิงและฟู่ชางติ่ง นั่นเป็นเพราะคิดว่าสองคนนี้มีความฉลาดทางสติปัญญา
แม้การกระทำแบบนี้จะเหมือนเด็กน้อยไปบ้าง แต่ตอนนี้สามารถโดดเด่นขึ้นมาได้ ก็ไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องวิธีการ
ในสิบเก้าคน คนที่นักศึกษาคนอื่นๆ จำได้ น่าจะมีแค่สองคนนี้เท่านั้น
ชื่อ ‘ฟางผิง’ และ ‘ฟู่ชางติ่ง’ นั้นทวนซ้ำไปมาหลายครั้งจริงๆ ใครจะไปลืมได้
—
คนอื่นๆ กำลังซุบซิบกัน ฟางผิงกลับรู้สึกขายหน้าอย่างมาก ฟู่ชางติ่งตะโกนชื่อเขาขึ้นมาอีกครั้ง ให้ตายยังไงฟางผิงก็ไม่ยอมตอบอีก
นักศึกษานับพันล้วนจ้องมองพวกเขา รอบๆ ยังมีอาจารย์และนักศึกษาปีสูงคอยสังเกตการณ์ หากเรียกต่อไปอีก ฟางผิงคงไม่มีหน้าไปไหนอีกแล้ว
อันที่จริงฟู่ชางติ่งคิดว่าพอหอมปากหอมคอแล้ว ฟางผิงไม่ตอบกลับ ฟู่ชางติ่งทำได้เพียงร้องเสียงดังว่า “ฟางผิง พรุ่งนี้ฉัน ฟู่ชางติ่งจะแสดงความสามารถให้นายดู!”
‘หน้าไม่อาย…’
หลายคนลอบด่าในใจ ยังจะมาแสดงความสามารถอะไรกันอีก พวกนายเล่นละครกัน คิดว่าคนอื่นดูไม่ออกหรือไง!
——————