Ep.317 การกบฏครั้งใหญ่

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา

Ep.317 การกบฏครั้งใหญ่

“กรับ…กรับ…”

เสียงเกือกม้ากระทบพื้นขณะคนสั่งสาส์นรีบเร่งไปค่ายกองทัพเขาเหินที่อยู่ทางเหนือพร้อมกับจดหมายในมือ “ท่านผู้บัญชาการ มีจดหมายมาจากท่านหลินมู่อวี่แห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์ขอรับ!”

“โอ้…จดหมายจากอาอวี่0หรือ?”

ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนยิ้มพลางเปิดจดหมายที่ถูกเขียนด้วยลายมือไม่น่าอ่านนัก ‘หลายวันมานี้ข้ารู้สึกไม่สบายใจ เกรงว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในจักรวรรดิ ในฐานะผู้นำกองทัพเขาเหิน ท่านพี่ของข้าโปรดส่งทหารสอดแนมให้ทั่วมณฑลหลิงเป่ย คอยเป็นหูเป็นตาเผื่อเกิดเรื่องไม่ชอบมาพากลขึ้น ด้วยความนับถือ…อาอวี่’

“แม่ทัพหลินมู่อวี่มีเหตุสำคัญอันใดหรือขอรับท่านผู้บัญชาการ?” หัวหน้าฉีเอ่ยถาม

ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนขมวดคิ้ว “อาอวี่สังหรณ์ใจว่าอาจเกิดบางอย่างขึ้นกับจักรวรรดิ คนที่ไปกับกองทัพตะวันออกรายงานกลับมาบ้างหรือไม่ว่าสถานการณ์ทางจักรพรรดิเป็นอย่างไร?”

หนึ่งในทหารคำนับพลางตอบกลับ “มีรายงานส่งมาจากตะวันออกเมื่อคืนว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี พี่น้องทั้งสามตอนนี้กำลังตกปลาอยู่ที่ทะเลสาบภูตอย่างมีความสุขขอรับ!”

“เยี่ยมมาก”

ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนสูดหายใจลึกก่อนจะออกคำสั่ง “ฉีตู้เหว่ย นำทหารห้าร้อยนายแบ่งเป็นกลุ่มละห้าคน แบ่งเสบียงอาหารให้ทั้งร้อยกลุ่มนี้เดินทางไปยังมณฑลทงเทียน มณฑลหลิงเป่ย และมณฑลชางหนานเพื่อทำการสอดแนม หากพบสิ่งใดผิดปกติให้รายงานข้าทันที ข้าจะให้เจ้ารับผิดชอบหน้าที่สำคัญนี้…จงทำให้ดี”

“ขอรับท่านผู้บัญชาการ!” ฉีตู้เหว่ยรับคำสั่งและออกไปทันที

ใต้แสงไฟจากตะเกียง ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนขมวดคิ้วและมองไปยังบรรดาทหารอีกครั้ง “ยังไม่มีจดหมายตอบรับจากมณฑลชีไห่และอวิ้นจงอีกหรือ? หลานกงกับหยุนกงตกลงส่งกองทัพช่วยเหลือเมืองหลวงหรือไม่?”

หัวหน้าทหารม้าก้าวออกมา “ท่านหยุนกงส่งหนังสือมาแจ้งว่ากำลังเตรียมเสบียงม้าและม้าศึกอยู่ ทหารม้าสามหมื่นนายจะถูกส่งมาปกป้ององค์หญิงเร็วๆ นี้ ส่วนท่านหลานกงยังไม่มีการตอบกลับใด อาจเป็นเพราะท่านยังขุ่นเคืองเรื่องที่ถังปินถูกแม่ทัพหลวงหลินมู่อวี่สังหารอยู่กระมังขอรับ!”

ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนทุบกำปั้นลงกับโต๊ะ “ถังหลาน…อย่าลืมสิว่าเสี่ยวซียังอยู่ที่เมืองหลันเยี่ยน ต่อให้มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับเสี่ยวซีก็ไม่สำคัญอย่างนั้นหรือ?”

ฉีตู้เหว่ยกล่าว “ท่านผู้บัญชาการ เรื่องการสอดแนม…ท่านต้องการแจ้งให้ท่านเฟิงจี้สิงทราบหรือไม่?”

“อืม”

ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนพยักหน้า “พรุ่งนี้เช้าข้าจะไปพบเขาที่กององครักษ์เอง ตอนนี้การอารักขาเมืองหลวงหละหลวมยิ่ง มีเพียงทหารห้าหมื่นนายเท่านั้น หากมีเรื่องใดเกิดขึ้น จำนวนคนเพียงเท่านี้คงป้องกันทั้งเมืองไม่ได้!”

ทหารนายหนึ่งเอ่ยขึ้น “ท่านผู้บัญชาการไม่ต้องกังวลไปหรอกขอรับ ทั้งแผ่นดินนี้ล้วนเป้นอาณาเขตของจักรวรรดิ อีกทั้งราชาเจิ้นหนานและจักรพรรดิของเราก็กำลังเพลิดเพลินอยู่ที่ทะเลสาบภูต สองผู้นำอำนาจทางทหารเหนือใต้อยู่ด้วยกัน จะมีสิ่งใดเกิดขึ้นได้อีกขอรับ?”

ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนมองหน้านายทหาร “หลินมู่อวี่ เจ้าเคยเจอเขาหรือไม่?”

“ไม่ขอรับ”

“เช่นนั้นเจ้าจงรู้ไว้ ว่าการทำนายของอาอวี่มักเกิดขึ้นจริงอย่างคาดไม่ถึง ข้าจะไปค่ายกององครักษ์…นำทหารห้าร้อยนายตามข้าไปด้วย”

“ขอรับ!”

ใต้แสงตะเกียงสีเหลือง ณ ค่ายกององครักษ์ เฟิงจี้สิงที่อยู่ในชุดพร้อมนอน กำลังตั้งใจอ่านตำราสัตตะพิชัยยุทธ์ของเซี่ยงเหวินเทียนพลางจามไปด้วยจนหน้าซีด

“ท่านผู้บัญชาการกองทัพเขาเหินฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนมาขอเข้าพบขอรับ” ทหารยามด้านนอกตะโกนแจ้ง

“ให้เข้ามาและเตรียมชาให้เขาด้วย”

“ขอรับ!”

ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนกับแม่ทัพสองคนตกตะลึงเมื่อเข้าไปในกระโจม “เฟิงจี้สิง…ไม่สบายหรือ?”

“ข้าอากาศเย็นจนข้าเป็นหวัดนิดหน่อย”

เฟิงจี้สิงยิ้มจางๆ “ข้าจะใช้พลังปราณขับไล่พิษไข้ออกจากร่าง…”

“เจ้าจะมีหน่วยพยาบาลไปทำไมหากเจ้ารักษาตัวเองได้?” ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนนั่งลงก่อนจะผลักเตาไฟเข้าหาเฟิงจี้สิง “ทั้งที่ฝึกฝนอยู่ตลอดแต่ก็ยังป่วยได้ ช่างเป็นการฝึกที่หนักหน่วงเสียจริง”

“ฮ่าๆๆ ตาเฒ่าฉู่มหาข้าดึกดื่นเช่นนี้ คงไม่คิดจะชวนข้าไปดื่มหรอกใช่หรือไม่?”

“ไม่อยู่แล้ว”

ฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนกล่าว “ช่วงที่องค์จักรพรรดิเดินทางไปเทียนชู่และให้องค์หญิงรักษาการแทน…เจ้าไม่รู้สึกไม่สบายใจเลยหรือเฟิงจี้สิง?”

“รู้สึกสิ” เฟิงจี้สิงตอบอย่างจริงจัง “ราคาไวน์ดอกไม้ที่ร้านสูงขึ้นมาก ผู้หญิงในร้านก็น่าเกลียดกว่าเก่า ร้านค้าข้าวแห่งจักรวรรดิก็ยังคงขายแต่ข้าวเหนียว แถมไอ้พวกหน่วยครัวเรือนยังติดหนี้ค้างชำระอีก เป็นอย่างนี้เรื่อยๆ จนข้าเริ่มรู้สึกไม่สบายใจเช่นกัน”

“ไร้สาระ!ฎ ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนลุกขึ้นทันที “หากเจ้ายังไม่จริงจังข้าจะไปเดี๋ยวนี้!”

เฟิงจี้สิงหัวเราะ “ได้ๆ ไม่เล่นแล้วก็ได้ บอกข้ามาว่าเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น?”

ฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนกล่าว “เจ็ดวันมานี้ สมาพันธ์นกกระจอกเพลิงแห่งเมืองหลันเยี่ยนไม่ยอมรับแจ้งการปล้นที่เกิดขึ้นในภูเขาฉิน ซึ่งเหล่านักล่าที่อาศัยอยู่บนเทือกเขาฉินรายงานมาว่าเหยื่อบนเขานั้นถูกล่าไปจนหมด ไม่มีใครแจ้งข่าวใดให้ทราบเลยราวกับถูกตัดหางปล่อยวัด อีกทั้งบ้านพักและโรงเตี๊ยมนอกเมืองหลันเยี่ยนในหลายหมู่บ้านถูกพักจนเต็ม และคนเหล่านั้นยังเข้ามาซื้ออาหารในเมืองหลันเยี่ยนอย่างมาก เป็นเรื่องที่ไม่ปกติยิ่ง!”

“นี่มัน…”

เฟิงจี้สิงมองฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนด้วยความสนใจ “มีใครบางคนกำลังกวนน้ำให้ขุ่นใช่หรือไม่?”

“ใช่ แต่ไม่ใช่คนเดียวมันมีกันหลายคน” ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนกล่าวต่อ “ข้าส่งคนไปสอดแนม จากจำนวนที่กะได้มีสองแสนคนที่เข้ามายังเมืองหลันเยี่ยน…เป็นเรื่องที่ผิดวิสัยอย่างมาก”

“และหน่วยลาดตระเวนไม่พบความผิดปกติเลยใช่หรือไม่?”

“เจ้ารู้ได้อย่างไร?”

“เพราะข้าก็ส่งคนไปสอดแนมเช่นกัน!” เฟิงจี้สิงกล่าวต่อ “เจ้าคิดว่ามีเพียงเจ้าและอาอวี่ทำนั้นหรือที่วิตก? ลางสังหรณ์ข้าก็ชัดเจนไม่แพ้กัน ดูเหมือนพายุลูกใหญ่กำลังจะถล่มจักรวรรดิเราเสียแล้ว”

“มันเป็นใครกัน?” ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนกำหมัด “แล้วเราจะไม่ทำสิ่งใดเลยหรือ?”

“ทำสิ”

เฟิงจี้สิงยิ้ม “พรุ่งนี้เช้าข้าจะเข้าเฝ้าองค์หญิงอินเพื่อให้นางออกประกาศ มณฑลหลิงเป่ยจะใช้กฎอัยการศึก พ่อค้าทั้งขาเข้าและออกจะต้องถูกตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน หากตรวจพบอาวุธจะต้องถูกจับ เจ้าว่าอย่างไร?”

“จักรวรรดิของเรานั้นมียอดฝีมืออยู่มาก ช่างน่าสนใจจริง…เจ้าคิดว่าพวกมันต้องมากันกี่คนจึงจะชนะเราได้?”

“ไม่มีทางอยู่แล้ว”

“ข้าเห็นด้วย…”

ขณะเดียวกัน ณ เมืองห้าหุบเขา

กลุ่มชุดคลุมสีดำเข้าไปยังจวนผู้ว่าตรงไปยังห้องโถงเข้าพบกับผู้ว่าการสี่กงฝานที่สวมชุดเกราะสีดำพร้อมกับแขวนดาบที่เอว ด้านหลังมีกลุ่มแม่ทัพคอยหนุนหลังอยู่ สี่กงฝานคำนับ “ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งท่านแม่ทัพจื่อเย่า มาหาข้าดึกดื่นเช่นนี้มีธุระสำคัญอันใดหรือ?”

ผู้มาเยือนเปิดผ้าคลุมออกเผยให้เห็นใบหน้าแสยะยิ้ม ชายใต้ผ้าคลุมคือจื่อเย่า เขาคำนับก่อนจะเอ่ยขึ้น “ท่านผู้ว่าการสี่กงยังไม่รู้หรือว่าพายุลูกใหญ่กำลังมาเยือน?”

“โอ้?”

สี่กงฝานพูดเย้ยหยัน “ข้าไม่รู้ว่าพายุนั่นคืออะไร ใช่การล้มล้างจักรวรรดิฉินหรือไม่? อีกอย่าง…ท่านเป็นถึงแม่ทัพแห่งเมืองใหญ่หลิงหนาน ท่านมาเข้าพบข้าโดยไม่ได้รับอนุญาตทั้งยังไม่มีพระกฤษฎีกาจากราชาของท่าน รู้หรือไม่ว่ามันผิดกฎหมาย?”

“ผิดกฎหรือ?”

จื่อเย่ายิ้มเยาะก่อนจะเอ่ยบางอย่าง “ท่านคงรู้อยู่แล้วว่ามีทหารหลิงหนานฝีมือดีสองแสนนายอยู่ในป่าทางใต้ รอคำสั่งจากข้าให้เข้าถล่มเมืองนี้ใช่หรือไม่?”

“เจ้า!”

สี่กงฝานโกรธจัดพลันชักดาบออกมา “จื่อเย่า! เจ็ดแม่ทัพเทพแห่งจักรวรรดิอย่างเจ้าคิดจะก่อกบฏรึ?”

“ก่อกบฏ?”

จื่อเย่าหัวเราะ “ข้าคือผู้ถูกเลือกจากพระเจ้า เพื่อให้ครองใจผู้คนต่างหากเล่า…ว่าด้วยเรื่องจักรพรรดิฉินจิ้นของเจ้าที่ไม่รู้แม้กระทั่งวิธีปกครองอาณาจักรใดนอกจากบทกวีและอาหาร จักรพรรดิเช่นนี้เหมาะสมแล้วหรือที่จะปกครองจักรวรรดิ? สี่กงฝาน…เจ้าจงฟังข้า ตอนนี้ทั้งสี่มณฑลหลักแห่งหลิงหนานได้ทำสนธิสัญญาพันธมิตรเพื่อล้มล้างสถาบันกษัตริย์และสร้างประเทศขึ้นใหม่ โดยไม่มีราชวงศ์เป็นใหญ่…มีเพียงความเท่าเทียมและความกรุณาของประชาชนเท่านั้น แม้เจ้าจะเป็นสุนัขรับใช้ที่ซื่อสัตย์ เจ้าก็กลายเป็นคนสำคัญได้หากยอมเข้าร่วมเป็นพันธมิตรในฐานะเจ้าเมืองห้าหุบเขา มิเช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าใจร้าย”

“ตายเสียเถิด!”

สี่กงฝานตวัดดาบฟัน ทว่าขณะที่ปลายดาบกำลังจะฟันถูกคอของจื่อเย่า ทั้งร่างของสี่กงฝานก็นิ่งอึ้งไม่สามารถขยับได้ คลื่นอากาศที่มองไม่เห็นกระจายไปทั่ว! ด้านหลังจื่อเย่าปรากฏร่างชายสองคนในชุดคลุมสีดำกำลังยิ้มกริ่มกันอยู่ ทั้งคู่เป็นยอดฝีมือขอบเขตปราชญ์!

“นี่คือโทษของการดื้อรั้น”

จื่อเย่าระเบิดเสียงหัวเราะก่อนจะชักดาบที่เอวฟันหัวสี่กงฝานหลุดจากบ่า!

กลุ่มแม่ทัพที่อยู่ด้านหลังต่างตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น!

จื่อเย่าหยิบศรีษะสี่กงฝานขึ้นมาพลางตะโกนลั่น “ขี้ข้าจักรวรรดิทุกคนจะต้องได้รับโทษโดยสองปราชญ์ที่อยู่ด้านหลังข้า! หากพวกเจ้าไม่อยากตายก็จงก้มหัวให้ข้า แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้าและครอบครัวของเจ้า!”

เหล่าแม่ทัพต่างวางอาวุธในมืออย่างไม่ละอาย นี่ไม่ใช่การกบฏโดยทั่วไป แต่มันคือการกบฏครั้งใหญ่ทั่วประเทศ!

รุ่งสาง บริเวณกำแพงทิศใต้ของเมืองห้าหุบเขา ทหารยามต่างหลับใหลด้วยความง่วง ทหารผ่านศึกนายหนึ่งกำลังนั่งสูบยาสูบอยู่ด้านล่างพลางกวาดสายตามองไปโดยรอบ “ไอ้พวกทหารขี้เซา กล้าหลับยามเช่นนี้ เอาแรงไปใช้กับนางโลมหมดแล้วหรือ?”

ท่ามกลางฝนโปรยปราย นายทหารผ่านศึกหยิบหมวกขึ้นมาสวมกันฝนเพื่อไม่ให้ยาสูบเปียก สายตาเลือนรางเพ่งมองโดยรอบ ทันใดนั้นก็รู้สึกราวกับเห็นภาพลวงตา ป่าเขียวเบื้องหน้าเคลื่อนไหวอย่างช้า

เขาหรี่ตาเพ่งมองอย่างพินิจ ใช่! มันกำลังขยับ!

ทหารผ่านศึกรีบปลุกทหารที่อยู่ใกล้กัน “หลี่เอ๋อกั๋ว จางฉวนต่าน ลิ่วหมิน จ๋าวรี๋เทียน พวกเจ้ารีบตื่นเร็วเข้า หากยังไม่ตื่นข้าจะอัดพวกเจ้าให้เละ!”

ทหารทั้งหลายลุกขึ้นพลางบ่นพึมพำ “ตาแก่ทำอะไร? ปลุกพวกข้าขึ้นมาด้วยเหตุใด…”

นายทหารผ่านศึกชี้ไปยังเมืองด้วยแขนอันสั่นเทิ้ม “ดูนั่น ป่ามันขยับได้ใช่หรือไม่?”

ทหารหนุ่มทั้งหลายเพ่งมองตามนิ้วที่ชี้ไป พลันสั่นกลัวหน้าซีดเผือด “ไม่…ไม่ใช่ป่าที่ขยับอยู่ แต่เป็นคนสวมชุดสีเขียวกำลังตรงไปในเมือง!”

“บัดซบ ลั่นกลองรบ!

“ขอรับ!”

ทันใดนั้น ผู้บัญชาการถือหอกคนหนึ่งก็เดินมาด้วยสีหน้าสงบ “ไม่จำเป็นต้องลั่นกลอง เดี๋ยวข้าจะลงไปดูเอง เปิดประตูเมืองต้อนรับแขกผู้มีเกียรติเสีย”

“แขกผู้มีเกียรติ?” ทหารผ่านศึกสงสัย “แม่ทัพจ่าว แขกผู้มีเกียรติที่ว่าเป็นใครหรือขอรับ?”

“เหล่าทหารกล้าแห่งหลิงหนาน!”

“แบบนี้ก็เท่ากับข้าขายชาติ…”

พริบตาเดียวดาบยาวก็ตวัดใส่นายทหารผ่านศึกจนลงไปนอนจมกองเลือด ผู้บัญชาการเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าร้ายกาจ “ยังไม่ยอมเปิดประตูเมืองอีกหรือ?”

“ยอมแล้วขอรับ!”

กลุ่มทหารยามสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัว