บทที่ 299 สุภาพบุรุษ

จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来)

บทที่ 299 สุภาพบุรุษ

วันรุ่งขึ้น

มีคนจากตระกูลหยานมาเชิญฉู่ชวิ๋นไปทานข้าวในนามของหยานหวูซวง

ฉู่ชวิ๋นมาห้องข้าง ๆ ตั้งใจจะแค่บอกผู้หญิงผมม่วงว่าเขาจะออกไปข้างนอก แต่เธอขอไปด้วยซะงั้น

เมื่อวานทั้งสองไม่ได้เจอกันแบบเป็นมิตรเท่าไหร่

เพราะฉู่ชวิ๋นรู้สึกว่าผู้หญิงผมม่วงไร้ศิลปะในการพูดคุยมาก ๆ

สุดท้ายทั้งสองก็ไปงานเลี้ยงด้วยกัน ตระกูลหยานร่ำรวยมหาศาล เพิ่มคนไปกินอีกสักคนคงไม่เป็นไร

หยานหวูซวงมารอรับที่หน้าประตูสักพักใหญ่แล้ว

เมื่อเขาเห็นผู้หญิงข้างกายฉู่ชวิ๋นก็อึ้งไปนิดหน่อย เพราะช่วงนี้ผู้หญิงผมม่วงคนนี้โด่งดังมาก ก่อนหน้านี้เขาเคยเห็นผู้หญิงคนนี้ประมือกับจังเฟิงหลิงอย่างทัดเทียมมาแล้วนับว่าเธอฝีมือร้ายกาจมาก

“สหาย หญิงสาวคนนี้คือ?”

“ศิษย์น้องของฉันเอง” ฉู่ชวิ๋นโกหกออกไป

ผู้หญิงผมม่วงไม่ปฏิเสธ ถือว่ายอมรับ

หยานหวูซวงสีหน้าแปลกประหลาดฃ ที่งานเลี้ยงเมื่อวานฉู่ชวิ๋นบอกต่อหน้าทุกคนว่าเขาเป็นคนไร้สำนักไม่ใช่หรือไง

แต่หยานหวูซวงไม่พูดอะไร ในใจของเขามีผู้หญิงคนเดียวคือเหยาไป๋เยวี่ย คนอื่นเขาไม่สนใจอยู่แล้ว

หยานหวูซวงพยักหน้าให้กับผู้หญิงผมม่วงเป็นการทักทาย

“สหาย ฉันยังไม่รู้เลยว่าสหายชื่ออะไร”

“ฉันแซ่หลิว ชื่อเทียนเหอ” เขาจับชื่อพ่อแม่แยกออกแล้วเอามารวมกัน

“หลิวเทียนเหอ ชื่อดี ๆ” หยานหวูซวงชม

“ธรรมดา ๆ” ฉู่ชวิ๋นยิ้มกว้าง ตอนนี้เขาบอกไม่ได้ว่าชื่อฉู่ชวิ๋น แม้เขาจะไม่ขำนาญการโกหกคนอื่น แต่ก็ช่วยไม่ได้

“พี่หลิว แม่นาง เชิญ”

ทั้งสามเดินเข้าตระกูลหยานไปด้วยกัน

“รู้สึกคุ้นเคยกับที่นี่เป็นพิเศษล่ะสิ” ผู้หญิงผมม่วงเอ่ยเสียงต่ำ

ฉู่ชวิ๋นตัวกระตุก ยัยคนนี้พูดถึงเรื่องที่เขาบุกเข้าตระกูลหยานในยามวิกาล เขาต้องแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน

ตระกูลหยานสืบทอดกันมานับพันปี ทรัพย์สมบัติมีมากมายมาแต่โบราณ ย่อมไม่เหมือนพวกเพิ่งเคยมีเงินอย่างตระกูลอื่น ๆ

ลานอาหารอันเงียบสงบแห่งนี้ใช้โทนขาวเป็นโทนหลัก ให้ความรู้สึกอบอุ่น บนโต๊ะมีอาหารดี ๆ หลายจานพร้อมเหล้าชั้นยอดอีก 1 โหล

ทั้ง 3 คนเดินเข้าไป หยานหวูซวงสั่งให้คนอื่น ๆ ออกไปให้หมด

“ทั้งสองลองชิมเหล้าที่หมักด้วยดอกบัวหิมะพันปีดูสิ” หยานหวูซวงเทเหล้าให้ทั้งคู่จนเต็ม

ทุกคนดื่มไปคนละแก้ว ฉู่ชวิ๋นชมนิดหน่อย แน่นอนว่าพูดเป็นพิธี เพราะเขาอยากให้หยานหวูซวงเข้าประเด็นซะทีว่าชวนเข้ามาทำไม

“พี่หลิว ที่ฉันเชิญมาในวันนี้เพราะมีเรื่องจะหารือด้วย” จากที่รู้จักกันเมื่อคืน หยานหวูซวงรู้ว่าฉู่ชวิ๋นเป็นคนตรงไปตรงมา เขาจึงไม่พูดอ้อมค้อม เข้าประเด็นเลย

“ไม่ใช่เรื่องที่มีคนมาขโมยดอกบัวจิตวิญญาณเมื่อคืนใช่ไหม” ฉู่ชวิ๋นแกล้งถามด้วยความรู้สึกผิด

หยานหวูซวงส่ายหัว “เรื่องนี้อย่าเพิ่งไปพูดถึงเลย อีกเรื่องนึงน่ะ”

ฉู่ชวิ๋นถาม “เรื่องอะไร”

“เทือกเขาคุนหลุน ซากโบราณสถาน” หยานหวูซวงพูดด้วยน้ำเสียงกลัดกลุ้ม “ทั้งสองท่านก็มาเพราะเรื่องนี้ใช่ไหม”

ฉู่ชวิ๋นมองผู้หญิงผมม่วงแล้วแอบพึมพำในใจ ฉันมาเพราะแม่คุณคนนี้ต่างหาก

แต่จะบอกว่ามาตามหาผู้หญิงก็ดูแปลกเขาเลยพยักหน้าไป

“พี่หลิว พี่รู้เรื่องของซากโบราณสถานเทือกเขาคุนหลุนหรือเปล่า” หยานหวูซวงถาม

“ฉันเพิ่งมาเมืองหยานเซวี่ยได้ไม่กี่วัน ไม่รู้เรื่องอะไรหรอก” ฉู่ชวิ๋นตอบ

เขารู้ว่าหยานหวูซวงคงรู้ข่าววงในอะไรแน่ ๆ อย่างไรซะเมืองหยานเซวี่ยก็ใกล้กับเทือกเขาคุนหลุนมาก เป็นคนที่นี่ย่อมรู้เรื่องมากกว่าคนต่างเมืองแบบเขา

“บอกตามตรง ตอนที่ซากโบราณสถานปรากฏฉันไปลองสืบมาแล้ว ซากโบราณสถานนี้ไม่ธรรมดาเลย”

“หืม ไม่ธรรมดายังไง” ฉู่ชวิ๋นเริ่มสนใจ แม้แต่หยานหวูซวงยังบอกว่าไม่ธรรมดาแปลว่าต้องมีอะไรที่พิเศษจริง ๆ

หยานหวูซวงเอ่ยต่อ “ตระกูลหยานของฉันก็เคยไปสำรวจซากโบราณสถานมาบ้าง แม้จะอันตราย แต่ก็ซากโบราณสถานปกติแล้วเป็นของที่มีมาแต่โบราณ กลไกโบราณบางอย่างชำรุดเสียหายไปแล้ว ทำให้อาศัยผู้มีวรยุทธ์เข้าไปสำรวจได้ แต่ซากโบราณสถานที่เทือกเขาคุนหลุนมันเป็นเขตปักษาน่ะสิ”

“เขตปักษา?” ฉู่ชวิ๋นประหลาดใจ

“ถูกต้อง ทุกครั้งที่ซากโบราณสถานนี้ปรากฏรอบข้างจะแปรเปลี่ยนเป็นเขตปักษาที่เต็มไปด้วยระเบิดสายฟ้าที่รุนแรง แม้แต่จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 5 ก็ยังต้านทานไม่ไหว ร่างถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ”

ฉู่ชวิ๋นอึ้ง “น้องหยานพอจะรู้ไหมว่าเขตปักษานี่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติหรือมนุษย์สร้างขึ้น”

หยานหวูซวงส่ายหัว “ยิ่งเข้าข้างในสายฟ้าก็ยิ่งรุนแรง ฉันเองก็ไม่เคยเข้าไปเกินร้อยเมตร”

“ด้วยวรยุทธของน้องหยานยังเข้าไปได้ไม่ถึงร้อยเมตรหรือนี่”

“ไม่ใช่ ในเขตปักษามีสิ่งมีชีวิตอย่างอื่นอยู่ ฉันไม่กล้าทำอะไรผลีผลาม”

ฉู่ชวิ๋นอึ้งไปอึก “นายหมายความว่าในเขตปักษามีสิ่งมีชีวิตเหรอ คือตัวอะไร”

“ไม่เคยเห็นชัด ๆ มันไวมาก แวบเดียวก็หายไปเลย ดูจากรูปร่างแล้วเหมือนพวกเสือหรือสิงโต”

ฉู่ชวิ๋นดวงตาเป็นประกาย “ถ้าเช่นนั้นในซากโบราณสถานนี้ก็คงมีสมบัติล้ำค่ารอผู้มีโอกาสวาสนาอยู่”

“ถูกต้อง ฉันจึงอยากชวนพี่หลิวไปที่ซากโบราณสถานด้วยกัน ไม่ว่าจะได้อะไรพวกเรา 2 คนจะหารครึ่งกัน” หยานหวูซวงมองฉู่ชวิ๋นด้วยสีหน้าจริงจัง

ฉู่ชวิ๋นไตร่ตรองอยู่สักครู่ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ตกลง”

“ดี” หยานหวูซวงยกแก้วเหล้าขึ้น “ขอให้พวกเราทำสำเร็จ”

เมื่อดื่มไปหยานหวูซวงก็พูดต่อเสียงเบา ๆ “พี่หลิว จากที่ฉันเฝ้าดูมา ซากโบราณสถานจะปรากฏตัวคืนนี้”

“หา!”

ฉู่ชวิ๋นตกใจมากเพราะจากที่เขารู้มาซากโบราณสถานแห่งนี้จะปรากฏก็ต่อเมื่อ….

“ทุกครั้งที่ฟ้าครึ้มและคืนที่มีหิมะตก ซากโบราณสถานจะปรากฏ”

“หมายความว่าคืนนี้หิมะจะตกงั้นเหรอ” ฉู่ชวิ๋นมองดวงอาทิตย์ด้านนอก

“ตกแน่” หยานหวูซวงบอกอย่างมั่นใจ “ฉันใช้ชีวิตที่เมืองหยานเซวี่ยตั้งแต่เด็ก รู้ถึงการเปลี่ยนแปลงทางอากาศของที่นี่ดี”

ฉู่ชวิ๋นหัวเราะเบา ๆ “ท่าทางการร่วมมือกับน้องหยานจะทำให้ฉันไม่ต้องเจออะไรยาก ๆ แล้วสินะ”

“ได้รู้จักพี่หลิวก็ถือเป็นเกียรติของฉันหยานหวูซวง” หยานหวูซวงยกแก้วเหล้าขึ้นชนกับฉู่ชวิ๋นก่อนจะดื่มรวดเดียวหมด

ฉู่ชวิ๋นถือแก้วเหล้าเล่นและมองหยานหวูซวงอย่างมีเลศนัย

“ทำไมเหรอ ทำไมพี่หลิวมองฉันแบบนี้” หยานหวูซวงเช็คเสื้อผ้าตัวเอง ก็ขาวสะอาดไม่มีอะไรที่ไม่เหมาะสมแล้วพี่หลิวมองเขาแบบนี้ทำไมกันนะ

“น้องหยาน ฉันเป็นคนโง่แต่ก็ไม่ถึงกับบื้อ” ฉู่ชวิ๋นมองเขาด้วยแววตาสื่อความหมาย “เมื่อคืนดอกบัวจิตวิญญาณของตระกูลหยานหายไปจนทำให้น้องหยานบันดาลโทสะจะปลิดชีพจังเฟิงหลิงด้วยคมกระบี่…แต่ตอนนี้”

บนใบหน้าของหยานหวูซวงสีหน้าเปลี่ยนไปแวบหนึ่งก่อนที่จะดื่มเหล้าเพื่อปกปิดท่าทาง

ฉู่ชวิ๋นไม่เปิดโปงอะไรหยานหวูซวง เขาดื่มเหล้าในแก้วก่อนจะขอตัวลา

“น้องหยาน ไว้เราค่อยนัดกันวันหน้า”

หยานหวูซวงให้คนไปส่งฉู่ชวิ๋นและผู้หญิงผมม่วงกลับ

เมื่อเห็นว่าฉู่ชวิ๋นและผู้หญิงผมม่วงไปแล้ว เงาหนึ่งก็ปรากฏออกมา

“นายน้อย คนนี้เชื่อใจได้งั้นเหรอ”

หยานหวูซวงหัวเราะเบา ๆ “ฉันประเมินเขาต่ำไปจริง ๆ เขามีค่าพอให้เชื่อใจแน่นอน”

“คน ๆ นี้วรยุทธไม่ต่ำทราม แต่ผู้หญิงผมม่วงคนนั้นข้าน้อยมองไม่ออก”

“ไม่เป็นไร ที่นี่เมืองหยานเซวี่ย ถ้าเขาจริงใจที่จะร่วมมือกัน ฉันย่อมต้อนรับเขาเหมือนเพื่อนรักคนหนึ่ง ถ้าคิดเป็นอื่นก็ค่อนว่ากัน”

หยานหวูซวงที่นิ่งเฉยมาตลอดมีความดุดันแฝงไว้ในน้ำเสียง ประโยคเมื่อกี้ของฉู่ชวิ๋นมันหมายถึงอะไรกันแน่

….

….

กลับมาถึงโรงแรม

ผู้หญิงผมม่วงชำเลืองมองฉู่ชวิ๋น “เขาไม่ได้เชื่อใจนาย”

ฉู่ชวิ๋นหัวเราะเบา ๆ “เธอก็ยังคลางแคลงใจในตัวฉันอยู่เลยนี่”

“ไอ้บ้า ฉันพูดจริง ๆ นะ เมื่อกี้มียอดฝีมือ 4 คนแฝงตัวอยู่รอบ ๆ ดูเหมือนคุณชายหยานจะไม่ใช่สุภาพบุรุษจริง ๆ อย่างที่เขาแสดงออกมา”

ฉู่ชวิ๋นนึกขำเบา ๆ “เธอยังรู้จักคนบนโลกนี้น้อยไป ไม่สิน่าจะเรียกว่า ท่องยุทธภพมาน้อยเกินไป”

“หมายความว่ายังไง” น้ำเสียงผู้หญิงผมม่วงไม่พอใจมาก เธอรู้สึกว่าฉู่ชวิ๋น กำลังดูหมิ่นเธออยู่

“ก็…สุภาพบุรุษไง? คุณชายตระกูลหยาน ผู้ที่หาคนเทียบเทียมได้ยากในรุ่นเดียวกัน ผู้เป็นเหมือนบุตรแห่งสวรรค์ ถ้าเชื่อคนอื่นง่ายดายขนาดนั้นคงได้ตายไปหลายร้อยรอบแล้ว อยากจะเป็นสุภาพบุรุษก็ต้องเอาชีวิตรอด ตัวเองให้รอดก่อน”

“นายไม่กลัวว่าเขาหลอกนายเหรอ” ผู้หญิงผมม่วงเอ่ยขึ้น

“เขาไม่ทำหรอก เขาเป็นสุภาพบุรุษจริงๆ” ฉู่ชวิ๋นเอ่ย เขามีวิชาล่วงรู้บัญชาสวรรค์มันไม่ถึงกับรู้อนาคตแต่ก็ทำให้ความรู้สึกไวมาก ฉู่ชวิ๋นสัมผัสได้ว่าหยานหวูซวงไม่คิดจะทำร้ายเขาจริง ๆ

“นายเพิ่งบอกว่าเขาไม่ใช่สุภาพบุรุษ” ผู้หญิงผมม่วงงุนงงไปหมด

ฉู่ชวิ๋นกล่าวต่อ “เขาเป็นสุภาพบุรุษจริงๆ และก็เป็นวีรบุรุษที่สามารถลงมือทำเรื่องที่จำเป็นได้ การเป็นสุภาพบุรุษทำให้ชื่อเสียงของเขาโด่งดังไปทั่วหล้าและเป็นตำนานให้คนรุ่นหลังได้กล่าวถึง ส่วนวีรบุรุษทำให้เขาต้องลงมือเพื่อเอาตัวรอด แบบนี้จึงจะมีโอกาสได้สร้างชื่อเสียงไปทั่วหล้า”

ผู้หญิงผมม่วงพึมพำ “ถ้าอย่างนั้นเขาก็เหมือนนายมากน่ะสิ จอมมารฉู่”

ฉู่ชวิ๋นส่ายหัว “พวกเราไม่เหมือนกัน เขาสุภาพบุรุษกว่าฉันมาก”

“สุภาพบุรุษ วีรบุรุษอะไรกัน นายทำฉันเวียนหัวหมดแล้ว” ผู้หญิงผมม่วงเผยท่าทีงอแงเหมือนเด็กสาวออกมาท่าทางแปลกตาแต่ก็น่ารักมาก ๆ

ฉู่ชวิ๋นหัวเราะเบา ๆ เขาไม่ได้แกล้งพูดหรอกนะ ที่บอกว่าหยานหวูซวงสุภาพบุรุษกว่าเขา ถ้าเปรียบเทียบกับธรรมะและอธรรม หยานหวูซวงก็คือธรรมะ ส่วนเขาคืออธรรม

เพราะเขาไม่ให้โอกาสศัตรูได้มีชีวิตต่อ ส่วนหยานหวูซวงท้ายสุดแล้วก็ใจอ่อน เขาหวงภาพลักษณ์และใจอ่อน ไม่อยากทำอะไรให้คนอื่นต่อว่าได้

“จริงสิ คำถามสุดท้ายที่นายถามหยานหวูซวงหมายความว่าอะไร ทำไมฉันดูเขาไม่เป็นธรรมชาติเท่าไหร่” ผู้หญิงผมม่วงนึกถึงตอนที่หยานหวูซวงต้องกินเหล้าเพื่อปกปิดท่าทางของตัวเอง

“ที่จริงแล้ว ดอกบัวจิตวิญญาณ น้ำศักดิ์สิทธิ์ ของพวกนี้สำคัญกับตระกูลหยานมากจริง แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่หยานหวูซวงต้องคลั่งจนต้องไล่ล่าฆ่าใคร”

“หมายความว่ายังไง” ผู้หญิงผมม่วงไม่เข้าใจ

“จริง ๆ จะให้อธิบายมันง่ายมาก หยานหวูซวงแค่หาเรื่องอาละวาดเท่านั้น ในวันนั้นเขาแกล้งทำ เป้าหมายก็เพื่อทำให้จังเฟิงหลิงบาดเจ็บแต่ไม่ใช่เพื่อฆ่าจังเฟิงหลิง แต่เป็นเพราะเขารู้อยู่แล้วว่าซากโบราณสถานจะปรากฏในคืนนี้”

“นายหมายความว่าหยานหวูซวงฉวยโอกาสทำให้จังเฟิงหลิงบาดเจ็บ แบบนี้เวลาที่ซากโบราณสถานปรากฏคู่แข่งที่แข็งแกร่งของเขาก็จะหายไปคนนึง!”

ฉู่ชวิ๋นมองเธอด้วยสายตาชื่นชม “ในที่สุดก็เปิดโลกแล้ว”

ผู้หญิงผมม่วงถลึงตาใส่เขา คำพูดของฉู่ชวิ๋นไม่เหมือนชมเธอเท่าไหร่

เธอยังมีข้อสงสัย กำลังจะเอ่ยปากฉู่ชวิ๋นก็ชิงพูดขึ้นก่อน “เธออยากถามว่าทำไมหยานหวูซวงไม่ฉวยโอกาสนี้ฆ่าจังเฟิงหลิงไปเลยจะได้จบ ๆ ใช่ไหม”

สายตาของผู้หญิงผมม่วงฉายแววตะลึงอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะถลึงตาใส่

ฉู่ชวิ๋น “อย่ามาอวดฉลาด ฉันไม่ได้จะถามอะไรทั้งนั้น”

พูดจบ ไม่ทันที่ฉู่ขวิ้นจะเอ่ยปากเธอก็เปิดประตูเข้าห้องไป

“เฮ้ อย่าเพิ่งไปสิ มาคุยกันต่ออีกหน่อยเถอะ” ฉู่ชวิ๋นหยอก

“ไสหัวไป”

คำพูดของผู้หญิงผมม่วงหายไปกับประตูที่โดนปิดอย่างแรง

ฉู่ชวิ๋นหัวเราะเบา ๆ เขาหันหลังไปมองเทือกเขาคุนหลุนที่สูงเกรียงไกรและดูศักดิ์สิทธิ์ผ่านหน้าต่าง

คำถามของผู้หญิงผมม่วงเมื่อกี้ตอบง่ายมาก

เพราะหยานหวูซวงหวงภาพลักษณ์และใจอ่อนเกินไป เขาเป็นสุภาพบุรุษ จะฆ่าจังเฟิงหลิงโดยไม่มีเหตุผลไม่ได้

ฉู่ชวิ๋นลองถามตัวเองว่าถ้าเป็นตัวเขาจะทำยังไง คำตอบสุดท้ายก็คือ“ฆ่า”

นี่คงเป็นสิ่งที่เขาต่างจากหยานหวูซวงที่สุด สิ่งนี้หาได้จากประสบการณ์เท่านั้น

แคร่ก

ประตูถูกเปิดออกอย่างแรง ผู้หญิงผมม่วงบอกออกมาประโยคเดียว

“คืนนี้ฉันไปกับนายด้วย”

พูดจบ ไม่ทันที่ฉู่ชวิ๋นจะตอบอะไรเธอก็กระแทกประตูปิดอีกครั้ง

ฉู่ชวิ๋นงง ยัยคนนี้เป็นบ้าอะไรเนี่ย

ผู้หญิงผมม่วงที่กลับเข้าห้องตัวเองไปก็งุงงง นี่มันอะไรกัน ทำไมตัวเธอถึงเป็นห่วงเขาขนาดนี้กันนะ

ทั้งสองรอคอยให้ราตรีมาถึงพร้อมความในใจที่ไม่อาจอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้