เล่ม 6 เล่มที่ 6 ตอนที่ 153 เรื่องราวอัปยศ จะกล่าวออกมาได้อย่างไร?

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

“โอ้ย โอ้ย โอ้ย… ข้าจะตายแล้ว ข้าใกล้จะตายแล้ว! ”

        “พระชายาโยวอ๋อง ท่านทำลายข้าจนจะตายแล้ว กระดูกทั้งร่างของข้าใกล้จะแหลกสลายแล้ว ข้าลุกไม่ขึ้นเลย” ทันใดนั้นชายทั้งสองก็ร้องตะโกนขึ้นมาสุดเสียง

        “หุบปาก! ยังไม่ถึงเวลาตาย! ”

        ซูจิ่นซีกล่าวเสียงเย็นชา ไม่รู้ว่าเมื่อใดที่มียาเม็ดปรากฎอยู่ในมือของนาง นางมอบให้ชายที่ถูกกริชข่วนทั่วทั้งร่างทานเข้าไป

        ใช้เวลานานกว่าที่ซูจิ่นซีจะหยิบยาขึ้นมาอีกครั้ง ชายที่ได้รับ ‘ยาเม็ดสลายกระดูก’ ใกล้จะร้องไห้ออกมาแล้ว “พระชายา แล้วข้าเล่า? กระดูกทั้งร่างของข้าล้วนสลายไปหมดแล้ว”

        ซูจิ่นซีวาดยิ้มอย่างเย็นชา “เจ้าลุกขึ้นมาแล้วเดินสองก้าว! ”

        “กระไรนะ? ”

        ทุกคนรวมถึงชายผู้นั้นต่างตกตะลึง กระดูกทั้งร่างถูกทำให้สลายไปแล้ว เขาจะยืนขึ้นได้อย่างไรเล่า?

        JX4 ปล่อยชายผู้นั้น เขาค่อยๆ ประคองร่างของตน คาดไม่ถึงว่าเขาสามารถลุกขึ้นยืนได้จริงๆ

        ทว่าไม่นานก็ล้มลงบนพื้นราวกับฝ้ายอย่างไรอย่างนั้น

        “พระชายา ข้าไม่ไหวแล้ว ไม่ไหวแล้วจริงๆ ช่วยข้าด้วย ท่านช่วยข้าด้วยเถิด! ”

        เมื่อเห็นชายหนุ่มเป็นเช่นนี้ ซูจิ่นซีเพียงรู้สึกว่าช่างตลกเสียจริง “ตะโกนกระไร? ที่ข้าให้เจ้าทานคือยาบำรุง อย่าทำให้ตนเองวิตกเสียเองสิ! ”

        ขณะที่พูดอยู่ ซูจิ่นซีก็เดินลงบันไดหน้าจวนโยวอ๋องไปยังรถม้าที่พ่อบ้านเตรียมไว้ให้

        ด้านหลังของชายผู้นั้นต่างรายล้อมไปด้วยฝูงชนที่อ้าปากค้างด้วยความไม่เชื่อ

        ปรากฏว่าสิ่งที่ซูจิ่นซีมอบให้ชายผู้นั้นไม่ใช่ยาสลายกระดูก ทว่าเป็นยาบำรุง! ล้วนเป็นชายผู้นั้นที่ทำให้ตนเองตื่นตระหนก

        ชายผู้นั้นไม่กล้าเชื่อ ทั้งยังค่อยๆ ลุกขึ้นมา ทว่าครั้งนี้กลับไม่ล้มลงไป เมื่อลองเดินสองก้าวอีกครั้งก็ไม่พบปัญหาใดแม้แต่น้อย

        “อ้า… ข้าไม่เป็นกระไรแล้วจริงๆ ข้าไม่เป็นกระไรแล้ว” ชายหนุ่มกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจ

        “พระชายาเป็นคนดีเสียจริง! ”

        “พระชายาเป็นคนดียิ่ง! ”

        “พระชายาทรงพระเจริญพันปี พันพันปี! ”

        “พระชายาทรงพระเจริญพันปี พันพันปี! ”

        “พระชายาทรงพระเจริญพันปี พันพันปี! ”

        ……

        ฝูงชนยังคงตะโกนสรรเสริญซูจิ่นซีอย่างต่อเนื่อง ผู้คนยอมหลีกทางให้รถม้าของซูจิ่นซีอย่างสมัครใจ

        จิตใจของฮั่วอวี้เจียวเต็มไปด้วยความชิงชัง เดิมทีนางคิดจะใช้โอกาสนี้ทำลายซูจิ่นซีให้สิ้นซาก กลับคิดไม่ถึงว่าจะเป็นการยกก้อนหินขึ้นแล้วกระแทกเท้าตนเอง ในทางตรงกันข้าม กลับเป็นการเพิ่มศักดิ์ศรีเกียรติยศของซูจิ่นซีในหมู่มวลชน

        ฮั่วอวี้เจียวทุบกำปั้นลงบนโครงรถม้าอย่างขมขื่น

        “เอ๋ นั่นใช่รถม้าของฮั่วอวี้เจียวหรือไม่? ”

        “เป็นรถม้าของฮั่วอวี้เจียว”

        “เหมือนว่าคนในรถม้าจะเป็นฮั่วอวี้เจียว! ”

        “ใช่ เป็นฮั่วอวี้เจียว! ”

        “เป็นนาง! ”

        “ฮั่วอวี้เจียว เจ้ามันสตรีชั่วร้าย เจ้าลงมา! ”

        “ฮั่วอวี้เจียวเจ้าอย่าคิดหนี เจ้ามันหน้าไม่อาย เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้! ”

        “ฮั่วอวี้เจียวอย่าหนีนะ! ”

        เมื่อทุกคนพบว่าฮั่วอวี้เจียวซ่อนตัวอยู่ในระยะไกล จึงพากันไล่ตามฮั่วอวี้เจียวอย่างพร้อมเพรียงกัน

        ฮั่วอวี้เจียวเห็นว่าสถานการณ์ดูไม่เข้าทีเท่าใดนัก นางจึงรีบให้คนขับรถม้าออกตัว ทว่านางช้าไปหนึ่งก้าว บัดนี้นางถูกห้อมล้อมไปด้วยฝูงชนจากทุกทิศทาง

        ใบผักเน่า ไข่เน่า ปลาเค็มที่ทุกคนใช้ขว้างปาซูจิ่นซีในคราแรก ล้วนนำมาขว้างปาไปบนรถม้าของฮั่วอวี้เจียว

        แม้ฮั่วอวี้เจียวจะนั่งอยู่ในรถม้า ทว่าหลายสิ่งหลายอย่างยังคงถูกขว้างปาเข้าไปด้านใน ทั้งร่างนางล้วนสกปรกเหลือทน อับอายขายหน้าอย่างถึงที่สุด ฮั่วอวี้เจียวนั่งอยู่ในรถม้าร้องไห้ฮือฮือฮือเสียงดัง

        ซูจิ่นซี ข้า…ฮั่วอวี้เจียวจะไม่ปล่อยเจ้าไปแน่!

        ซูจิ่นซีที่ขณะนี้กำลังนั่งอยู่ในรถม้า โดยมี  JX3 JX4 และทหารอารักขาจากจวนโยวอ๋องคอยคุ้มกันตลอดทาง นางเดินทางเกือบจะถึงหนานย่วนแล้ว

        ด้านข้างรถม้ามีแม่นมฮวาติดตามมาด้วย

        “แม่นมฮวา ยังไม่มีข่าวคราวท่านอ๋องจากทางนั้นอีกหรือ? ”

        ใบหน้าแม่นมฮวาแสดงถึงความกังวลเช่นกัน “พระชายาเพคะ ยังไม่มีข่าวคราวแม้แต่น้อยเลยเพคะ คนที่พ่อบ้านส่งเข้าวังเพื่อสืบข่าวยังไม่กลับมาเพคะ”

        “ในวังหลวง พวกเราไม่ใช่ว่ามีสายตาไว้สอดส่องมากมายหรอกหรือ? นานถึงเพียงนี้แล้ว เหตุใดยังสืบข่าวไม่ได้แม้แต่น้อยเล่า? ”

        “คือ… ข้าน้อยก็ไม่ทราบ พ่อบ้านและฉินเทียนดูแลเรื่องในวังหลวงมาโดยตลอดเพคะ”

        ซูจิ่นซีเป็นห่วงอย่างสุดซึ้ง ยิ่งคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเท่าใดก็ยิ่งกังวลมากขึ้นเท่านั้น นางต้องการไปวังหลวงเพื่อดูว่าเกิดอันใดขึ้นด้วยตาของตนเอง

        ทว่าบัดนี้ที่หนานย่วนเกิดเหตุการณ์ใหญ่โตถึงเพียงนี้ นางจึงต้องอยู่จัดการกับมัน หากนางปล่อยทิ้งไว้ตามลำพัง ถึงเวลานั้นสถานการณ์จะยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่เยี่ยโยวเหยากลับมาคงยิ่งยุ่งยากมากขึ้นไปอีก

        “ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านอย่าห้ามข้า! อย่าห้ามข้า ลูกไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว ลูกไร้ซึ่งเกียรติที่จะอยู่ต่อไปแล้ว”

        เมื่อซูจิ่นซีผ่านเข้าประตูมาก็ได้ยินเสียงของเว่ยเหม่ยเจียร้องตะโกนอยากตาย

        นางกุมหน้าผากอย่างหมดปัญญา เจ็บปวดจนจะตายเสียให้ได้

        “พระชายาโยวอ๋อง เรื่องนี้ท่านจะต้องอธิบายต่อจวนเว่ยของพวกเรา! ” เว่ยกั๋วกงเมื่อเห็นซูจิ่นซีก็กล่าวขึ้นอย่างโกรธเกรี้ยว

        “ใช่ พระชายาโยวอ๋อง หากท่านไม่อธิบาย ข้าก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว ตายกับเหม่ยเจียให้มันจบๆ ไปเสีย! ” ฮูหยินเว่ยกั๋วกงกระทั่งเอาชีวิตมาขู่

        “ท่านแม่ นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่เพคะ? ”

        ใบหน้าของซูจิ่นซีเคร่งขรึมยิ่งนัก นางถามเฉินไท่เฟยอย่างจริงจัง

        เนื่องจากเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ เฉินไท่เฟยกระทำอย่างไม่เป็นธรรมต่อซูจิ่นซี เมื่อนางพูด น้ำเสียงจึงอ่อนโยนกว่าเว่ยกั๋วกงและฮูหยินเว่ยกั๋วกง “เมื่อคืนหลังจากที่เจ้าไปแล้ว เหม่ยเจียก็วิ่งออกไป แม่รีบส่งคนไปตามทว่าก็ตามนางไม่ทัน หลังจากนั้นคนใช้ที่จวนส่งออกไปตามก็พบเหม่ยเจียในตรอกเล็กๆ ทางฝั่งตะวันออกของเมือง ตอนที่พบก็… แล้ว… ”

        คำพูดส่วนหลังของเฉินไท่เฟยอย่างไรก็ไม่สามารถพูดออกไปได้ ทว่าซูจิ่นซีเข้าใจความหมายของเฉินไท่เฟยแล้ว

        “ซูจิ่นซี เป็นเจ้าที่บังคับให้เหม่ยเจียออกไป หากไม่ใช่เจ้า เหม่ยเจียคงไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ หากวันนี้เจ้าไม่พูดให้ชัดเจน พวกเราจวนเว่ยกั๋วกงไม่ยอมยกโทษให้เจ้าง่ายดายอย่างแน่นอน! ” ฮูหยินเว่ยกั๋วกงกล่าวขึ้นอย่างหนักแน่น

        ซูจิ่นซีวาดมุมปากอย่างเย็นเฉียบ ดวงตาทั้งเย็นชาทั้งเย้ยหยัน นางมองไปที่ฮูหยินเว่ยกั๋วกงอย่างเชื่องช้า “ขอถามว่าฮูหยินอยากได้คำอธิบายกระไร? เมื่อครู่ท่านแม่ก็บอกแล้วว่าเว่ยเหม่ยเจียวิ่งออกหนานย่วนไปหลังจากที่ข้ากลับไปแล้ว ขาก็อยู่บนร่างของนาง ทั้งยังไม่ใช่ข้าที่ลากนางออกไป ท่านอยากให้ข้าพูดกระไร? ”

        อย่าคิดว่าซูจิ่นซีจะไม่รู้ว่าฮูหยินเว่ยกั๋วกงกำลังดีดลูกคิดรางแก้ว [1] อันใดอยู่

        หากนางไม่เคยมีความคิดให้บุตรสาวของตนสมรสกับเยี่ยโยวเหยา นางจะปล่อยให้เว่ยเหม่ยเจียอยู่กับเฉินไท่เฟยเป็นเวลาหลายปีถึงเพียงนี้ได้อย่างไร

        บัดนี้เว่ยเหม่ยเจียเป็นเช่นนี้แล้ว คาดไม่ถึงว่านางยังข่มขู่ให้ซูจิ่นซีประนีประนอม จับเว่ยเหม่ยเจียใส่ตะกร้าล้างน้ำให้เยี่ยโยวเหยาอีก

        ไร้ยางอายสิ้นดี!

        “ในเมื่อท่านไม่ให้เหตุผลเช่นนี้ พวกเราก็ไม่มีกระไรจะพูด ท่านพี่กั๋วกง ไป! พวกเราเข้าไปในวังหลวงเดี๋ยวนี้ ให้ฝ่าบาททรงตัดสินให้เรา! ”

        “หึ! ”

        เว่ยกั๋วกงส่งเสียงไม่พอใจซูจิ่นซีเช่นกัน เขาสะบัดแขนเสื้อเดินนำหน้าฮูหยินเว่ยกั๋วกงไป ทั้งสองมีท่าทางจริงจังกับการไปวังหลวงเพื่อยื่นเรื่องร้องเรียน

        “ข้าจะดูว่าผู้ใดกล้าไป! ” ซูจิ่นซีตะโกนก้องด้วยเสียงเย็นชา

        ฮูหยินเว่ยกั๋วกงหันกลับมา นางยกยิ้มอย่างพอใจ “ว่าอย่างไรเล่า? พระชายาโยวอ๋อง ในที่สุดเจ้าก็กลัวแล้วหรือ? ”

        กลัว?

        หากซูจิ่นซีกลัว วันนี้ซูจิ่นซีคงหลบอยู่ในจวนโยวอ๋องไม่ยอมออกมาแล้ว

        “ท่านแม่ หรือว่าเรื่องที่เว่ยเหม่ยเจียกระทำไว้เมื่อคืน ท่านยังไม่ได้บอกพวกเขาหรือ? ” ซูจิ่นซีกล่าวขึ้น

        ใบหน้าของเฉินไท่เฟยเปลี่ยนไปทันที

        เรื่องราวอัปยศถึงเพียงนั้น เฉินไท่เฟยไม่สามารถปกปิดมันได้ทันเวลา แล้วจะเผยแพร่มันออกไปได้อย่างไร?

        ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากที่พบและพาเว่ยเหม่ยเจียกลับมา เฉินไท่เฟยก็คอยแต่นึกถึงเรื่องความเป็นความตาย เมื่อเว่ยกั๋วกงและฮูหยินเว่ยกั๋วกงมาถึง เฉินไท่เฟยก็ยิ่งกังวลมากขึ้นไปอีก แม้อยากจะพูดก็ไม่มีโอกาสได้พูด!

        “เรื่องเมื่อคืน? ”

        “เรื่องกระไร? ”

        เว่ยกั๋วกงและฮูหยินเว่ยกั๋วกงถามขึ้นอย่างอยากรู้อยากเห็นยิ่งนัก

        “อ้าย! … ”

        ซูจิ่นซีและเฉินไท่เฟยยังไม่ทันได้พูดอันใด ทันใดนั้นเว่ยเหม่ยเจียที่กำลังร้องไห้อยู่ด้านข้างตลอดเวลาก็แหกปากกรีดร้องอย่างขมขื่น

……

เชิงอรรถ

[1] ดีดลูกคิดรางแก้ว คือสำนวนจีน หมายถึง คำนวนทุกอย่างไว้แล้วเพื่อให้ตนเองได้รับประโยชน์สูงสุด